มนุษย์เป็นสัตว์สังคม จึงติดต่อ สื่อสาร แลกเปลี่ยน มีปฏิสัมพันธ์ และเลือกสรรค์หมู่คนที่ติดต่อด้วย เมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้าไป ก็มีความพยายามที่จะใช้ระบบโทรคมนาคม มาเอาชนะข้อจำกัดเรื่องระยะทาง
ชุมชนออนไลน์ในเมืองไทยอันแรกเท่าที่มีหลักฐานบันทึกไว้ ตั้งขึ้นเมื่อ 29 ธันวาคม 2529 เป็น Bulletin Board ชื่อ CP/M Bangkok User Group หรือ BUG Board ซึ่งใช้คอมพิวเตอร์ยี่ห้อ Morrow Design รุ่น MD-11 ใช้ระบบปฏิบัติการ CP/M ใช้โปรแกรมได้ทีละโปรแกรม มีฮาร์ดดิสก์ขนาด 10 MB กับโมเด็มความเร็ว 1200 bps หนึ่งตัว สมาชิกที่เข้ามาใช้ ผลัดกันเชื่อมต่อมาทีละคน
มาตรฐานของโมเด็มยังสับสน มีทั้งแบบอเมริกัน (Bell) และแบบมาตรฐาน (CCITT) การสื่อสารผ่านโมเด็มยังวุ่นวายเรื่องความเข้ากันได้ (compatibility) เรื่องนี้เริ่มสงบเมื่อโมเด็มพัฒนามาจนมีความเร็ว 14400 bps (14.4 kbps)
การที่เข้ามาเขียน/อ่านได้ทีละคน เป็นการจำกัดปริมาณข้อความไปในตัว ทำให้ผู้ดูแลระบบ (System Operator หรือ SysOp) สามารถตรวจกรองข้อความต่างๆ ได้ทั้งหมด SysOp เป็นเจ้าของ bulletin board สมาชิกมาเขียนในพื้นที่ของเขา SysOp จึงมีสิทธิจัดการได้ทุกอย่าง ทั้งลบสมาชิก ลบข้อความ ลบความเห็น แล้วบางทีเขาก็เรียกตัวเองว่า SysGod
โดยทั่วไป แม้ BBS อาจจะมีลักษณะเผด็จการได้ SysOp มักไม่ค่อยแทรกแซงการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพียงแต่ผู้ใช้รู้อยู่ว่า SysOp สามารถจะทำอะไรก็ได้ BBS มักจะสงบดีพอสมควร
SysOp เป็นเจ้าของหอพักครับ ถ้าเขาไม่ให้อยู่ หรือเราไม่ชอบที่จะอยู่ที่หอพักนี้ ก็ย้ายไปที่อื่น -- ในยุคที่ BBS รุ่้งเรือง มีเปิดบริการประมาณ 50 บอร์ด
USENET เป็นระบบที่คัดลอกข้อความแล้วส่งต่อๆ กันไปยังคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ทำให้ผู้ใช้เชื่อมเข้าสู่เครือข่ายที่เครื่องที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด แต่สามารถอ่านข้อความของผู้อื่นที่โพสมาจากไกลๆ ได้ สามารถตอบกลับได้ ข้อความต่างๆ ปรากฏต่อผู้ใช้ USENET ทั้งหมดบนทุกเครื่องในเครือข่าย
เนื่องจากข้อความปรากฏต่อผู้ใช้ทุกคน USENET จึงมี collective brain power อยู่อย่างมหาศาล แต่ในขณะเดียวกัน ก็มี collective disputes มากอย่างมหาศาลเช่นกัน
เพราะ USENET กระจายตัวอยู่ทั่วโลก ผู้ใช้ต่างเข้าใจเรื่องเดียวกันไม่เหมือนกัน อยู่กันคนละบริบท มาจากต่างวัฒนธรรม ต่างภาษา ต่างระบบการคิด ต่างประสบการณ์ จึงมองเรื่องเดียวกันแตกต่างกันได้มาก
ปรากฏการณ์ USENET เป็นตัวอย่างของการอยู่ร่วมกันอย่างสับสน (ซึ่งไม่ใช่ chaordic แต่เป็น chaos ภายใต้กฏเกณฑ์ง่ายๆ ระดับหนึ่ง) ใน USENET ไม่มีใครควบคุมใครได้เลย ทุกคนต่างมีอิสระที่จะแสดงความคิดเห็น ก้าวร้าว ด่าพ่อล่อแม่ ก้าวล่วงบุคคล ชนชาติ หรือศาสนาได้ (ยิ่งยั่วยิ่งโกรธ-เป็นการให้รางวัลคนยั่ว อธิบายแบบเดียวกับพฤติกรรมแกล้งเด็ก) โฆษณาสินค้าหรือโฆษณาตัวเอง ทั้งนี้เป็นเพราะ USENET node ส่วนใหญ่อยู่ในสหรัฐอเมริกา ซึ่ง fourth amendment ของรัฐธรรมนูญสหรัฐ รองรับอิสระในการแสดงความคิดเห็นไว้
USENET จัดแบ่งตัวเองเป็น newsgroups แต่ละ newsgroup เมื่อสร้างขึ้นมาแล้ว จะไม่มีการควบคุมอีก ผู้ใช้เขียนข้อความของตนแล้วโพส topic นั้นไป ผู้ใช้อ่านตอบข้อความด้วยการ reply ข้อความที่เกี่ยวเนื่องกันเรียกว่า thread -- ผู้ใช้เลือกอ่าน/เลือกตอบ แต่ละ topic เอาเอง ไม่มีใครบังคับใครได้ ข้อความเมื่อโพสออกไปแล้ว เราเห็นแต่ชื่อผู้เขียนกับ topic ส่วนการอ่าน เราเลือกอ่านหรือไม่อ่านเอาเอง; topic อยู่เฉยๆ ดังนั้นถ้าเราไปอ่าน เราก็ต้องรับผิดชอบการตัดสินใจของเราเอง เหมือนเปิดไฟล์ที่มีไวรัสครับ บนเน็ตเราต้องรับผิดชอบต่อการเลือกสรรของเราเอง ส่วนผู้เขียนข้อความก็รับผิดชอบข้อความของเขาตามกฏหมาย หรือข้อตกลงของสังคมนั้นๆ
เครือข่ายคนไทยบนอินเทอร์เน็ตนั้น เริ่มต้นที่ USENET newsgroup ที่ชื่อ soc.culture.thai
เดิมทีนั้น มีการสร้าง USENET conference ชื่อ soc.culture.asean เพื่อให้ประชาคมอาเซียนได้ใช้แลกเปลี่ยนกัน ต่อมาก็เกิดความแตกแยกในลักษณะการปะทะคารมอย่างรุนแรงขึ้น มีทั้งการด่าทอ กล่าวร้าย กล่าวหา บิดเบือนข้อเท็จจริง ฯลฯ
ผู้กระทำการเหล่านี้ มักเป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรีซึ่งใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นก้าวล่วงผู้อื่นและชนชาติอื่นโดยเจตนา เพียงเพื่อที่จะ offend คนอื่นเท่านั้น
อาจจะเป็นเพราะความเก็บกดที่ไม่มีเสรีภาพในประเทศของตน หรือต้องการพิสูจน์ให้โลกเห็นว่าตนมีสิ่งที่ไม่มีใครยอมรับว่ามี (และในที่สุดก็ได้พิสูจน์ให้เห็นประจักษ์โดยทั่วไปแล้ว คนเหล่านั้นว่าไม่มี maturity จริงๆ)
อาการทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้น เป็นไปโดยความสะใจส่วนตัว (Flame war สงครามน้ำลาย) และไม่มีความต้องการที่จะยุติข้อขัดแย้ง จนในที่สุดแล้วประชาคมไทยได้แยกตัวออกจาก soc.culture.asean ตั้งเป็นกลุ่ม soc.culture.thai
ในปี 1990 Michael Godwin ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญกฏหมายเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตระดับโลก และเป็นทนายที่ปรึกษาคนแรกของ Electronic Frontier Foundation ซึ่งเป็นองค์กรปกป้องเสรีภาพและสิทธิผู้บริโภคบนอินเทอร์เน็ต ได้ตั้งข้อสังเกตไว้-ต่อมาได้กลายเป็นกฏของ Godwin ว่า
"As an online discussion grows longer, the probability of a comparison involving Nazis or Hitler approaches one."
กฏนี้หากตีความตามตัวอักษรจะไม่รู้เรื่องเพราะเขียนออกมาในบริบทของตะวันตก แต่ความหมายที่แท้จริงก็คือ เมื่อคุยกันไปยาวๆแล้ว ความแตกต่างทางความคิดที่เด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดจะหลงประเด็นกันไปหมด (หลุดโลกไปได้ง่ายๆ) เพราะผู้ใช้เน็ตแต่ละคน เป็นปัจเจกชน มีความคิดเห็นเป็นอิสระ มีพื้นฐาน-มุมมองที่ไม่เหมือนกัน
โดยนัยนี้ สำหรับ public forum ที่ไม่มี moderator คอยควบคุมให้อยู่ในประเด็น การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอาจหลุดออกนอกประเด็นไปได้ง่าย เมื่อความแตกต่างมีมากขึ้นเรื่อยๆ ประเด็นที่เป็นจุดเริ่ม ก็ไม่สำคัญไปกว่าหน้าตา (credibility) ของผู้ใช้เน็ตอีกแล้ว เป็นความพยายามจะเอาชนะกัน ไม่ใช่เรื่องของประเด็นอีกต่อไป
{บันทึกนี้รับปากอาจารย์วสวัตดีมารไว้ว่าจะเขียน แต่ไม่มีเวลาเขียนให้จบ จึงตัดตอนส่วนพื้นฐานความเข้าใจออกมาก่อนครับ}
ถอดบทเรียนเกี่ยวกับชุมชนออนไลน์ (ตอนที่ 1) -- ตัวตนคนใช้เน็ต
สวัสดีค่ะ
จริงๆบันทึกนี้ น่าจะเขียนเสียตั้งนานแล้วนะคะ ในฐานะผู้ที่คร่ำหวอด ในวงการนี้มานานกว่าใครๆ
ตั้งแต่ ยังไม่มีใครที่โกทูโนนี้ จะรู้เรื่องสังคมออนไลน์สักเท่าใด
เพราะก็มีบางอย่างที่เราควรระวังไว้บ้าง เช่น เรื่องความขัดแย้งบางอย่างที่อาจมี
ตอนแรกๆ การโต้ตอบกันทางอีเมลล์ ก็ว่า รวดเร็ว น่าตื่นเต้นแล้ว
ต่อมา ยังสามารถพูดคุยกันทันที ทันควันแบบออนไลน์ใน Live Messenger หรือในบล็อกได้อีก ยิ่งน่าตื่นตา ตื่นใจเข้าไปใหญ่
บล็อกจึงกลายเป็นที่ๆ เราได้เรียนรู้หลายๆสิ่งหลายๆอย่าง จากบันทึกต่างๆ พร้อมทั้งมีความสนุกสนาน ผ่อนคลาย ไปในตัว
ก่อนหน้านี้ นานมาแล้ว เคยได้ยินมีคนถามกันมาก ว่า
แล้วชุมชนออนไลน์รูปแบบนี้ จะใช้อะไรเป็นเครื่องตัดสินระดับการเข้าถึงและประเมินว่าใครเป็นสมาชิกที่ไว้วางใจได้
ซึ่งปัญหานี้ หมดไปบ้าง เมื่อแต่ละweb site ให้สมาชิก ทุกคน ต้องเปิดเผย ที่มาที่ไปของตนเอง เช่น บอกเลขบัตรประจำตัว
แต่บางที่ (ที่อื่นๆ) ก็ยังไม่หมดเสียทีเดียวค่ะ เท่าที่เห็น ยังมีปัญหาอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่ที่นี่
ที่โกทูโน สมาชิกสุภาพสุดแล้ว เมื่อเทียบกับหลายๆสังคม internet ของที่อื่นๆ
ตัวเองชอบที่นี่ค่ะ แม้จะมีเขียนที่อื่นอีกบ้าง ก็ชอบที่นี่ที่สุด
และก็ไม่นึกฝันว่า จะชอบเขียนบันทึกออนไลน์แบบนี้เลย
