อ่านหนังสือ "ข้าวปลาอาหารไทย ทำไม? มาจากไหน" (สุจิตต์ วงษ์เทศ. เรือนแก้วการพิมพ์.2551 หน้า 20) มีกลอนเพลงที่สะท้อนถึงความเชื่อของผู้คนยุคก่อนว่าควายเป็นสัตว์ที่เอาพันธุ์ข้าวจากฟ้า (สวรรค์) มาให้มนุษย์เราได้ปลูกกิน .....
จะกล่าวถึง ควายต้น บนสวรรค์ | เป็นต้นเค้า เผ่าพันธุ์ ควายผู้กล้า | |
รู้ไถนา ปลูกข้าว กินข้าวปลา | มีปัญญา เลิศลบ ทั้งภพไตร | |
ส่วนมนุษย์ ยังโง่ อดโซนัก |
ไม่รู้จัก ข้าวกล้า ทำนาไร่ |
|
อยู่ดิน กินดาว กับราวไพร | เผือกมัน ผลไม้ พอได้กิน | |
ควายสวรรค์ ลงมา หามนุษย์ | สอนที่สุด ไถนา วิชาสิ้น | |
ปลูกข้าว ได้ข้าว มีข้าวกิน | ก็หลงรส หลงลิ้น กินข้าวควาย | |
คนแย่งควาย กินข้าว ไม่ขายหน้า | ควายต้องกินฟางหญ้า ปัญญาหาย | |
คนเริ่มเก่ง กาจกว่า บรรดาควาย | ควายก็ควาย เป็นควาย แต่นั้นมา |
.....
.....
ประจวบเหมาะเหลือเกินกับหลายวันที่ผ่านมาข่าวเกี่ยวกับ "ข้าว" กำลังเป็นกระแสที่สร้างความปั่นป่วนและระส่ำระสาย นำไปสู่การถกเถียงกันเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็วในสังคม
จากกรณีที่นักลงทุนจากต่างประเทศสนใจที่จะเช่านาจากคนไทยเพื่อลงทุนทำนา ร่วมลงทุนทำนาและลงทุนด้านการค้าข้าวในไทย
หลังจากนั้นก็มีทั้งผู้ที่สนับสนุนในแนวคิดและผู้ที่คัดค้าน โดยกลุ่มสนับสนุนให้เหตุผลว่าจะช่วยยกระดับฐานะเกษตรกรไทยให้อยู่ดีกินดีจากราคาข้าวที่สูงขึ้น ส่วนฝ่ายที่ค้านก็ให้เหตุผลว่าเป็นการทำลายวัฒนธรรมไทยที่มีมาแต่ยาวนาน รวมถึงการกล่าวว่าเป็นพวกขายชาติขายแผ่นดิน
การเข้ามาของกลุ่มทุนต่างชาติเราเคยมีบทเรียนมากมายมาแล้วกับการมาลงทุนแบบกระเป๋าหนักจากต่างประเทศ ซึ่งเพียบพร้อมไปด้วยความรู้ เทคโนโลยีและเงินทุนมหาศาลที่ทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยต่างพากันล้มหายตายจาก (ทางเศรษฐกิจ) ไปตามๆ กัน...
แล้วคิดว่าประโยชน์ที่ได้จากกรณีนี้มีอะไรบ้าง?
หากมองในระยะสั้นเราจะเห็นความเจริญเติบโตและเห็นผลกำไรจากการทำธุรกิจซื้อขายข้าวจากทุนต่างชาติ
แต่หากหลับตามองกันในระยะยาว อาจมีข้อสงสัยจนกระทั่งตั้งคำถามได้ว่า แนวคิดนี้ทำให้เกษตรกรลืมตาอ้าปากได้จริงหรือ หรือว่านี่คือจุดเริ่มต้นการล่มสลายของสังคมชาวนาไทย?
ราคาข้าวที่สูงในปัจจุบัน "ชาวนา" หรือ "ใคร" ได้ประโยชน์ (เท่าที่พูดคุยกับเกษตรกรเกือบทั้งหมดบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าข้าวในยุ้งไม่มีแล้วเนื่องจากพากันนำไปขายตั้งแต่ราคาอยู่ที่ 10 บาท แม้แต่ข้าวที่จะทำพันธุ์ในปีนี้ยังต้องแย่งกันซื้อจนแทบจะเหยียบกันตาย)
และราคาข้าวที่แพงมากเป็นประวัติการณ์ในปัจจุบันเป็น "ราคาจริง" ขึ้นลงตามกลไกตลาด หรือเกิดจากการ "ปั่น" ราคาเพื่อการเก็งกำไรของพ่อค้าคนกลางกันแน่หนอ???
...
ประเด็นสำคัญก็คือว่า
ถ้าหากเราตัดความวิตกกังวลว่าแนวคิดการดึงนักลงทุนจากต่างชาติมาทำธุรกิจซื้อ-ขายข้าวจากชาวนาไทยนี้จะเป็นตัวทำลายจุดแข็งของไทยที่ครองความเป็นหนึ่งในการส่งออกข้าวเลี้ยงประชากรโลก
นี่อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนของชาวนาไทยที่จะได้ปรับเปลี่ยนวิธีการทำนา รวมถึงการปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์ต่อข้าวที่มีมาแต่เดิมซึ่งทำนาเพื่อการบริโภคไปสู่การทำนาเพื่อการค้า
แต่....ศักยภาพทางการแข่งขันของชาวนาจะสามารถยืนหยัดต่อสู้กับเทคโนโลยี/เครื่องจักรกลสมัยใหม่หรือความก้าวหน้าทางวิชาการของต่างชาติได้หรือ
และชาวนาสามารถปรับตัวเองให้ทันต่อการแข่งขันได้ทันกระนั้นหรือ
เกรงว่าสุดท้ายแล้ว....ชาวนาไทยจะตกอยู่ในชะตากรรมเหมือนกับ “กลอนเพลง” ข้างต้น....ลงทุนลงแรงทำนาแล้วไม่มีสิทธิ์ในผืนนา/ไม่มีสิทธิเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ที่พึงได้จากการลงทุนนั้น และทำได้เพียงยืนมอง (ตาปริบๆ) ดูเจ้าของตัวจริงมาขนข้าวออกไป....
เมื่อช่องว่างระหว่างข้าว-ชาวนาถ่างออกจากกันมากขึ้นๆ หลังจากนี้ชาวนาเราจะอยู่กันอย่างไร....มีอะไรให้ชาวนาได้ภาคภูมิใจ....หรือเป็นได้เพียงผู้รับจ้าง/กรรมกรแห่งท้องทุ่งนา
.......
ขออนุญาตนำไปรวม ในรวมตะกอนครับ ขอบคุณมากครับ
สวัสดีครับคุณพิทักษ์
ขอบคุณมากๆ นะครับและิยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ที่ช่วยกันเขียนเพื่อให้หลายๆ คนได้ร่วมคิดกันนะครับ ผมคิดว่าเมืองไทยมีความพร้อมพอทางพื้นที่ทำกินและมีความอุดมสมบูรณ์มากครับ เพียงแต่เราขาดการจัดการพื้นที่ให้เหมาะสมเพื่อเป็นการสร้างผลผลิตให้เกิดและแบ่งปันแจกจ่ายให้หล่อเลี้ยงคนในชาติให้เพียงพอ ที่เหลือไปก็ค่อยส่งออก แทนที่เราจะเน้นการส่งออกเป็นหลัก ขายไม่เหลือแม้แต่เมล็ดพันธุ์ข้าวที่จะเอาไว้ปลูกในครั้งถัดไป นี่เป็นจุดที่จะทำให้เราสิ้นครับ เพราะว่าหากเราไม่มีเมล็ดพันธุ์ต่อไปจะเอาเมล็ดพันธุ์จากไหนหากไม่ซื้อ การที่ซื้อก็คือการที่ต้องยอมรับในกฏเกณฑ์ของพันธุ์ใหม่ๆ ตามที่ผู้ผลิตได้วางเกมส์เอาไว้ในเมล็ดข้าวนั้นๆ หากเกมส์นั้นเป็นไปด้วยความหวังดี ชาวนาก็ไ่ม่ตกเป็นเหยื่อในการทำนาให้คนได้บริโภคครับ แ่ต่หากเมล็ดพันธุ์ข้าวนั้นเปลี่ยนแปลงไปสู่การจัดการพันธุ์โดยอยู่บนฐานของความเป็นธุรกิจและขยายพันธุ์ในรอบต่อๆ ไปได้ ต้องซื้อเมล็ดพันธุ์อย่างเดียว อย่างพวกข้าวโพด อะไรทำนองนี้ วิถีชาวนาก็แย่ครับ เพราะต้องซื้อตลอดไป ลองเอาเมล็ดข้าวโพดที่ได้จากการปลูกจากเมล็ดพันธุ์ในกระป๋องดูนะครัีบ แล้วเอาไปปลูกนะครับ ว่าได้รับผลดีแค่ไหนนะครัีบ ในรุ่นต่อไป .... อันนี้ว่าด้วยเมล็ดพันธุ์ครัีบ
ดังนั้นการจะทำเกษตร ต้องมีเมล็ดพันธุ์ที่จริงใจ เหมือนกับการที่คิดจะพัฒนาชาติ เมล็ดพันธุ์ทางความคิดเชิงพัฒนาบนพื้นฐานของความพอเพียงในทางสาัยกลางเป็นสิ่งที่จำเป็นมากเช่นกัน ดังนั้นผู้บริหารประเทศก็ควรจะต้องมีเมล็ดพันธุ์แห่งการพัฒนาและให้อย่างจริงใจในทุกๆ สาขาอาชีพ นักลงทุน นายทุน ก็เช่นกัน หากประเทศนี้ไม่มีคนอาศัยอยู่เลย จะมีธุรกิจเหล่านี้ไปเพื่ออะไร.... เปิดพื้นที่ให้ทุกๆ คนยืนได้ มีจุดยืนอย่างมีเกียรติในทุกสาขาอาชีพครัีบ
ขอบคุณมากๆ นะครัีบ
สวัสดีครับ อ.เม้ง สมพร ช่วยอารีย์
เมืองไทยของเราตั้งอยู่ในชัยภูมิที่เหมาะในการทำการเกษตรนะครับ จนได้ชื่อว่าเป็น "อู่ข้าวอู่น้ำ" หรือ "สุวรรณภูมิ" และเป็นเมืองเกษตรที่ปลูกข้าวกันมากจนสามารถส่งออกข้าวเป็นอันดับหนึ่งของโลกมานาน (ตรงนี้มังครับที่ดึงดูดนักลงทุน)
แต่ชาวนาบ้านเราก็ยังมีฐานะไม่ดีเท่าที่ควรเมื่อเปรียบเทียบกับชาวนาในประเทศที่เจริญแล้วอย่างญี่ปุ่นหรือสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าอย่างเทียบกันไม่ได้
เรื่องเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ว่าชาวนาแย่งกันซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าวจนแทบจะเหยียบกันตายนั้น เป็นข่าวเมื่อปลายเดือนที่ผ่านมาน่ะครับ โดยชาวนา (และข้าราชการที่หันกลับมาทำนาเนื่องจากข้าวมีราคา) ได้ไปแย่งกันซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวสุรินทร์ (ตามข่าวบอกว่ามากกว่า 5,000 คน) เพราะกลัวว่าจะไม่มีเมล็ดพันธุ์ข้าวไปทำพันธุ์ในฤดูกาลนี้ หลายคนกลับบ้านมือเปล่าเพราะว่าเมล็ดพันธุ์ข้าวถูกจองล่วงหน้าหมดแล้ว ----> แปลกแต่จริงว่า ทั้งๆ ที่เมล็ดพันธุ์ข้าวในประเทศไทยมีมากมายตั้ง 25,000 สายพันธุ์ (เป็นของไทยแท้ประมาณ 20,000 สายพันธุ์) และเมล็ดพันธุ์พื้นเมืองที่มีความทนทานตามสภาพพื้นที่อีกหลากหลายสายพันธุ์ เมล็ดพันธุ์ข้าวก็ยังมีไม่พอต่อความต้องการ เนื่องจากชาวนาปลูกข้าวพันธุ์เดียวกัน (ขายได้ราคาดี)
จึงน่าเป็นห่วงว่าชาวนาต้องพึ่งพาอาศัยปัจจัยการผลิตจากข้างนอกแทบทุกอย่าง แม้แต่เมล็ดพันธุ์ซึ่งชาวนาในอดีตสามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ได้เอง ยังไม่ต้องพูดถึงว่าปัจจัยการผลิตที่เป็นองค์ประกอบอย่างอื่นๆ อีกหลายอย่าง เช่น ที่ดิน (เป็นของตนเองหรือเปล่า) ทุน (ปัจจุบันควักกระเป๋าตัวเองหรือว่าควักจากกองทุนหมู่บ้านหรือจากกระเป๋านายทุน) แรงงาน (ลงแรงเองหรือว่าจ้างแรงงานข้างนอก) เทคโนโลยี (เดี๋ยวนี้รถไถเดินตามราคากว่า 30,000 บาท) และการจัดการ (ที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถที่เหมาะสมในแต่ละพื้นที่)
แล้วชาวนาจะมี "ที่ยืนหรือจุดยืน" อย่างมีเกียรติสมกับคำที่ติดตราว่า "กระดูกสันหลังของชาติ" ได้โดยวิธีการไหนต้องให้หลายๆ ฝ่ายช่วยกันครับ
ขอบคุณมากๆ ครับ :)
มาเยี่ยมและมาอ่านค่ะ เห็นด้วยกับคุณเม้งด้วยค่ะ
สวัสดีครับคุณSasinanda
ปีนี้ฝนฟ้า/น้ำหลากเร็วผิดจากหลายปีที่ผ่านมานะครับ เมื่อต้นเดือนผมได้พูดคุยกับลุงๆ ป้าๆ ชาวนาหลายท่าน ได้รับทราบว่าเรื่องราคาข้าวแพงในปัจจุบันทำให้ต้องมีความรอบคอบและระมัดระวังในการทำนามากขึ้น ถือเป็นการพัฒนาการจัดการเพื่อลดความเสี่ยงว่าจะไม่เสียเวลา/เสียเงินไปกับการตัดสินใจผิดพลาด เพราะราคาข้าวที่สูงขึ้นทำให้ชาวนาขายข้าวไม่เหลือกระทั่งเมล็ดพันธุ์ที่เก็บไว้เตรียมลงนาปีนี้ น่ากังวลเหมือนกันครับว่าปีต่อๆ ไปชาวนาจะไม่เก็บเมล็ดพันธุ์ข้าวเอาไว้เองอย่างเคย ผลผลิตที่ได้มาก็ขายออกหมด ราคาเมล็ดพันธุ์ข้าวตอนนี้จึงดีดตัวขึ้นไป 2 เท่าตัวภายในเวลาไม่ถึงเดือน....
ขอบคุณมากครับ
มาเยี่ยม และอ่าน เป็นกำลังใจให้ชาวนาด้วยคน ณ ขณะนี้สถานการณ์พันธุ์ข้าว ที่บ้านซาโตริก็เก็บไว้ขายเป็นเมล็ดพันธุ์ ประมาณ 5 ตัน (แต่มีสมาชิกจองแล้ว)
สวัสดีครับ "ซาโตริ"
ปีนี้คาดว่าคนจะหันกลับมาทำนากันมากขึ้นกว่าเดิม...(ไม่รู้ว่าปลายปีราคาข้าวจะตกไปที่ กก.ละกี่บาท)
...ลู่ทางใหม่ที่น่าสนใจคือการทำแปลงพันธุ์ข้าวไว้จำหน่าย ราคาดีกว่าขายเป็นข้าวทั่วไปแน่นอน
ปีนี้ราคาเมล็ดพันธุ์ข้าวขาวดอกมะลิ 105 เมื่อปลายเดือนที่แล้วกิโลกรัมละ 15.50 บาท ตอนนี้ราคา 30 บาท ชาวนาก็แทบจะไม่หาซื้อพันธุ์ข้าวไม่ได้
ปีหน้าคงต้องจองผ่านคุณซาโตริเนาะครับ....เผื่อด้วยเน้อ...
ขอบคุณครับที่แว้บบบบบมา
:)
เป็นแนวคิดที่น่าจะนำเสนอชาวนาเครือข่ายท่านแล้วละคุณพิทักษ์ ผลิตพันธุ์ข้าวให้พอกับความต้องการเครือข่ายเหลือถึงจำหน่ายจ่ายแจก อย่ารอซื้อเลยทำ ณ บัดเดี๋ยวนี้ยังทัน
สวัสดีครับซาโตริ
ขอบคุณครับที่ให้คำแนะนำ
ขอเพิ่มเติมข้อมูลส่วนที่ได้ดำเนินการไปบ้างแล้วในพื้นที่รับผิดชอบ เราได้จัดตั้งศูนย์ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวชุมชน (ตอนนี้เรียกสั้นๆ ว่าศูนย์ข้าวชุมชน)จำนวน 2 ศูนย์พื้นที่ดำเนินการตอนนี้รวมประมาณ 400 ไร่ และได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2543 ผลผลิต (เมล็ดพันธุ์ข้าว) ที่ได้ปีแรกสามารถแจกจ่าย/แลกเปลี่ยน/ขาย/ให้กู้ เป็นพื้นที่กว่า 5,000 ไร่ (ปีเริ่มดำเนินการในปีแรก-2543 มีเพียงศูนย์เดียว พื้นที่แปลงพันธุ์ 200 ไร่)
และในปีนี้มีโอกาสไปร่วมทำเวทีชุมชน (ประชาคมหมู่บ้าน-โครงการ SML) ได้แนะนำโครงการทำนองเดียวกับศูนย์ข้าวชุมชนเป็นกองทุนหมุนเวียน เพื่อไม่ต้องวิ่งหาซื้อเมล็ดพันธุ์กันเรื่อยไป
ผลที่ได้รับคือมี 2 หมู่บ้านเห็นดีเห็นงามกับคำแนะนำ เสนอโครงการเมล็ดพันธุ์ข้าวเป็นอันดับแรก (แต่ไม่รู้ว่าจะได้รับการอนุมัติหรือเปล่าต้องตามไปลุ้น!!!)
หากทำสำเร็จเท่ากับว่ามีศูนย์ข้าวชุมชนเพิ่มขึ้น ก็จะเป็นแหล่งผลิตเมล็ดพันธุ์ให้กับชุมชนได้อย่างเพียงพอไม่ต้องพึ่งเมล็ดพันธุ์จากภายนอกอีกต่อไป (ไชโย!!!)
ชาวบ้านเองก็เคยมีประสบการณ์การซื้อเมล็ดพันธุ์แบบตั้งความหวังไว้สูงมากว่าจะเป็นพันธุ์ดี สายพันธุ์บริสุทธิ์แต่หลังจากปลูกได้จนเติบโตจึงได้รู้ว่าเมล็ดพันธุ์ที่ซื้อมาไม่งามอย่างที่คิด มีเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ไม่ต้องการปนติดมาด้วย ....เก็บพันธุ์ไว้เองจะสวยกว่าซะอีก...
ขอบคุณมากๆ ครับ
สวัสดีครับ
สวัสดีครับอาจารย์ naree suwan
ถ้า อ.อ็อดไปสุรินทร์จะพาไปอาบแดด (ดำนา) เตรียมแปลงนาไว้แล้ว..... :)
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับครูโย่ง
ขอบคุณครับ
ขอแลกเปลี่ยนการขยายพันธุ์ข้าวดั้งเดิมเท่าที่เคยปฏิบัติ สมัยปู่ย่าตายายก็จะคัดเลือกเอารวงข้าวที่สมบูรณ์ที่สุดไว้ (มัดเป็นฟ่อนนำมาวางบนกระด้งเลือกรวงข้าวแล้วนำไปแขวนไว้ในยุ้งฉางถึงเวลาปักดำถึงจะนำมานวดลงสู่ กระบวนการตกกล้า ปักดำ)โดยท่านบอกว่า ป้องกันพันธุ์ข้าวปะปนกับสายพันธุ์อื่นๆ แล้วคุณพิทักษ์ มีวิธีดั้งเดิมแบบอื่นๆอีก.....
สวัสดีครับ"ซาโตริ"
ขอบคุณครับ :)
สวัสดีครับพี่สิงห์ป่าสัก
ขอบคุณครับ
เรียนคุณพิทักษ์
ขอบคุณครับ สำหรับแนวทางการคัดสรรพันธุ์ข้าว
ถ้าชาวนาใช้ทุน(แรงกายคน/สัตว์เป็นหลัก)โดยอาศัยทุน(ปัจจัยเงินส่วนน้อย) ในสภาวะปัจจุบันได้ .....ชาวนาติดหนี้น้อยลง
สวัสดีครับ "ซาโตริ"
เรื่องต้นทุนการผลิตถือเป็นปัญหาหนักของเกษตรกร/ชาวนาอย่างมากในปีนี้ เพราะต้อง "จ่าย" เพิ่มมากขึ้นจากราคาปุ๋ยเคมีที่ดีดราคาขึ้นกว่า 1,000 บาท/กระสอบ (ไม่นับค่าแรงงาน ค่าเช่าที่นา ค่ายา ฯลฯ ทุกอย่างขึ้นราคาหมด)
จากการคำนวณต้นทุนการผลิตข้าวนาปี (ปี 2550) ไม่ต่ำกว่า 3,000 บาท ต่อไร่ (หรือมากกว่านี้) ซึ่งต้นทุนการผลิตของเกษตรกรแต่ละพื้นที่จะไม่เท่ากัน ดังนั้น ต้องวิเคราะห์ส่วนไหนที่สามารถลดได้ ลดโดยวิธีอะไร ใช้เทคโนโลยีอะไรทดแทน การลดต้นทุนการผลิตมีข้อดี/ข้อเสีย-มีผลกระทบอย่างไร ต้องไปนั่งคุยกับชาวนาจึงจะได้คำตอบ
ในสภาวะปัจจุบันทุกคนต้องลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นเนาะครับ...ไม่เฉพาะชาวนาเท่านั้น
ขอบคุณครับ
เรียนคุณพิทักษ์
- ลงทุนนั่งคุยกับชาวนาได้ ก็เป็นคุณกับชาวนาหลายๆเด้อ ปรบมือให้ก้าวหน้าหาวิธีลดได้จะขอ ปัญหาฝาก "นักวิชาการวิเคราะห์เป็นปฏิบัติบ่อได้ ชาวนาเฮ็ดเป็นแต่วิเคราะห์บ่อได้ เมื่อไหร่จะเจอกันเน๊าะๆๆๆ (แบบนั่งคุยกันอีหลีตั๊วอยากเห็น)
หวัดดีคับ ซาโตริ
จากการทำงานร่วมกับชาวนามาในเวลาพอสมควร ผมว่าชาวนาวิเคราะห์เป็นและวิเคราะห์ได้ไม่แพ้นักวิชาการ(แต่เป็นการวิเคราะห์แบบชาวนา)
เพียงแต่คน "ข้างนอก" ทำให้ชาวนาใช้ความรู้สำเร็จรูปมาเป็นเวลานาน จนแทบจะไม่ต้องใช้ความคิดของตนเอง (รวมถึงการสนับสนุนทุนอื่นๆ แก่ชาวนาในรูปแบบต่างๆ)
วิธีการที่ผมได้ทำร่วมกับชาวนาก็ใช้หลักการเดียวกันกับวิธีการพัฒนา/ส่งเสริมทั่วๆ ไป เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการวิเคราะห์ปัญหา ศึกษาสภาพแวดล้อมร่วมกัน
วิเคราะห์รายได้/รายจ่าย....อะไรที่สามารถลดได้ อะไรลดไม่ได้-ต้องซื้อ รวมถึงให้นั่งวาดวิมาน/ชุมชนในฝันว่าอยากให้ชุมชนของตนเดินทางไปไนทิศทางไหน
เสร็จแล้วก็จัดลำดับความสำคัญของงาน+แบ่งงาน/ทำงานร่วมกัน ทั้งในรูปแบบกลุ่มและรูปแบบต่างคนต่างทำตามความสนใจ
สุดท้ายจะเกิดกระบวนการเรียนรู้ทั้งระบบ และเราก็จะพบว่าชาวนาสามารถคิดวิเคราะห์ปัญหาของตนเองได้เกินความคาดหมาย (ไม่ใช่ได้แค่ "ฝนแล้ง แมลงลง ดินไม่ดี ไม่มีทุน" ฯลฯ)
ทั้งนี้....เจ้าหน้าที่/นักวิชาการต้องปรับเปลี่ยนบทบาทเป็นผู้อำนวยความสะดวกและทำตัวเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนชาวนา จึงจะเกิดความไว้วางใจและดึงการมีส่วนร่วมจากชาวนาได้เต็มที่
ช่วงเวลานี้ผมจึงคิดว่าเป็นช่วงเวลาเหมาะสมที่บรรยากาศการทำการเกษตรแบบช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม - ชาวนาพึ่งตนเองและลดต้นทุนการผลิตได้มากขึ้นจะกลับมาให้เราเห็นอีกครั้ง
ขอบคุณครับ
(ปล.ซาโตริ โทร.กลับด้วยนะครับ)
> เรียนคุณพิทักษ์
- ทราบแต่จะหาผู้ที่ทุ่มเทเข้าถึงเหมือนในภาพนี้ <ซักกี่ท่าน....<
ขอบคุณครับ
หวัดดีคับ..ซาโตริ
ไม่ทราบว่ามีผู้ทุ่มเททำงานโดยไม่ประชาสัมพันธ์ให้ผู้คนได้รับรู้จะมีกี่มากน้อย
ทราบแต่ว่าถ้าถูกกระตุ้นที....ก็เร่งทำกันที...ทำนองว่าชอบไฟลนก้นไงคับ...อิ.อิ.
