ดีนะคะ ป้องกันโรค Alzheimer (ความจำเสื่อม) เหมาะกับคนที่ต้องใช้สมองเยอะๆ คะ และเหมาะกับเด็กด้วยคะ :) เลือกที่มี DHA มากกว่า EPA นะคะ เพราะพบว่า DHA มีผลต่อสมองมนุษย์เยอะกว่า แต่ราคาจะแพงกว่าคะ
รู้สึกดีมากๆ ทุกครั้งที่อ่านบทความของคุณจ๊ะจ๋า ได้ความรู้ขึ้นเยอะ ต่อไปนี้ต้องพยายามหันมากินปลาให้มากๆ แล้วล่ะ แต่อยากทราบอยู่อย่างค่ะว่า ถ้ากินปลาน้ำจืดในปริมาณที่เท่ากันกับกินปลาทะเล อย่างไหนจะได้ Omega-3 มากกว่ากัน
ยังไงก็อย่าลืมมีบทความดีๆ มาให้อ่านกันอีกนะจ๊ะ คุณจ๊ะจ๋า
จ๋าเราเข้ามาเขียน comment ให้ช้าหน่อยนะขอโทษด้วย
ความเห็นของเราต่อบทความนี้ เราเห็นด้วยว่าการกินปลาถือเป็นการดูแลสุขภาพได้อย่างหนึ่งค่ะ แต่อย่างที่จ๋าได้เขียนบทความเรื่อง Balancing Your Life นั้นเราจึงคิดว่า ร่างการยคนเราต้องการพลังงานและสารอาหารหลายๆ อย่าง ซึ่งอาจจะมากบ้างน้อยบ้าง แล้วแต่ชนิดอาหารนั้นๆ กับความต้องการตามธรรมชาติของร่างกายแต่ละคน ซึ่งเราคิดว่าแต่ละคนอาจมีลักษณะธาตุของร่างกายแตกต่างกัน (อันนี้เรายังสงสัยอยู่น่ะ เป็นข้อสันนิษฐานที่ยังไม่ได้รับคำตอบ และเราไม่มีความรู้และประสบการณ์ด้านแพทย์ต้องขอออกตัวว่าเป็นความคิดที่มาจากการสังเกตุ) แต่เราก็ขมวดกับความรู้จากการเรียนด้านวิทยาศาตร์และทำงานด้านวิจัยมาบ้างแล้ว ว่ากรณีใดๆ อาจไม่สามารถใช้ได้กับทุกคนได้ เช่น คนที่แพ้ปลา (จะมีไหมเนี้ย คนที่แพ้อาหารทะเลไง เขาอาจจะแพ้ปลาทะเลด้วย) ถ้าเขากิน Omega-3 ในรูปแบบแคปซูลเขาจะเป็นไรหรือเปล่า
ดังนั้นการรับประทานอาหารควรจะมีการบริโภคแบบหลากหลาย และควรเน้นรับประทานอาหารในกลุ่มที่มีเยื่อใย (fiber) สูงในปริมาณสัก 50: 50 (เนื้อสัตว์, แป้ง) ประเภทผักคึ่งหนึ่งอย่างอื่นครึ่งหนึ่งเหมือนที่เขาโฆษณานั้นแหละ เพราะว่าอะไรรู้ไหม เพราะว่าคนเรามีลำไส้ที่ยาวมาก จากการที่เราได้เรียนวิชามีนวิยา (เกี่ยวกับปลาน่ะ) เขามีการเรียนสังเกตุปลาชนิดต่างๆ ทั้งภายในและภายนอก เราสังเกตุเห็ฯได้ว่า ปลาที่กินพืช ปลากินสัตว์ และปลากินพืชและสัตว์ มีลักษณะของระบบย่อยอาหารต่างกัน ตั้งแต่ฟัน เหงือก ลำไส้ โดยพบว่าปลาที่กินสัตว์จะมีลำไส้สั้นมาก ส่วนปลาที่กินพืชมีลำไส้ยาวมาก (แต่จำไม่ได้ว่ายาวมากกว่ากี่เท่า เพราะปลาที่เราใช้เรียนมันขนาดต่างกัน เลยเทียบไม่ได้) ดังนั้นเราจึงคิดว่ามนุษย์เรามีลำไส้ที่ยาว ดังนั้นร่างกายของเราต้องการพืช ผัก หรือเส้นใยอาหารไว้สำหรับประวิงเวลาในการให้ลำไส้ได้ดูดซึมสารอาหารที่เรากินไปนั้นเอง และการที่เรากินอาหารหลากหลายทำให้เราได้รับสารอาหารครบถ้วนหรือค่อนข้างครบถ้วน (กินซ้ำๆ นานๆ อาจเกิดอาการขาดสารอาหาร) จะทำให้การดูดซึมการระบบเมตตาบอลึซึมของร่างกายสามารถดำเนินไปตามกระบวนการตามธรรมชาติได้นั้นเอง Omega-3 ก็เป็นสารตัวหนึ่งที่มีบทบาทความสำคัญต่อกระบวนการเมตตาบอลึซึม (ตามที่จ๋าเล่าข้างบนนั่นแหละ)
ส่วนลักษณะการเล่าเราว่ายังดูเป็นทางวิชาการมากๆ เลย เราคิดว่าหากจ๋าจะลองดึงความรู้ที่ได้จากการอ่านบทความต่างๆ แล้วมาขมวดเข้ากับความรู้ของจ๋า (ทางด้านเคมี) ซึ่งจะอธิบายความสำคัญของสารนี้ต่อการดำเนินชีวิตประจำวันในรูปแบบที่อ่านง่ายมากขึ้นได้น่ะ เราคิดว่านอกจากคนอ่าน (ที่มีความรู้ทั่วไปๆ) อ่านและเข้าใจง่ายแล้ว จ๋าเองก็สามารถได้พัฒนาทักษะในการวิเคราะห์และการนำข้อมูลนั้นๆ มาใช้ประโยชน์ได้ด้วย
ชอบกินปลามากเลยคะ
ทราบว่าปลาสวายมีโอเมก้า 3 สูงมากใช่ไหมครับ
เรียน อ. ธเนศ
จ๋าไม่แน่ใจ คงต้องสอบถามกับทางข้อมูลของกรมประมงถึงสารอาหาร
แต่จะพยามหาข้อมูลให้นะคะ
จริงมั้ยค่ะที่ โอเมก้าที่อยู่ในรูแปบบแคบซูม ที่ช่วยในอาหารเสริมนั้น
-สามารถลดภาวะไขมันในเลือดและหัวป้องกันโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ
-ช่วยควบคุมระดับคลอดเลสตอล และสร้างไตรกลีเซอไรด์ในเลือด
-ลดการเกาะตัวของเกร็ดเลือด
-บำรุงสมองและปราสาท
ผมเคยอ่านบทความเรื่อง โอเมก้า 3 ทราบว่า ปลาไม่สามารถสังเคราะห์ได้เอง
ปลาได้รับจากแหล่งอาหารที่กินเข้าไป ซึ่งพบมากในทะเลลึกเขตหนาว
และยังไม่มีงานวิจัยเกี่ยวกับปลาเขตร้อน หรือ ปลาน้ำจืดของไทย
ที่กล่าวว่า มีงานวิจัยพบว่า
ปลาทะเลเขตร้อนในประเทศไทย มีโอเมก้า 3 ในปริมาณที่เหมาะสม
ผมอยากทราบว่า งานวิจัย ของใคร และวิจัยเมื่อไร ?
เพื่อจะได้เป็นข้อมูลที่อ้างอิงต่อไป
เรียน คุณสุพิทย์
ถ้าอยากทราบเรื่องงานวิจัย คงต้องสืบค้นจาก google เอง เพราะความต้องการ คำตอบอาจจะไม่ตรงใจก็ได้คะ
แต่อย่างไร จะลองสืบค้นหามาให้คะเพิ่มเติมคะ
ขอบคุณคะ
คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าปลาทะเลเท่านั้นที่มีโอเมก้า 3 แต่ข้อมูลงานวิจัยด้านอาหารของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ระบุว่า คนไทยมีความเข้าใจผิดว่ากรดไขมันโอเมก้า 3 มีเฉพาะในปลาทะเล แต่ในความเป็นจริงแล้วปลาน้ำจืดก็มีโอเมก้า 3 สูงเช่นกัน โดยปลาน้ำจืดบางชนิดมีโอเมก้า 3 สูงกว่าปลาทะเลเสียอีก หากเปรียบเทียบปลาที่มีน้ำหนัก 100 กรัม จะพบว่าปลาสวายเนื้อขาวมีโอเมก้า 3 สูงถึง 2,570 มิลลิกรัม ปลาช่อนมีโอเมก้า 3 ถึง 870 มิลลิกรัม ขณะที่ปลาแซลมอนมีโอเมก้า 3 ประมาณ 1,000-1,700 มิลลิกรัม ปลากะพงขาวมีโอเมก้า 3 ประมาณ 310 มิลลิกรัมต่อน้ำหนัก 100 กรัม
ปลาไทยๆไม่ว่าจะน้ำจืดหรือน้ำเค็มก็มีประโยชน์มากมายในราคาที่ถูกกว่าปลาจากต่างประเทศมากทีเดียว...
ที่มา : สยามดารา
เรียน คุณ จ๊ะจ๋า
อ้างถึง .. คำกล่าวของคุณที่ว่า ..
จาก"การวิจัย" พบว่าปลาทะเลไทย เช่น ปลาทู ปลารัง ปลากะพง ปลาเก๋า ปลาสำลี ปลาอินทรีย์ ปลาโอ ฯลฯ มีกรดไขมันโอเมกา 3 ในปริมาณที่เหมาะสมเช่นกัน
ผมถามถึง .. งานวิจัย ตามอ้างถึง ที่คุณอ้างว่า งานวิจัยของใคร
ทำไมจะให้ผมไปสืบค้นด้วย google เอง เล่าครับ
ในเมื่อคุณ จ๊ะจ๋า เป็นคนกล่าวถึงงานวิจัยนี้
ขอบคุณมากๆ ที่ให้ความรู้เรื่องปลาที่มีโอเมก้า 3
วันนี้จะไปซื้อปลาอินทรีย์ให้แม่กิน
มัง