มีความรู้สึกว่า บล็อกเปรียบเสมือนหนังสือพิมพ์หรือวารสารส่วนตัว หรือรายการคุยข่าวยอดฮิตที่ผลิตด้วยตัวเราเอง ตามความสนใจของเรา
อาจมีคนเข้ามาเยี่ยมชมบ้าง และแสดงความคิดเห็น ถ้ามีคนชอบเนื้อหา ที่เราบอกเล่า บางทีก็จะลิงก์บล็อกของเรา เข้าไปในบล็อกของเขาด้วย
อยากให้คุณConductor เขียนเล่าต่อในเชิงลึก อีกค่ะ
บอกว่า.....ทั่วโลกมีการสร้างบล็อกใหม่ทุก 7 วินาที เว็บวารสารที่สามารถอัพเดตได้อย่างสะดวกง่ายดายเหล่านี้ ปัจจุบันมีมากกว่า 24 ล้านบล็อก และเพิ่มขึ้นประมาณ 7 หมื่นบล็อกต่อวัน จะเพิ่มเป็น 2 เท่าทุก 5 เดือน
โอ้โฮ!!!เยอะมากๆเลย
แต่บล็อก ที่โกทูโน นี้ เป็นแบบเรียบๆ ไม่แรง เหมือนบล็อกที่อเมริกา ซึ่งคิดว่า น่าจะเหมาะกับวัฒนธรรม ขี้เกรงใจ ของเรานะคะ ลองอ่านดู สงสัยคุณแว้บ อยากติเพื่อก่อ แต่ไม่พูดชัดๆ....
http://gotoknow.org/blog/vasablog/162689
การเกรงใจกันเป็นของดีมากๆ แต่ บางที...ถ้าจะออกความเห็น ในเชิงอื่นบ้าง จะได้ไหมคะ อิๆๆๆ.....พุดเล่นนะ อย่าถือค่ะ.....พุดเล่นน่ะ....
พี่ศศินันท์: ขอบคุณสำหรับความเห็นทั้งสองครับ ผมเขียนนานแล้วตั้งแต่ 28 ธันวาคมปีที่แล้ว แต่ว่าเพิ่งเปิดให้อ่าน ที่เขียนมานี้ ยังไม่ได้แย้มพล๊อต หรือเข้าใกล้ไคลแม็กซ์เลยนะครับ กำลังขี่ม้าเลียบค่ายอยู่
การใช้เน็ตมานาน(มาก) ไม่ได้หมายความว่าผมถูกต้องทั้งหมดครับ ถูกหรือผิด ดีหรือไม่ดี เป็นประโยชน์หรือไม่ ขึ้นกับมุมมองของแต่ละคนใช่ไหมครับ
ส่วนเรื่องข้อมูลส่วนตัวนั้นเป็นดาบสองคม (อันนี้ขอรับรองว่าคมจนบาดได้ทั้งสองด้านจริงๆครับ) บันทึกและความคิดเห็นใน GotoKnow เกี่ยวกับเรื่องการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวครับ
อย่าลืมว่าเราไม่ได้เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวต่อเพื่อนๆ ใน GotoKnow เท่านั้นนะครับ ข้อมูลนี้อยู่บนอินเทอร์เน็ตและผู้ใช้อินเทอร์เน็ตอีกพันล้านคน ค้นหาได้ง่ายโดยอาศัย search engine ต่างๆ -- ถึงจะปิดไม่ให้ผู้ที่ไม่ใช่สมาชิกและ search engine crawler อ่านประวัติ แต่การสมัครสมาชิกเพื่อมาเอาข้อมูลก็ทำได้ง่ายมาก -- เผอิญสังคมออนไลน์ไม่ใช่ Utopia (สวรรค์บนดิน) เสียด้วยซิครับ
ผมไม่เห็นว่าข้อมูลส่วนบุคคล เช่นที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ อีเมล ควรจะเป็นข้อมูลสาธารณะ แม้เอามาเปิดเผย ก็ไม่เกี่ยวกับจริงใจหรือไม่จริงใจครับ [คือถ้าอยากรู้จริงๆ ก็ถามได้ไม่ยาก แล้วเจ้าของข้อมูลพิจารณาเอง ว่าจะให้หรือไม่ให้]
ผมเห็นด้วยกับพี่ว่าโดยรวมสังคม GotoKnow นี้สุภาพมากครับ
อย่างไรก็ตาม ปัญหาใหญ่ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ก็คือการคิดเอาง่ายๆ ควรไตร่ตรองให้ดีก่อน เวลาจะช่วยพิสูจน์อะไรได้หลายอย่าง แม้ว่าจะไม่ได้รับประกันอะไรหรอกครับ
แหม คุณซูซาน เดี๋ยวหลุดครับ เรื่องนั้นอยู่ในตอนอื่น ไม่อยากขยายความตอนนี้ เดี๋ยวจืดหมด
ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นครับ
สวัสดีครับ คุณ Conductor
บุญรักษา ครับ :)
มีแซวมาทางช่องทางอื่น (ตาม #3) ว่า ถ้าไม่ไกล้ไคลแม็กซ์เลย แล้วมีคำแนะนำออกมาได้ยังไง[คำสุภาพ]
ตอบว่าข้อแนะนำไม่ใช่ไคลแม็กซ์ครับ ข้อแนะนำอยู่ทางปลายเหตุ เมื่อเกิดเหตุแล้วจึงหาทางป้องกัน เรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้น ป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายซ้ำซาก -- เป็นอาการ reactive (แต่ยังดีกว่าปล่อยผ่านไปเฉยๆ)
ถ้าไม่เข้าใจ "เหตุ" ก็จะไม่สามารถระงับเหตุได้หรอกครับ เพราะไม่รู้จะระงับอะไร คลำหาเป้ายังไม่เจอเลย ลองพิจารณาตามนี้ดีไหมครับ แล้วบางทีอาจจะเห็นว่าเราทุกข์กับเรื่องที่ไม่สมควรจริงๆ เราทุกข์เพราะหาเรื่องทุกข์มาใส่ในใจของเราเอง (489) KM คืออะไร 88. ยาแก้โรคฉาบฉวย
นั่นล่ะครับ....ใกล้ไคลแม็กซ์เข้ามาอีกนิดนึง
ความเห็นนี้ไม่มีอะไรหรอกครับ เพียงแต่อยากจะเล่าว่าเมื่อวานนี้ ได้พบเพื่อนเก่าที่เคยใช้ soc.culture.thai ท่านหนึ่งครับ ตอนนั้นเรียนปริญญาเอกอยู่ที่มหาวิทยาลัย Carnegie Mellon อยู่ห่างกันครึ่งโลก ตอนนี้กลับมาทำงานสอนและงานวิจัย เป็นศาสตราจารย์มาหลายปีแล้ว
ท่านมาทำงานให้กับเมืองไทย ลงทุนกับเด็ก โดยปฏิเสธความมั่งคั่ง (ปีละหลายสิบล้านบาท) ที่บริษัทข้ามชาติเสนอให้ แม้เราทั้งสองจะเลิกใช้ soc.culture.thai มานานแล้ว แต่มิตรภาพยังคงอยู่ครับ
ไม่แน่ว่าอะไรต่อมิอะไรในโลกเสมือน จะไม่ใช่ของจริงเสมอไป ทั้งหมดอยู่ที่เราเลือกสรร และเรารับผลของการเลือกสรรนั้นเองครับ
กมฺมุนา วตฺตตี โลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
สวัสดีค่ะ คุณ Conductor
ผมเขียน ผมบันทึก ไม่ได้นึกถึงกฎกติกาอะไรเลย นอกเหนือจากกฎของธรรมชาติ รู้หน้าที่ รู้ตัว รู้กาล รู้เทศะ ไม่ขัดแย้งไม่แข่งขันกับใคร สุขสบายตลอดชีวิตครับ
ผมว่า...สังคมออนไลน์หรือสังคมจริง ๆ ก็มีความเหมือนกันอยู่หลายอย่างครับ...
การวางตัวของเราในสังคมออนไลน์ก็ไม่น่าจะต่างจากการวางตัวในสังคมข้างนอกครับ...
....ใครดีกับเรา เราก็ดีตอบกับเขา...
...ใครไม่ประสงค์ดีกับเรา เราก็เฉย ๆ ไป เดี๋ยวเขาก็เบื่อไปเองครับ...
...ถ้าเราไม่แน่ใจก็ดูอยู่ห่าง ๆ อาจจะดีกว่า...
...แต่ที่แน่ ๆ ตัวเราต้องเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมนั้นครับ...
ขอบคุณครับ...
{บันทึกนี้รับปากอาจารย์วสวัตดีมารไว้ว่าจะเขียน แต่ไม่มีเวลาเขียนให้จบ จึงตัดตอนส่วนพื้นฐานความเข้าใจออกมาก่อนครับ}
รบอ่านต่อเลยครับ
อย่าให้วัยรุ่นรอนาน อิอิๆๆ
ถึงตอนนี้ เขียนตอน 1 2 3 ไว้นานแล้วครับ ยังไม่มีแรงเขียนตอนต่อไป เตือนไว้ล่วงหน้า ว่าอาจจะมึนได้ ก่อนอ่านไปขยายหัวใจก่อน (ทำใจกว้างๆหน่อย)
โห อ่านหมดแล้ว ฮ่าๆๆๆๆ อยากอ่านอีก
ระวังและหลีกเลี่ยง Flame bait (กระทู้ล่อเป้า) และ Troll (เจตนาหลอกล่อ ยั่วยุ ปลุกปั่น มักมาในรูปของผู้หวังดี)
มันเปลี่ยนแปลงเร็วมาก จำได้ว่าจับคอมพิวเตอร์เมื่อตอนเรียนปี 1 ตอนนี้ผ่านมาสิบกว่าปี จำแทบไม่ได้ว่าตัวเองเรียนอะไรมา
อาจารย์ขจิต: โห เขียนยังไงถึงจะทันใจครับเนี่ย ข้อมูลที่ค้นไว้ ก็หายไปกับโน็ตบุ๊คที่เสียชีวิตไป ครั้นจะรวบรวมเขียนใหม่ ก็ต้องให้นิ่งๆ สบายๆ ก่อนครับ ไม่อย่างนั้น เขียนแล้ว ใช้ได้แป๊บเดียว เหนื่อยเปล่า น่าเสียดาย
คุณกวิน: อย่าเรียกผมอาจารย์เลยครับ... ประเด็นดีนะครับ จะมีเรื่องใด ที่มีมุมเดียวบ้าง น้ำใสปิ๊ง บริสุทธิ์จริงหรือ สิ่งที่เห็น เป็นอย่างนั้นจริงหรือ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เราคิด เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ทั้ง Flame bait และ Troll มักใช้ตรรกะ และ/หรือความจริงเพียงส่วนหนึ่งครับ ที่ยากคือจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรเป็น Flame bait หรือ Troll หากเข้าใจ ตระหนักรู้ ก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกได้ว่าจะร่วมหรือไม่อย่างไร ... คำแนะนำในบันทึก เขียนเป็นกลางๆ หลายเดือนแล้ว เตือนไว้ว่ามันมีอย่างนี้อยู่ครับ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ให้ระแวงไปทั่ว
พี่บางทราย: ขอบคุณครับพี่ "Nearly all men can stand the test of adversity, but if you really want to test a man's character, give him power." -- Abraham Lincoln และเราทดสอบวุฒิภาวะของสังคมได้ โดยดูว่าจัดการกับความขัดแย้งอย่างไร แต่ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร สังคมนั้น จะต้องก้าวต่อไป (จีบัน) หรือติดแหงก รอความแตกสลาย ซึ่งเมื่อสังคมแตกสลาย ชนะหรือแพ้/ขาใหญ่ขาโจ๋/ถูกหรือผิด ก็ไม่มีความหมายอีกต่อไปครับ
คุณออต: สิ่งต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดาครับ ฝนมาแล้ว รีบปลูกไผ่ จะได้โตเร็วๆ