ขอบคุณครับ
ธุ คุณพิทักษ์ค่ะ ..
ต้อมตอนเด็กๆ เคยนึกว่า ข้าวก็มีอยู่เยอะแยะมากมาย ข้าวไม่มีวันหมดไปจากเมืองไทย เพราะเกิดมาก็เห็นทุ่งนา เห็นต้นข้าวไหวๆ สุดลูกหูลูกตา ไม่เคยรู้ด้วยว่าข้าวเนี่ย พ่อแม่ต้องทำงาน ได้เงิน มาซื้อหาแลกข้าว
โตขึ้นก็ยังคงคิดว่า..ก็ข้าวก็คือข้าว ร้านโน้นก็มี ร้านนั่นก็ขาย
พอตอนนี้หาเงินซื้อข้าวกินเองก็..โอยยยยยยย ทำไมข้าวมีราคาแพงจัง และกว่าจะมาเป็นข้าวทำไมยากลำบากขนาดนี้นะ (หลังจากที่ได้อ่านหนังสือ ปริศนาแห่งภูมิปัญญาท้องถิ่น /ดร. ยุวนุช ทินนะลักษณ์ ที่เธอกรุณาส่งมาให้)
เป็นกำลังใจให้ชาวนาไทยค่ะ ^^
ต้อมตอนเด็กๆ เคยนึกว่า ข้าวก็มีอยู่เยอะแยะมากมาย ข้าวไม่มีวันหมดไปจากเมืองไทย เพราะเกิดมาก็เห็นทุ่งนา เห็นต้นข้าวไหวๆ สุดลูกหูลูกตา ไม่เคยรู้ด้วยว่าข้าวเนี่ย พ่อแม่ต้องทำงาน ได้เงิน มาซื้อหาแลกข้าว
โตขึ้นก็ยังคงคิดว่า..ก็ข้าวก็คือข้าว ร้านโน้นก็มี ร้านนั่นก็ขาย
พอตอนนี้หาเงินซื้อข้าวกินเองก็..โอยยยยยยย ทำไมข้าวมีราคาแพงจัง และกว่าจะมาเป็นข้าวทำไมยากลำบากขนาดนี้นะ (หลังจากที่ได้อ่านหนังสือ ปริศนาแห่งภูมิปัญญาท้องถิ่น /ดร. ยุวนุช ทินนะลักษณ์ ที่เธอกรุณาส่งมาให้)
เป็นกำลังใจให้ชาวนาไทยค่ะ ^^
สวัสดีครับน้องต้อม เนปาลี
..(กว่าจะหลุดจากอาการเน็ต errer แทบแย่!!!)
หนังสือ ปริศนาแห่งภูมิปัญญาท้องถิ่น /ดร. ยุวนุช ทินนะลักษณ์ ผมยังไม่เคยผ่านตาเลย...อยากอ่านๆๆ
ขอบคุณครับ
งั้นพรุ่งนี้ ต้อมจะส่งหนังสือปริศนาแห่งภูมิปัญญาท้องถิ่น /ดร. ยุวนุช ทินนะลักษณ์ ไปให้ยืมอ่านค่ะ พี่นุชคงดีใจที่หนังสือเล่มนี้..ใครๆ ก็ได้อ่าน ^^
อ่านแล้วรู้สึกมหัศจรรย์น่ะค่ะ ว่า โห..กว่าจะมาเป็นข้าวนี่นะ ว่าแต่วันไหนปลูกข้าวเอง ต้อมจะชวนพี่อ็อด พี่ยาหยี ไปปูเสื่อนั่งดู-ให้กำลังใจ บนคันนานะคะ แล้วคนถาม(พี่กั๊ตของต้อมเคยถามว่าถ้าให้ไปทำนาปลูกข้าวกินเอง...ไหวมะ... ) จะสมัครใจนั่งส่งกำลังใจหรือลงไปลุยกับคุณพิทักษ์ล่ะ???????
สวัสดีครับน้องต้อมเนปาลี
ชวนพี่ๆ ลงไปลุยด้วยกันเลยดีกว่านะครับ
ไม่งั้นอายคุณยายแย่เลย
ขอบคุณมากๆ ครับ
เช้านี้ส่งหนังสือปริศนาแห่งภูมิปัญญาท้องถิ่น /ดร. ยุวนุช ทินนะลักษณ์ ไปให้แล้วนะคะ ^^
อุตส่าห์จ่าหน้าซองด้วยปากกาสีฟ้าสวยสดใส พี่พนักงานที่ไปรษณีย์ก็บ่นว่า.. " โหยยยยยยย ใช้ปากกาอย่างนี้ คนแก่อ่านไม่ออก" (สงสัยตั้งท่าจะบ่นมาหลายครั้งแร่ะ วันนี้ได้ฤกษ์เสียที)
อ่าว.. ก็หนูคนส่งเป็นวัยรุ่นนิ วัยรุ่นเซ็งเลย อิอิ
สวัสดีครับน้องต้อมเนปาลี
รอๆ อ่านหนังสือ...อิ.อิ.
พี่หนุ่ม ปณ.ที่สุรินทร์เป็นวัยสะรุ่น...สายตายังดีอยู่ แถมขยันกว่าที่อื่นๆ (สังเกตได้จากส่งโปสการ์ดถึงมือผู้รับได้ไวกว่าเมืองลพบุรี...) เขียนด้วยปากกาสีสันยิ่งชอบ :)
ขอบคุณครับ
สวัสดีค่ะ คงได้อ่านหนังสือแล้วนะคะ ช่วยๆกันขยายแนวคิด
...จึงน่าเป็นห่วงว่าชาวนาต้องพึ่งพาอาศัยปัจจัยการผลิตจากข้างนอกแทบทุกอย่าง
หากชาวนาส่วนใหญ่ยังคงตกอยู่ในวังวนหรือกับดักนี้ คงยากที่จะมีชีวิตที่เป็นไท พึ่งพาตนเองได้ เราคงต้องช่วยกันคนละไม้คนละมือที่จะพัฒนาประเทศจากจุดเล็กๆด้วยความเข้าใจ และ รู้จักรากของตัวเองอย่างถ่องแท้
สวัสดีครับพี่นุช คุณนายดอกเตอร์
..
ขอบคุณครับ
ไม่ต้องรีบอ่านเพื่อที่จะรีบส่งคืนเลยนะคะ ค่อยๆ อ่านก็ได้ เพราะคนให้ยืมใจดี๊-ใจดี อิอิ ^^
น้องต้อมครับ เนปาลี
(กระซิบๆๆๆ...พี่ตระเวนถามหาหนังสือเล่มนี้ทุกร้านในเมือง...ไม่เหลือค้างสต็อคซักเล่ม...)
กระซิบๆๆ ไม่อยากจะบอกเลยว่า..ต้อมตะเวนมาก่อนแล้ว จึงสะสมประสบการณ์ในการหาหนังสือเล่มนี้ของพี่นุชอยู่เพียบ ร้านไหนๆ ก็ไม่มี จนเจ้าของหนังสือเธอกรุณามอบให้เนี่ยล่ะค่ะ อ่านแล้วบอกได้คำเดียวว่า "มหัศจรรย์" จริงๆ
ว่าแต่ "เล่มต่อไป" อยากจะอ่านหนังสือแนวไหนล่ะคะ หากมีจะรีบส่งไปให้ทันทีเลย ^^
น้องต้อม
พี่คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นอยู่แว้บๆๆๆ ที่ se-ed พอเข้าไปถาม เขาบอกว่าหมดแล้วค่ะ....เสียดายๆ รอยืมน้องต้อมอ่านดีกว่าเนาะ..
เดี๋ยวก่อนนะ รอพี่ตระเวนดูตู้หนังสือน้องต้อมก่อน
แล้วจะแจ้ง order ว่าเล่มไหน!!
อิๆๆๆ
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ อำนวย สุดสวาสดิ์
ไปเรียนรู้การทำเวบด้วยแมมโบ้แล้วครับ น่าลองดูนะครับ ผมเคยใช้แต่โปรแกรมดรีมฯ
ขอบคุณครับ
สวาวสาวส
ขอบคุณค่ะ