เวลาเพียงราวๆหนึ่งปีที่ได้รู้จักกับคุณ “ศิลา ภูชยา” Sila Phu-Chaya
มากกว่าการรู้จักผ่านตัวอักษรทาง G2K ด้วยการได้มีโอกาสร่วมงานกันใน โครงการการศึกษาเพื่อการเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ โดย มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ ด้วยการชักชวนของหนุ่มมหัศจรรย์ จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร เพื่อมารวมพลังสมองและช่วยกันทำสิ่งดีๆ นับว่าเป็นจุดที่มิตรภาพงอกงาม
ชายหนุ่มนั้นไปทุกทิศทั่วไทย แม้ผู้เขียนอยากตามไปเชียร์ ไปช่วยก็เกินกำลังสว. เลยหมู่นี้ห่างหายกันไปพอควร
อาจด้วยด้วยความเป็นผู้หญิงเหมือนกัน ผู้เขียนกับ คุณศิลาจึงมีโอกาสสนิทสนมกันมากขึ้น แถมได้รู้จักกับคนข้างกายของเธอที่ผ่านการบวชเรียนเป็นนักปฏิบัติธรรม ทำให้ผู้เขียนซึ่งกำลังพยายามขัดเกลาตนเองบนเส้นทางสายนี้มีความเบิกบานในการสนทนากับน้องทั้งสองเสมอ เจอกันครั้งไรหรือแม้คุยกันทางโทรศัพท์ก็เหมือนได้เสวนาธรรม มีความเป็นกัลยาณมิตรต่อกันยิ่ง
ที่หายไปเป็นช่วงๆ ก็จากการผลัดกันเป็นสะพานบุญชวนกันไปทำงานที่โน่น ที่นั่น ซึ่งเป็นงานที่มีมิติของการทำความรู้จักตนเอง รู้จักผู้อื่น เพื่อยอมรับ ปรับตัว และเติมเต็มซึ่งกันและกัน ผ่านการใช้ ศาสตร์ Enneagram หรือ นพลักษณ์ ผู้เขียนมีความสนใจศาสตร์นี้มาก เพิ่งมารู้จักก็จากการได้รู้จักคุณศิลานี่แหละ เลยตามไปดู ไปเรียนรู้เวลาน้องเขาไปจัดให้หน่วยงานต่างๆ ตามความสะดวกของตัวเองและถือโอกาสได้ไปสถานที่แปลกๆ ได้พบผู้คนหลากหลายวงการ
การได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในกระบวนการเรียนรู้นพลักษณ์ ก็ยิ่งเห็นศักยภาพของการนำศาสตร์นี้มาใช้กับ Human KM โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการทำ Dialogue, Share & Learn, และStorytelling ตลอดจนการใช้กับแนวคิดเรื่อง พื้นที่ หรือ BA ของ Ikujiro Nonaka ในการหมุนเกลียวความรู้
ผู้เขียนสนใจการจัดการความรู้ในแนวทาง Human KM ที่สถาบันการจัดการความรู้เพื่อสังคม หรือ สคส. เป็นผู้กรุยทาง เพราะสนใจเรื่องความเป็นมนุษย์ว่าเป็นสิ่งที่ต้องมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งมากกว่าการมองว่าเป็นแค่ผู้ปฏิบัติงาน อาจกล่าวแบบสรุปสั้นๆว่าผู้เขียนสนใจการพัฒนาจิตวิญญาณ สนใจเรื่องสติ เพื่อให้ การทำงาน เป็นการปฏิบัติธรรม เรื่องนี้จึงถูกจริตตน
เมื่อไม่นานมานี้ได้ฟังดร.ประพนธ์ ผาสุขยืด บรรยายเรื่องTotal KM ว่าต้องมีการจัดการ 3 ระดับ ตามโมเดล
Total KM โมเดลภูเขาน้ำแข็ง
ส่วนที่สามนี้เป็นส่วนที่เป็นฐานอยู่ลึกที่สุด เป็นส่วนที่เป็นปัจเจก ซึ่งต้องมีการพัฒนาสติ-ปัญญา และเป็นส่วนที่มักถูกละเลยความสำคัญที่สุดในการทำงานในยุคนี้ ที่อะไรก็จะเอาแต่ Output เร็วๆ
ผู้เขียนและคุณศิลาได้คุยกันว่าแนวคิด Total KM นี้จึงเป็นสิ่งที่เข้ากันได้อย่างดีกับสิ่งที่คุณศิลาทำ ซึ่งเน้นที่ส่วนที่สาม เราสามารถนำเครื่องมือหลากหลายด้าน Spiritual Development มาปรับใช้ได้ในแนวทาง Human KM และ นพลักษณ์ เป็นศาสตร์ที่นำมาใช้เป็นเครื่องมือพัฒนาสติ-ปัญญาได้อย่างทรงพลัง
ล่าสุดผู้เขียนมีโอกาสใช้เครื่องมือหรือโมเดลอีกตัวหนึ่งที่วงการพัฒนาจิตวิญญาณใช้กันแพร่หลาย ผู้เขียนได้เคยเห็นการใช้โมเดลนี้ นั่นคือ Self Mandala ของ Virginia Satir มีคนให้ภาษาไทยว่า “มณฑลชีวิต” จึงศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมแล้วนำมาปรับใช้เป็นแผนที่ในการสำรวจตนเอง แล้วนำแนวคิดเรื่องสติมาอธิบายเพิ่มเติมเข้าไป แม้การพูดถึงเรื่องสติจะเป็นแนวทางพุทธศาสนาแต่ก็เป็นความรู้เพื่อมวลมนุษยชาติ ไร้พรมแดนหรือข้อจำกัดทางศาสนา เพื่อให้คนสมัยใหม่ที่ปกติไม่ได้สนใจเรื่องศาสนาหรือการปฏิบัติธรรม ได้น้อมใจลงใคร่ครวญ ฟัง สำรวจตนเองพอประมาณแล้วได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันในวง เป็นกิจกรรมที่ทำแล้วทุกคนมีความสุข เห็นความงาม ความดีในทุกคน
เป็นกิจกรรม การจัดการความรู้สึกตัว ที่ไม่ซับซ้อนและมีประโยชน์ไม่น้อย
ทุกเครื่องมือ ทุกแนวคิด มิใช่เพียงแค่ให้ได้ รู้
แต่สำคัญที่ เมื่อรู้แล้ว จะทำอะไร อย่างไรต่อไปเพื่อการพัฒนาตนเอง
ช่วงที่ห่างหายไปผู้เขียนจึงได้เติมเต็มชีวิตในหลายมิติ เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ แม้ไม่ได้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่อะไร แต่มีความสุข อยากนำมาเล่าสู่กันฟัง
แม้จะเหนื่อยจากการเดินทางอยู่บ้าง แต่ใจเบิกบานเหมือนพรรณไม้ฉ่ำสายฝน และขอฝากภาพดอกไม้ และ ดอกเห็ดที่งามรับฤดูฝนมาให้ชมกันด้วย แทนคำขอบคุณที่มาแวะเยี่ยมค่ะ
...เมื่อรู้แล้ว..จะทำอย่างไร..ต่อไป..เพื่อพัฒนาตนเอง...(อ่านแล้วประทับใจดี..กำลังตั้งสติ..จดจ่อกับประโยคนั้นอยู่พอดี)..ขอบคุณค่ะ..ยายธีเจ้าค่ะ
สวัสดีค่ะคุณยายธี นุชพออายุมากขึ้นๆจึงได้เห็นความสำคัญและความสัมพันธ์ของ สติ ที่มีต่อชีวิต หากขาด สติ ตัวเดียว ชีวิตที่ดำเนินไปคงสร้างเวรสร้างกรรมไม่รู้จบค่ะ
ขอบพระคุณที่บอกว่าอ่านแล้วประทับใจ เป็นกำลังใจอย่างยิ่งค่ะ
คุณศิลาSila Phu-Chaya ชมอย่างนี้ อาจมีคนบอกว่าพวกเราชมกันเองนะคะ อิ อิ แต่ไม่เป็นไร แค่เรามีความสุขในการได้ทำงานที่เกี่ยวข้องกับจิตใจ การมีสติ ก็มีความสุข ความงามในตัวเองอยู่แล้ว รออ่านพร้อมชมรูปค่ะ
เกือบพลาดบันทึกนี้ไป ฟังเพลงนี้แล้วคิดถึง หนึ่งในร้อย พี่ชะม้อยตาแลหาใครไม่มี นี่นี้คือ พี่นุชสุดสวาทบาดใจ ค่ะ ;)http://gotoknow.org/blog/binladong/386481
อ้าวน้องปูจ๋า มาแวะตรงนี้อีกที่ด้วย ขอบคุณค่ะที่ฟังเพลงหรือเห็นอะไรสวยงามแล้วคิดถึงกัน
อ่านแล้วสบายตา สบายใจ พร้อมได้ความรู้นะครับ
ขอบพระคุณท่านอาจารย์มากครับ...
ขอบคุณค่ะคุณPhornphon ที่มาแวะอ่านสว.รำพึงถึงงานเล็กๆน้อยๆที่ทำ^______^
สวัสดีครับพี่นุช...
อ่านบันทึกนี้ด้วยความเพลิดเพลินครับ
ให้แง่คิดดีเหลือเกิน
อดจะแปลกใจไม่ได้เลยว่าวิชาการสมัยใหม่ ไป ๆ มา ๆ ก็มาลงกับหลักการทางศาสนาเกือบจะทั้งนั้นเลยนะครับ
สวัสดีค่ะคุณหนานเกียรติ ขอบคุณที่มาอ่านค่ะ พี่ก็เห็นด้วยค่ะว่าทุกอย่างนั้นมาลงที่หลักศาสนา มิฉะนั้นการพัฒนาก็จะเป็นไปเพื่อเสริมอัตตา ความอยาก ความต้องการของตนเอง สังคมคงจะหาความสงบยาก ลึกๆแล้วมนุษย์ทุกคนต้องการมีชีวิตที่ดี มีความสุข
ห่างหายจากการตามรอย ณ ตรงนี้ไปนาน ด้วยภารกิจ ก่อนนอนคืนนี้เพียงอยากบอกพี่นุชว่า...รอคอย พี่นุช กับคุณศิลา ที่นาธรรมบ้านแพรก ด้วยจิตยินดีและเบิกบานอยู่นะคะ
อนุโมทนาบุญกับคุณพี่ค่ะ
น้องแหวว
พี่ได้ออกปากชวนคุณศิลาแล้ว สาวสวย มากปัญญาและใจเปี่ยมบุญกุศลเช่นคุณศิลายินดีค่ะ พี่เองก็ยินดีที่มีโอกาสทำประโยชน์ ต้องขอบคุณโกทูโนว์ที่ทำให้เรารู้จักกันจนสานต่อใจ รวมพลังสร้างสรรค์เป็นจุดส่งต่อให้เกิด "นาธรรมบ้านแพรก" ได้