ทำอย่างไรจึงจะรักคนที่เรารู้สึกไม่ชอบ?


"ทุกครั้งที่จับได้ไล่ทันอารมณ์และความคิดของตนเอง ว่าเรากำลังตัดสินใครบางคนอยู่ แล้ววางลงได้ คนที่ได้อานิสงส์ก่อนใครอื่น คือ ตัวเราเอง"

เพื่อนร่วมงานเก่าคนหนึ่ง ไม่ได้เจอหน้ากันมานับสิบปี ส่งอีเมล์มาถึงผมวันนี้ว่า
ได้อ่านหนังสือที่ผมเขียน "โลกสดใสเมื่อคนไข้กับหมอปฏิบัติต่อกันฉันมนุษย์" แลัว
เขาบอกว่าให้ประโยชน์มาก เป็นหนังสือที่ให้กำลังใจแก่ทุกคน
     "เป็นการเห็นความดีที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคนและสรรพสิ่ง...
      เมื่อเป็นเช่นนี้ เราไม่มีสิทธิที่จะพิพากษามนุษย์และสรรพสิ่งเลย
      เราเพียงต้องหวังดี ส่งเสริม สนับสนุน ให้กำลังใจ ชื่นชม รัก
      อย่างที่คุณสุรเชษฐได้ทำ..."

เขายังอวยพรมาด้วยว่า ขอให้พระธรรม/พระเจ้า ทรงเมตตาพวกเราทั้งหลาย
ครอบครัวและมิตรสหายให้เจริญรุ่งเรืองในธรรม (เพื่อนคนนี้เป็นคาทอลิก)

ผมอ่านแล้วเกิดความรู้สึกว่า
เขาเป็นผู้อ่านคนหนึ่งที่เข้าถึงประเด็น (get to the point) ของหนังสือเล่มนี้มาก
นั่นคือ สิ่งที่ผมต้องการสื่อในหนังสือเล่มนี้คือ "เมตตาธรรม"
โดยสื่อสารผ่าน "เรื่องเล่า"

ผมได้เขียนตอบเขาไปว่า...

ผมเพิ่งได้เรียนรู้เรื่องความเมตตาและความกรุณาที่ลึกซึ้งขึ้นไม่กี่ปีมานี้เอง
ก่อนหน้านั้นใช้ "หัว" คิดเอาตามหลักเหตุผล(ตรรกะ) แล้วคิดว่าตนเข้าใจ
เพิ่งมารู้ว่าเรื่องนี้เข้าใจผ่านหัวอย่างเดียวไม่ได้หรอก
หลายเรื่องในชีวิตจะเข้าใจได้จริงๆ ต้องผ่าน "ใจ" หรือความรู้สึกด้วย
และหลายเรื่องก็สะท้อนผ่านทาง "เรื่องเล่า" ได้เท่านั้น
โดยให้ผู้อ่านหรือผู้ฟังถอดรหัส(นัย)ด้วยประสบการณ์ของเขาเอง
การสื่อสารโดยการพูดเพียงหลักการมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อผู้ฟังหรือผู้อ่าน
มีประสบการณ์รองรับหลักการนั้น
หมายความว่ามี "เรื่องเล่า" ที่เชื่อมโยงกับหลักการนั้นอยู่ในความทรงจำก่อนแล้ว
ส่วนตัวผมเองเชื่อว่าการสะท้อนผ่านเรื่องเล่ามี "พลัง" กว่า

ผมบอกเพื่อนว่า คุณ...เป็นคนหนึ่งที่มองเห็นรหัสนัยที่ผมต้องการสื่อในหนังสือเล่มนั้น
คือเห็นว่าสิ่งที่ผมต้องการสื่อ คือ ความเมตตากรุณาจากทั้งสองฝ่าย
ทั้งจากทางผมและหมอ รวมทั้งบุคลากรโรงพยาบาลคนอื่นๆ
เมื่อผมเมตตาและกรุณาต่อท่านทั้งหลายเหล่านั้นแล้ว
เป็นการกรุณาด้วยความบริสุทธิ์ใจ โดยไม่คาดหวังว่าจะได้รับการตอบแทนหรือไม่ อย่างไร 
และผมก็มักได้รับความเมตตาและกรุณากลับคืนมาเสมอๆ 
นั่นคือ เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเริ่มต้นขึ้นในทิศทางใดแล้ว
ก็มักได้รับการตอบสนองในทิศทางเดียวกัน

ผู้อ่านหลายคนสะท้อนไปในทำนองอยากเห็นหมอและ รพ.ดีๆ
อย่างที่ผมพรรณนาในหนังสือเล่มนั้น
ซึ่งก็ถือว่าเข้าใจหรือเข้าถึงได้ในระดับหนึ่ง ก็เป็นประโยชน์อยู่
มีน้อยคนที่สะท้อนว่าผมกำลังเขียนเรื่องการฝึกฝนตนเอง
ในเรื่องความเมตตาและความกรุณา อย่างที่คุณ...สะท้อนมา
 
เรื่องการไม่ตัดสิน(พิพากษา)ใครนั้นก็เกี่ยวข้องกับเมตตาธรรม
ผมตอบเขาไปว่า ผมเห็นด้วยกับเขามากในการไม่ตัดสินคนอื่น
และยังเสริมด้วยประสบการณ์ส่วนตัวด้วยว่า
ทุกครั้งที่ผมสามารถจับได้ไล่ทันอารมณ์และความคิดของตนเอง
ว่าผมกำลังตัดสินใครบางคนอยู่ แล้ววางลงได้ (อุเบกขา)
คนที่ได้อานิสงส์ก่อนใครอื่น คือ ตัวผมเอง

นั่นคือการที่เราสามารถเป็นอิสระจาก "ตัวตน" ของเราได้มากขึ้น
ยิ่งเป็นอิสระได้มากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งพบกับความสุข(ภายใน)มากขึ้นเท่านั้น
โลกก็สวยสดงดงามขึ้นด้วย มองอะไรก็น่ารักขึ้น
แม้แต่คนที่เราเคยรู้สึกไม่ชอบ ก็กลับรู้สึกรักเขาขึ้นมาได้

ผมเชื่อว่า เรายิ่งถอยห่างจากตัวตนของเราได้มากขึ้นเท่าไร
เราก็จะยิ่งใกล้ชิด "ความจริง ความดี ความงาม"
รวมทั้งความสงบ สันติ ภายในจิตใจเราได้มากขึ้น
รู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับผู้อื่นและธรรมชาติรอบตัวได้มากขึ้น
เชื่อมโยงกับโลกกับจักรวาลได้มากขึ้น
สามารถรักและเมตตาต่อสรรพสิ่งได้มากขึ้น.

สุรเชษฐ เวชชพิทักษ์
๒๙ ส.ค. ๕๓

หมายเลขบันทึก: 389133เขียนเมื่อ 29 สิงหาคม 2010 14:34 น. ()แก้ไขเมื่อ 30 เมษายน 2012 22:49 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท