ทำความรู้จักตนเอง : จากการทำงานของจิตผ่านสมอง


เราเรียนรู้แบบแยกส่วน สมองก็เรียนสมอง จิตก็เรียนจิต ยังมีความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกันอยู่อย่างน่าตื่นเต้นและดีใจของการทำความรู้จักจิตผ่านลงไปที่ "สมอง"

จากความสงสัยถึงความเกี่ยวพันกันของ การทำงานของจิต เรารู้ว่าจิตและกายนั้นทำงานสัมพันธ์กัน เกี่ยวเนื่องกัน และลักษณะการทำงานนั้นเป็นเช่นไร ข้าพเจ้าพยายามหาคำตอบสำหรับตนเองที่เป็นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ตามภูมิพื้นฐานความรู้ของตัวเอง...

 

ทำไมถึงต้องมีการพัฒนาจิต

จิต...อยู่ที่ไหน อยู่ตรงไหน... เราที่พูดถึงจิตกันนี้ รู้ไหมว่า จิต เราอยู่ที่ไหน

จิต...ทำงานสัมพันธ์กับร่างกายนี้อย่างไร...

จิตที่ว่า... ยึดในกายนี้ ...และปลดปล่อยกายนี้ อย่างไร มีกระบวนการทำงานเช่นไรบ้าง

 

และอีกหลายๆ คำถามที่ข้าพเจ้าปรารถนาที่ใคร่ครวญได้คำตอบ ด้วยตัวรู้ภายในตัวเอง

 

จิตมีพลังนุภาพที่ยิ่งใหญ่ที่ดึงและดูดในร่างกายนี้ไว้

เป็นกระแสในแง่การอธิบายในรูปของพลังงาน

 

แต่สำหรับบันทึกนี้ ข้าพเจ้าขอบันทึกเก็บไว้ในเรื่องของจิต สมอง และสารชีวเคมีทางสมอง... ในกลุ่มที่ศึกษาทางด้านจิตโดยมุ่งเน้นอธิบายบนฐานชีวเคมีทางสมอง การหลั่ง และการทำงาน... จะพูดถึงเรื่องความสมดุลและไม่สมดุลของสารชีวเคมีดังกล่าว ซึ่งจะมีผลต่อบุคลิกภาพ การรับรู้ ความคิด อารมณ์ ตลอดจนไปถึงสภาวะการเจ็บป่วยทางจิตใจ

 

ในกลุ่มศึกษาเรื่องจิตโดยอิงอาศัยแนวคิดทางด้านปรัชญา ศาสนา ... คำตอบจะออกมาค่อนข้างเป็นนามธรรม ที่บางครั้งก็ยากต่อการทำความเข้าใจยิ่งนั้น เรารู้แต่ว่ามีเหตุปัจจัยที่ก่อให้เกิด... มีเหตุ จึงมีผล แต่กระบวนการภายในเล่าทำงานเช่นไร ก็เกิดคำตอบดั่งพระพุทธองค์ชี้ทางในเรื่องการแยกรูปแยกนาม แล้วรูปนามตัวไหนเล่าเป็นผู้ไปแยก เป็นผู้ไปรู้... คำตอบ ก็คือ ตัวจิต... แล้วจิตล่ะอยู่ตรงไหน...

 

ณ ภูมิรู้ขณะนี้เท่าที่มีของข้าพเจ้าได้เขียนสรุปออกมาเป็นภาพที่แสดง ณ ข้างต้น

(เป็นภูมิรู้ที่ได้จากการปฏิบัติ... เสมือนเป็นสิ่งที่เราถนัดเรียกว่าคลิกหรือปิ๊งแว๊ป เกิดขึ้นภายในตัวเอง เพราะอาศัยการเรียนรู้ผ่านทฤษฎีมานานก็ไม่ได้เกิดเป็นความเข้าใจได้เท่า ณ ตัวรู้ที่รู้ในวันนี้)

 

จากคำอธิบายที่ว่า จิต อาศัยร่างกายนี้ดำรงอยู่ ทำงานผ่านผัสสะ หรือประสาทสัมผัสทั้งหก หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ... อาศัยศูนย์สั่งการ คือ สมอง ซึ่งเป็นสมองอันล้ำลึกและมีโครงสร้างที่ต่างจากสัตว์ชนิดอื่น เพราะมีโครงสร้างความซับซ้อนสัมพันธ์ไปถึงสารชีวเคมีทางสมอง และสารสื่อประสาททำงานโดยเฉพาะทางด้านศีลธรรม มโนธรรม (เป็นทุนที่มนุษย์ต้องสั่งสมผ่านสมองส่วนนี้ทำงาน)... เรามักเข้าใจว่า สมองคือ ส่วนสำคัญ แต่จริงๆ แล้ว หัวหน้าใหญ่ผู้คอยบงการทั้งมวล คือ จิต... ต่างหาก (รายละเอียดจะค่อยๆ ถอดบทเรียนออกมาเป็นบันทึกเก็บไว้)

 

เมื่อมีสิ่งมากระทบต่อบุคคลจะเป็นเรื่องดี หรือไม่ดีก็แล้วแต่ทุกอย่างถือว่า คือ สิ่งกระทบ หรือเป็นเหตุปัจจัย ... มนุษย์เรารับรู้ผ่านประสาทสัมผัส สมองจะทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลที่รับรู้เข้ามา โดยอาศัย ต้นทุนเดิมที่มีอยู่ ซึ่งต้นทุนนี้สั่งสมมาจากพันธุกรรม (ผ่านยีนส์และ DNA)  สิ่งแวดล้อม การเลี้ยงดู ฟอร์มขึ้นมาเป็นบุคลิกภาพ การแสดงออกเป็นการกระทำ และเป็นความคิด ซึ่งมีสองขั้ว คือ บวก (ดี) และลบ (ชั่ว)... ขึ้นอยู่กับการสั่งสมต้นทุนและแต่ละผู้คน หากมีต้นทุนที่เป็นด้านบวกมาก จากสิ่งที่มากระทบ...สมองก็จะทำงานผ่านสื่อประสาทและสารชีวเคมี รวมถึงกระบวนการเรียนรู้ภายใน จนเกิดเป็นปัญญา คือ เรื่องที่มากระทบไม่เกิดให้เสียสมดุลทางสารชีวเคมีในสมอง บุคคลก็สามารถรับรู้และเผชิญต่อสิ่งที่มากระทบได้อย่างเหมาะสม

 

แต่ในทางตรงกันข้ามหากว่า ... ต้นทุนมีอยู่เป็นด้านลบมาก เกิดเป็นการหมกมุ่นอยู่ในสิ่งที่มากระทบ ส่งผลให้สารชีวเคมีในสมองทำงานผิดปกติ เสียสมดุลเกิดขึ้น เช่น เมื่อมีเรื่องมากระทบ เครียด โกรธ โมโห หดหู่ ซึมเศร้า เสียใจ ดีใจเกินเหตุ เหล่านี้ส่งผลต่อสารเคมีในสมองให้เกิดเป็นความไม่สมดุลเกิดขึ้น ส่งผลต่อการรู้คิด และอารมณ์ของบุคคลเพิ่มมากขึ้น เมื่อสารชีวเคมีทางสมองไม่สมดุล ก็เกิดเป็นความแปรปรวนในตนเองเกิดขึ้น และเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเราไม่เข้าใจต่อการตัดตอนเหตุปัจจัยที่ก่อให้เกิด

 

ในชีวิตของคนเรามีเรื่องมากระทบอยู่ตลอดเวลา ตราบเท่าที่ประสาทสัมผัสเรายังทำงานอยู่ ... ดังนั้นตัวที่ทำงานหนัก คือ สมอง สารสื่อประสาท หรือสารชีวเคมีในสมองชนิดต่างๆ ส่งผลต่ออารมณ์ ความรู้สึก นึกคิด ของผู้คนเกิดขึ้น... ต้นทุนเป็นลบ วัคซีนใจมีน้อย โอกาสที่เกิดเป็นความแปรปรวนเพิ่มมีมากขึ้น

 

ทางแก้ไข...

 

เราต้องสร้างเหตุปัจจัยขึ้นมาใหม่

และต้องเป็นเหตุปัจจัยที่ดี ที่เป็นบวก เพื่อช่วยให้ร่างกายนี้ได้ทำงานสู่สภาวะที่สมดุล เพราะทุกอย่างที่มากระทบ ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นต่างๆ มากมาย จะถูกนำเก็บสะสมไว้ในจิต โดยอาศัยสมองเป็นตัวทำงาน หรือเป็นเครื่องมือ พูดง่ายๆ คือ ...

 

จิต นั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเป็นนามธรรม จิตทำงานผ่านสมอง... อาศัยสมองของร่างกายมนุษย์นี้ทำงาน ดังนั้นจึงมีคำ/ประโยคที่ว่า เราโชคดีที่เกิดเป็นมนุษย์ เพราะเป็นมนุษย์มีร่างกาย และสมองส่วนที่ต่างจากสัตว์ประเภทอื่น ได้อาศัยให้เกิดการทำงานขัดเกลาจิตใจ...

 

ดังนั้น... ความโชคดี ของการเกิดและดำรงอยู่นี้ จึงไม่ใช่ดำเนินไปตามยถากรรม เพียงแค่การสร้างฐานะความร่ำรวย การงานที่มั่นคง ชื่อเสียง เกียรติยศ  หากแต่ดำเนินไปจากความพยายามในการสร้างเหตุปัจจัยที่ดีอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเหตุปัจจัยที่ดีนี้ หากตามภาพ ก็คือ ต้นทุนใหม่ และภูมิคุ้มกันทางจิตใจ หรือวัคซีนใจนั่นเอง... ความสำคัญของการมีลมหายใจนี้อยู่ที่สร้างเหตุปัจจัยใหม่ อันเป็นเหตุที่ดีต่างหาก หากเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตอื่น จะไม่มีกระบวนการอันโชคดีนี้เท่ากับการมีร่างกายเป็นมนุษย์...

-------------------------------------

 

หมายเลขบันทึก: 210801เขียนเมื่อ 22 กันยายน 2008 19:41 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 19:36 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (9)

มาทำความรู้จักตนเองกับพี่กะปุ่มครับ

การฝึกหัดให้เรามีสติและรู้สึกตัวนั้นไม่ยากครับ ไม่ต้องถือศิล ไม่ต้องภาวนา ไม่ต้องนั่งตัวให้ตรง ไม่ต้องหลับตาบริกรรมคาถา เพียงแต่เราต้องหมั่นเตือนตนเองอยู่เสมอว่า ก่อนทำอะไรให้รู้จักคิด และตอบตนเองให้ได้ว่าทำไปทำไม? ผลของการกระทำนั้นเป็นเช่นไร? แยกแยกความดีความชั่ว และรู้ในหน้าที่ของตน รู้ว่าเรานั้นกำลังทำอะไร? กายทำอะไร? ใจก็อยู่ที่นั่น

ผมชอบการฝึกแบบนี้มากเลยครับ เรียนจากพระอาจารย์มา

ดีมากเลยค่ะ...เพียรสร้างเหตุปัจจัยที่ดี

อนุโมทนา สาธุ

(^___^)

 

น้องท่าน ลึกซึ้ง ๆ ....ถอดบทเรียนออกมา เป็น "แผนภูมิ" ได้ลึกซึ้งดีมาก ๆ ครับ....ขอบคุณสาระ+ข้อคิดครับ......ชยพร แอคะรัจน์

ขอบคุณค่ะพี่ชาย...ซุปเปอร์แมน...(^___^)

มาลงตัวตกผลึกได้บางผลึก...จึงต้องเร่งบันทึกเท่าที่ทำได้ เพราะอีกในเสี้ยววินาทีข้างหน้าอาจไม่ได้หายใจเข้าและออกแล้ว

 

 

ตรงกับหนังสือที่กำลังอ่านค่ะ อนาคตของความสุข

พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล

"เมื่อใดที่คิดถึงแต่ตัวเอง เท่ากับเอาตัวเองออกมารับทุกสิ่งที่มากระทบ"

ประมาณนี้น่ะค่ะ

ขอบคุณข้อเขียนดี ๆ ค่ะ

ในเงื่อนของเวลา...มักมีอะไรที่มหัศจรรย์อยู่เสมอนะคะ พี่หมอเล็ก...

"เมื่อใดที่คิดถึงแต่ตัวเอง เท่ากับเอาตัวเองออกมารับทุกสิ่งที่มากระทบ"

เมื่อสักครู่กะปุ๋ม ไปเมียงมองอ่านจดหมายจากแม่ถึงลูก...รับทราบถึงหัวใจอันละไม.. ความดีที่แม่มี ถ่ายทอนถึงลูกหมดทุกดวงจิต ความงามของความรักที่ยิ่งใหญ่..หาใดเทียม

คราวนี้ขอตัวไปพักกายจริงแล้วค่ะ

(^___^)

 

 

การฝึกหัดให้เรามีสติและรู้สึกตัวนั้นไม่ยากครับ ไม่ต้องถือศิล ไม่ต้องภาวนา ไม่ต้องนั่งตัวให้ตรง ไม่ต้องหลับตาบริกรรมคาถา เพียงแต่เราต้องหมั่นเตือนตนเองอยู่เสมอว่า ก่อนทำอะไรให้รู้จักคิด พูดไปได้ ศีลสมาธิ ภาวนา เป็นพื้นในการทำให้จิตตั้งมั่น ลองศีลบกพร่อง ยากครับที่จะตั้งจิตได้สำเร็จ อย่ามั่วดีกว่าครับถ้าไม่รู้จริง

....อนุโมทนาด้วยค่ะ

ทำให้ชัดเจนมากขึ้นค่ะ

ขอบคุณมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆงับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท