เชื่อหรือไม่ว่า วันไหนดอกบัวดอกนี้พ้นน้ำเต็มตัว จนเห็นก้านดอกอย่างชัดเจน ปีนั้น จะเริ่มกลายเป็นปีมหัศจรรย์ของคนมีลูก คือถ้าใครมีลูก จะได้เป็นวีรชน และจะมีเครดิตภาษีแถมให้ด้วย
รูปนี้ ผมดึงข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ เป็นข้อมูลโครงสร้างประชากรประเทศไทยปี 2547 แล้วนำมาทำเป็นกราฟแท่ง เป็นโครงสร้างประชากรเริ่มตั้งแต่วัยเด็ก (ด้านล่าง) ขึ้นไปจนวัยสูงอายุ (พุ่มแหลมด้านบน)
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ บางประเทศ เริ่มใช้นโยบายแบบที่ว่ามาข้างต้น เช่น ออสเตรเลีย สิงคโปร์ เป็นต้น ส่งเสริมให้คนมีลูก !
ที่เรียกว่า วิกฤติดอกบัว ก็คือ วันไหนดอกทะลุขึ้นเหนือน้ำจนเห็นก้านดอก จะเป็นวันที่เด็กเกิดใหม่หายากมาก จนหมอสูติฯ และ หมอเด็ก จะตกงานกันขนานใหญ่ โรงเรียนอนุบาล ก็ต้องล้มหายตายจากไป
หลังจากนั้นอีก 15 ปี ช่องเก้า อสมท. ก็จะไม่มีการ์ตูนออกมาฉายตอนเช้า ๆ ของวันเสาร์อาทิตย์อีก จะไม่มีมดแดง มดเอ๊กซ์ ดรากอนบอล ฯลฯ มาฉายอีก เพราะสปอนเซอร์ขนมสำหรับเด็ก เลิกสนใจกลุ่มเป้าหมายนี้ หันไปโฟกัสจับลูกค้าวัยดึกแทน
ยังครับ..ยังไม่หมดแค่นี้
ที่ว่าไปแล้วคือวิกฤติฟากลูกเล็กเด็กแดง ที่อยู่ด้านฐานข้างล่าง
คราวนี้มาดูด้านข้างบนบ้าง
เมื่อเวลาผ่านไป ดอกบัวดอกนี้ก็จะชูตัวขึ้นไปข้างบนสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยเมื่อมีคนในแต่ละช่วงอายุล้มหายตายจากไป ดอกบัวก็จะผอมแฟบลง ราวกับมีการสลัดผิวออกไป โดยยอดดอก สลัดแรงหน่อย กลาง ๆ ดอก ก็สลัดเบาหน่อย
เนื่องจากการแพทย์ดีขึ้น การตายลดลง ผลก็คือ การสลัดผิวออกไปน้อยลง หรือนั่นก็คือ ดอกจะไม่สึกไม่หรอเลย
ตอนนี้ส่วนที่อ้วนที่สุดของดอก อยู่ที่ประชากรอายุราว 30-50 ปี
อีก 20 ปีข้างหน้า ส่วนนี้จะถูกดันขึ้นไปกลายไปเป้นกลุ่มผู้สูงอายุ และส่วนหนึ่ง จะมีปัญหาเรื่องคุณภาพชีวิตร้อยแปด จนอยู่ไม่เป็นสุข และต้องการการเอาใจใส่ดูแลจากส่วนฐานล่าง ที่ค่อย ๆ เล็กเรียวลง
ก็จะกลายเป็นว่า ฐานล่างเล็กนิดเดียว ประคองดูแลส่วนยอดที่ใหญ่เบ้อเริ่ม
นี่คือระเบิดประชากรศาสตร์ขนานแท้
ข้างล่างก็ใช่ คือถ้ามีแต่ลดลงถ่ายเดียว ก็คือการสูญเผ่าพันธุ์
ข้างบนก็ใช่ คือถ้ามีแต่คนสูงวัย ก็จะเป็นภาระหนักกับสังคมข้างล่าง
ถ้าสูงวัยแบบแข็งแรง ก็จะเบาสบาย ไม่เป็นภาระกดทับข้างล่าง เพราะพึ่งตัวเองได้ดี
ไม่เพียงแตแข็งแรงทางกาย ต้องแข็งแรงทางการเงินด้วย
ผมนึกเล่น ๆ ดูว่า ในอนาคต รูปแบบที่คนสูงวัย จะสนธิพลัง กับคนวัยทำงาน ได้ดีที่สุด น่าจะเป็นรูปแบบที่ว่า คนสูงวัยต้องมีความเข้มแข็งทางการเงิน ลงทุนในกิจการในประทศ ไม่ว่าจะโดยตรง (ทำธุรกิจ) หรือโดยอ้อม (ลงทุนในกิจการบริษัทต่าง ๆ เช่น บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ หรือผ่านแบบอ้อมมาก ๆ แบบกองทุนรวม) เพื่อให้เกิดการจ้างงานในประเทศ ซึ่งจะเป็นการแก้ปัญหาหลายเรื่องไปในคราวเดียวกัน คือเป็นที่พึ่งการเงินให้คนอ่อนวัยกว่า ส่วนคนอ่อนวัยกว่าก็เป็นที่พึ่งทางกายให้คนสูงวัยกว่า
ตรงนี้ผมว่า เราคงต้องทบทวนแนวคิดเรื่องการลงทุนในครัวเรือนกันใหม่
เพราะหากไม่คิดในเวลาที่ทุกอย่างดูไม่สดใสแบบนี้ ไปคิดในช่วงตลาดหุ้นบูม ก็จะเข้าวงจรเป็นแมงเม่าให้ต่างชาติเถือเล่นเสียเปล่า ๆ
เรียนรู้การลงทุนต้องเรียนรู้ตอนคนไม่สนใจการลงทุน
แต่ถ้าสูงวัยแบบหง่อมก่อนวัย ช้ำใน ป่วยทางกาย ป่วยทางใจ ป่วยทางการเงิน ป่วยทางสังคม แบบนี้ รายการโศกนาฎกรรมบันเทิง (รายการสารคดีคุณปู่ตาบอดเลี้ยงหลานโดยคุ้ยกองขยะ) ต้องเพิ่มรอบเช้าและเที่ยง จึงจะค่อยสมน้ำ-สมเนื้อกับระดับของปัญหา
เป็นสถานการณ์ที่น่ากลัวมาก ๆ เลยนะครับ...
สวัสดีครับอาจารย์
สภานการณ์นี้น่ากลัวมากจริงๆครับ ไม่ทราบว่าอาจารย์พอจะทราบไหมครับว่า มีการศึกษาหรือเปล่าว่า อัตราการเกิดและการตายของประชากรของประเทศไทยนั้น สมควรจะเป็นเท่าไรต่อปี ถึงจะสมดูลย์ครับ
อีกเรื่องครับอาจารย์ อาจารย์มองว่าแล้วสิงคโปร์กับออสเตรเลียจะทำรับมือกับสถานการณ์นี้ยังไงครับ ผมคิดว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ถึงจุดๆหนึ่ง ผมเชื่อว่าจะมีการซื้อสมองนะครับ
ผมคิดว่าเรื่องประชากรศาสตร์จำเป็นที่จะต้องศึกษาดีๆครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้ารัฐบาลจะพัฒนาตัวเอง ไปเป็นรัฐสวัสดิการ เพราะว่า การพัฒนาด้านการแพทย์ และปัญหาด้านประชากรนี่แหละครับ ที่ทำให้ระบบ social security ของอังกฤษล้มไปแล้ว และของอเมริกาก็กำลังมีปัญหาอย่างมากถึงมากที่สุด
น่าคิดนะครับ ผมว่าถึงเวลาที่รัฐบาลต้องมาทำการวางแผน เรื่องประชากรอย่างจริงจังแล้วครับ
คุณ