นับตั้งแต่เดือนที่ผ่านมา (มกราคม ๒๕๕๒) ตั้งแต่ที่เราได้น้อมนำโอวาทของท่านพระอาจารย์ ๓ ข้อมาปฏิบัติเป็นการบ้านนั้น ชีวิตเราเริ่มเปลี่ยนไป....
บ่ายวันนั้นท่านระหว่างที่ท่านพระอาจารย์ได้เมตตาให้ธรรมะเพื่อนำไปบรรยายให้กับนักศึกษาที่มาเข้าค่ายปฏิบัติธรรม ณ ที่นี่ ท่านพระอาจารย์ได้มอบหลักเกณฑ์ในการดำเนินชีวิตให้เรา ๓ ข้อด้วยกัน คือ
๑. ห้ามด่าใคร
๒. ห้ามตีวัวกระทบคราด
๓. ให้ชมได้อย่างเดียว
ตอนที่เราฟังตอนแรกนั้น เราถึงกับแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่ เพราะทั้ง ๓ ข้อนี้เป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับอุปนิสัยของเราโดยสิ้นเชิง และนั่นก็จึงเป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้ก้าวผิดพลาดพลั้งไปหลายก้าวในชีวิตนี้
แต่นั่นก็เป็นเหมือนคนที่กำลังเคว้งคว้างอยู่ในท่ามกลางค่ำคืนที่มืดสนิท แล้วได้มีผู้จุดไม้ขีดก้านเล็ก ๆ ขึ้นมาท่ามกลางความมืดสนิทนั้น
ไม้ขีดก้านเล็ก ๆ ที่ถูกจุดขึ้นอย่างถูกต้อง ถูกกาล ถูกสันดาน ถูกคนนั้น ทำให้ชีวิตเรานั้นเริ่มพลิกผลัน
จากเดิมที่จิตใจดวงนี้ ได้คอยแต่จับจ้องมองข้อไม่ดีของผู้อื่น แต่เมื่อเราไปว่าใครเขาไม่ได้ ไป “ด่า” ใครเขาไม่ได้ หรือทำไม่ได้แม้แต่การพูดกระทบกระเทียบ อุปนิสัยนี้ สันดานเสีย ๆ ข้อนี้จึงเริ่มถูกปลด ถูกปิดออกจากจิตจากใจ
แล้วเนื่องด้วยการบ้านข้อที่ ๓ อีกนั่นเอง ทำให้เรามีหน้าที่ที่เพิ่มขึ้นในการที่จะหา “ข้อดี” สิ่งดี ๆ ของใครต่อใคร สิ่งดี ๆ ของสรรพสิ่ง แล้วชมเขา สรรเสริญเขา เพื่อเปลี่ยนตัวเราเป็น “คนที่มองคน” แต่ในมุมดี ๆ
เมื่อชีวิตตัดเสียสิ้นซึ่ง “วาจาพิฆาต” ที่รังแต่จะสร้างความ “พยาบาท” ทำลายมิตรภาพที่มีต่อกัน ต้องกลายกลับเป็นวาจาอันสุภาพ อ่อนโยน อ่อนหวาน ไพเราะ ที่ผลิดอกออกผลจากจิตใจที่ถูกปลุกตื่นด้วยความเมตตา สิ่งดี ๆ จากการบ้านทั้ง ๓ ข้อนี้ย่อมนำพาจิตใจตนพบสุขพลัน
โลกนี้สวยงามขึ้นอีกมาก เมื่อเราได้ทำการบ้านทั้ง ๓ ข้อนี้
โลกนี้น่าอยู่ขึ้นอีกมาก เพราะมี “คนดี” อุดมอย่าง “สมบูรณ์...”
-ขอน้อมรับเสียง สวรรค์ นี้ เป็นแบบฝึกหัด จะนำสามข้อนี้ เป็นการบ้านสำหรับปีนี้
จะปฎบัติดู แล้วมาดูกันว่า จะเป็นอย่างไร จะเปลี่ยนไปแค่ไหน !!!!!!!!!
ขอบพระคุณท่าน
โดยเฉพาะข้อสามนี่ คนไทย ไม่ถนัด คือถนัดแต่ติ (ปากไม่ตรงใจก็มี)
เคยฟังบรรยายว่า พ่อแม่ หากนำเทคนิคข้อสามนี้ไปใช้กับลูกจะเกิดผลทางบวกกับพัฒนการเด็ก มาก สร้างกำลังใจ สร้างความเชื่อมั่น กำลังใจในตนเอง ไม่เหมือนคนสมัยก่อนชอบดู ติ กด ข่ม เด็กไว้ (แต่เด็กเขาคิดตรง) ทำให้ขาดความมั่นใจ
อื่ม... ตอนแรกเราทำยากน่าดู
แค่ไม่ด่าใครนี่ก็แทบจะแย่แล้ว
แต่มีคำพูดของท่านพระอาจารย์คำหนึ่งที่มีไว้ใช้เตือนสติ เตือนใจเสมอ
ท่านกล่าวว่า...
"หากเราคิดจะตำหนิใคร เรานั้นแย่กว่าคนที่เราจะตำหนินั้นอีก..."
แย่จริง ๆ เลย แย่จริง ๆ เลย เราไม่อยากแย่แบบเขา เราจึงไม่ตำหนิเขา และเราไม่อยากจะแย่กว่าเขา เราจึงไม่แม้แต่เพียง "คิด" ที่จะตำหนิเขา...
มิน่า
เคยมีพระท่านหนึ่ง กล่าว (แต่เราถือเป็นคำสอน) เราว่า
"โยม! หากคิดจะว่าใคร หรือแม้จะกล่าวอบรม สั่งสอน ตักเตือน ติเตียนใครนี่
ต้องใคร่ครวญแล้ว ใคร่ครวญอีกให้ดีทีเดียว ก่อนจะพูดออกไป"
คำพูดนั้นมันยังก้องๆอยู่ เหมือนกระแทกเข้ามาให้นำคำพูดนั้นมาใคร่ครวญและปฎิบัติเช่นกัน
ถูกต้อง ๆ
หากเขา "ศรัทธา" เรา เราก็พูดได้ สอนได้ และก็ควรพูด ควรสอน
หากเขา "ไม่ศรัทธา" เรา เราก็พูดไม่ได้ สอนไม่ได้ และก็ไม่ควรพูด ไม่ควรสอน
การพูด การบอก การสอนกับคนที่ไร้ซึ่งความศรัทธานั้น ก็เปรียบได้ดั่งเอามือไปรั้งไว้ซึ่งกิ่งไม้
กิ่งไม้ที่จะโน้มไปข้างหลัง แล้วเราเอามือรั้งกลับมาข้างหน้านั้น
นอกจากกิ่งไม้จะไม่เอนมาข้างหน้าตามเราแล้ว ทำให้เราเสียแรงเปล่า มิหนำซ้ำยังจะดีดกลับไปอย่างแรงกระแทกหน้าคนที่เดินตามมาข้างหลังอีกต่างหาก
ควรปล่อยวางกับคนที่ควรปล่อยวาง
ไม้ที่ชุ่มน้ำยอมนำมาสีไฟไม่ได้ฉันนั้น
จิตใจของคนที่ไร้ซึ่งศรัทธาและเต็มไปด้วย "มิจฉาทิฏฐิ" ก็ฉันนั้น ย่อมไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ เลยหากเราจะนำมาเป็นเชื้อหรือเป็นฟืน...