อยากเล่าเรื่องของคนคนหนึ่งให้ฟัง


นาย John Fisher ขณะที่อายุได้ 38 ปี ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจใหม่ พี่แกลงวิ่ง London Marathon มาแล้ว 5 ครั้ง ลงวิ่งมาราธอน ที่ Athens Snowdonia Sydney และ Venice มาแล้ว หลังสุดใช้เวลาเพียง 4 ชั่วโมง 13 นาที 23 วินาที มานึกถึงตัวเรา ร่างกายก็ดีๆอยู่ หัวใจก็ของเราเอง แต่ไม่รู้จักดูแลรักษา จะออกกำลังกายก็มัวกลัวโน่นกลัวนี่ อ้างโน่นอ้างนี่ เทียบกับนาย John Fisher แล้วรู้สึกอาย

เรื่องที่อยากเล่าให้ฟังคือเรื่ิองของนาย John Fisher  นายคนนี้ก็เป็นคนธรรมดาๆนี่เอง  มีอาชีพเป็น DJ ในไนท์คลับมาก่อน  ก่อนหน้านั้นเคยผ่าตัดซ่อมลิ้นหัวใจ ( Aortic Valve ) ที่มีปัญหามาก่อน   ต่อมาอาการก็แย่ลง  แค่อาบน้ำแต่งตัวเอง  ก็ชักจะไม่ไหวเอาซะแล้ว  แพทย์บอกว่าต้องผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ  แกก็ตัวชา  พูดอะไรไม่ออก  คิดถึงแต่เมียกับลูกอีก 4 คนว่าใครจะดูแล  ในใจคงคิดว่า  ไม่รอดแน่แล้วเที่ยวนี้  แกก็รอคิวผ่าตัดตั้งแต่เดือน สิงหาคม 1999

        วันที่ 30 กรกฎาคม ปี 2000  ขณะที่อายุได้ 38 ปี  พี่แกก็ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจใหม่  หลังผ่าตัด 5 วันก็เริ่มเดิน   8 วันก็เริ่มเขียน website  โดยมีคนไข้ด้วยกันและเพื่อนๆช่วยสอนให้  ครบ 15 วันก็ได้กลับบ้าน

         6 อาทิตย์หลังผ่าตัด  ก็ไปร่วมเดิน  วันนั้นเดินได้ 3 ไมล์ครึ่ง    11 เดือนหลังผ่าตัดก็ถีบจักรยานระยะทาง  48 ไมล์

         20 เดือนหลังผ่าตัดพี่แกก็วิ่ง London Marathon ใช้เวลา 5 ชั่วโมง 56 นาที  24 วินาที   จนถึงวันนี้  พี่แกลงวิ่ง London Marathon มาแล้ว 5 ครั้ง  ลงวิ่งมาราธอน ที่ Athens  Snowdonia  Sydney  และ Venice  มาแล้ว  หลังสุดใช้เวลาเพียง 4 ชั่วโมง  13 นาที  23 วินาที

          นอกจากนี้พี่แกยังลงแข่ง London Triathlon ( ไตรกีฬา หรือ ไก่สามอย่าง ) อีก 3 ครั้ง  ไม่นับจักรยานทางไกลอีกนับไม่ถ้วน        วันที่ 22 เมษายน  2007  นี้พี่แกจะลงวิ่ง London Marathon ครั้งที่ 6  หรือเป็นการวิ่้งมาราธอนครั้งที่ 10 ของพี่แก  และในวันที่  19 พฤษภาคม 2007  ก็มีโปรแกรมจะลงวิ่ง Great Wall of China Marathon  ที่ประเทศจีนอีก

        ทั้งหมดที่นายคนนี้ทำก็เพื่อประชาสัมพันธ์เรื่องการผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะและชักชวนคนให้บริจาคอวัยวะหลังจากเสียชีวิตด้วยการแสดงความจำนงไว้ล่วงหน้าขณะที่ยังมีชีวิตอยู่  รวมทั้งรณรงค์ให้บริจาคให้กองทุนเพื่อการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ

        ฟังๆดูก็คล้ายๆไม่เห็นมีอะไร  แต่แค่ผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจก็คงไม่ธรรมดาแล้วหละ   ต้องกินยา  ต้องระวังอะไรต่ออะไรอีกตั้งหลายอย่าง  แต่นายคนนี้ก็ไม่ยอมแพ้  ไม่ย่อท้อ  แกสู้ยิบตา  คงต้องฝึกหนัก  มีวินัย  มีจุดมุ่งหมาย  มีความมุ่งมั่น  วิ่งมาราธอน  ระยะที่คนธรรมดาฟังแล้วยังรู้สึกหนาว  แถมยังวิ่งรณรงค์และหาทุนสนับสนุนกองทุนเพื่อการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจอีก

        มานึกถึงตัวเรา  ร่างกายก็ดีๆอยู่  หัวใจก็ของเราเอง  แต่ไม่รู้จักดูแลรักษา  จะออกกำลังกายก็มัวกลัวโน่นกลัวนี่  อ้างโน่นอ้างนี่  เทียบกับนาย John Fisher  แล้วรู้สึกอาย  ไม่ใช่ต้องการให้ทุกท่านฮึดฝึกหนักขนาดลงแข่งมาราธอนนะครับ   เอาแค่ออกกำลังกายแบบแอโรบิค  อาทิตย์ละ 3 วัน  ครั้งละ 20-30 นาทีก็พอแล้ว

        มีนักวิ่งมาราธอนหลายคนที่เคยเป็นโรคหัวใจ ( กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด )  ขนาดต้องนอนไอซียูกันมาแล้ว  พอหายป่วยแพทย์ก็แนะนำและฝึกให้ออกกำลังกาย  โดยการฝึกที่อาศัยหลักวิชาการ  ฝึกด้วยความระมัดระวัง  ไม่หักโหมจนเกินไปจนสามารถวิ่งระยะมาราธอนได้   แต่ขณะเดียวกันก็มีผู้เสียชีวิตขณะที่ออกกำลังกายด้วยการวิ่ง  หรือขณะร่วมการแข่งขันวิ่งเช่นเดียวกัน

        จะว่ายุก็ยุ  ยุให้ออกกำลังกาย  จะว่าปรามก็ปราม  ปรามไม่ให้หักโหมจนเกิดอันตราย  ให้ค่อยๆฝึก  ค่อยๆออกกำลังกาย  จะเอาให้แข็งแรงแค่ไหนก็ทำได้  แต่ต้องใช้เวลาหน่อย  หวังว่าอ่านเรื่องของนาย John Fisher  แล้วคงจะมีคนหันมาออกกำลังกายมากขึ้น  ซักคน 2 คนก็คุ้มที่เสียเวลาเล่าแล้วครับ

หมายเลขบันทึก: 87797เขียนเมื่อ 31 มีนาคม 2007 22:20 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 มิถุนายน 2012 06:59 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

เรียนคุณหมอ

         อ่านแล้วเหมือนเขาได้เกิดใหม่เลยค่ะ แถมประยุกต์ทำตัวใหม่ เริ่มด้วยการออกกำลังกาย  ช่วยให้เขามีสุขภาพดีอีกด้วย  ขอบคุณนะค่ะที่นำมาเล่าให้ฟัง

นาย John Fisher ก็ปฏิบัติตัวเป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัวที่แกได้รับบริจาคหัวใจมา  แกหวังว่าจะมีสุขภาพดีและได้ไปงานแต่งงานของลูกสาวคนเล็กซึ่งขณะนี้อายุ 12 ขวบแล้ว  ไม่ได้หวังที่จะร่ำรวยนะครับ

คนชอบวิ่ง ช่างหาตัวอย่างที่ดีๆ มานำเสนออย่างนี้นี่เอง..ถึงได้หุ่นดี....สุขภาพดี..น่าเอาเป็นแบบอย่างค๊ะ

ขอบคุณ คุณnininaya มากครับ  ที่มาเยื่ยมและชม ( ผู้เขียน )

ขอขอบพระคุณอาจารย์ "คนชอบวิ่ง"...

  • แวะมาขอบพระคุณครับ
  • ชอบวิ่งมาหลายสิบปีแล้ว... ยังไม่ถึงมาราธอนสักที
การออกกำลังกายก็เพื่อให้สุขภาพแข็งแรง  นพ. วัลลภ พรเรืองวงศ์ไม่จำเป็นต้องวิ่งมาราธอนก็ได้  ฝึกให้ได้ระดับความแข็งแรงเท่าที่เราต้องการ  ถ้าอยากวิ่งมาราธอนก็ต้องฝึกหนักและฝึกให้ถูกวิธี  ไม่งั้นก็จะเกิดการบาดเจ็บและเป็นอันตรายได้  ที่เอามาเล่าให้ฟังก็แค่อยากกระตุ้นให้มาออกกำลังกายเท่านั้น  ไม่ต้องถึงกับวิ่งมาราธอนหรอกครับ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท