ทำความรู้จักตนเอง : ทำไมเราถึงได้ป่วยทางจิต


หากว่าวันนี้ยังมีลมหายใจเข้าและออก มาสร้างพลังความดีงามในจิตใจเรากันเถอะ

สืบต่อจากบันทึก "ทำความรู้จักตนเอง : จากการทำงานของจิตผ่านสมอง"

คำถามที่ว่า...

ทำไมมนุษย์เราถึงมีการเจ็บป่วยทางจิตใจ?

จริงๆ แล้วจากประสบการณ์ที่ข้าพเจ้าเคยได้ศึกษาเรื่องการทำงานของกระบวนการทางจิต ผ่านงานเขียนของท่านพุทธทาส ... ท่านชี้ให้เห็นว่ากระบวนการเจ็บป่วยทางจิตดั่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทางเมตตาเทศน์สอนนั้น ผู้คนเกิดมาก็มาพร้อมกับความเจ็บป่วยทางจิตใจแล้ว

อาการของการเจ็บป่วย ไม่ได้ปรากฏขึ้นเฉพาะตอนที่มาพบแพทย์เท่านั้น หากแต่ว่าถ้าเราได้ใช้กระบวนทางปัญญาพิจารณา จะพบว่าตัวเรานั้นมีสภาพการเจ็บป่วยที่เรื้อรังมาเนิ่นนาน ซึ่งการเจ็บป่วยทางด้านจิตใจ อันแสดงออกมาทางอารมณ์ ความรู้สึก นึกคิด และพฤติกรรม ที่เป็นอาการเจ็บป่วยที่ยังพอทนอยู่ได้ แต่มันก็จะคอยรบกวนสภาวะที่สุขสบายของเราอยู่เรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านเนิ่นนานไป "ต้นทุน" หรือ "วัคซีนใจ" ที่มีอยู่ลดเหลือน้อยลง ภาวะที่ไม่สุขสบายในจิตเราก็จะคุกคามและแสดงอาการมากขึ้น จนไปถึงระดับที่ทนไม่ได้ หรืออยู่นอกเหนือการควบคุม

สิ่งไหน คือ ตัวควบคุม...

ตัวควบคุม คือ สภาวะของจิตที่มีกำลัง เป็นสภาวะที่เปี่ยมไปด้วยกำลังของ "สติ" ... เมื่อไรที่สติตัวนี้แตกหรือเตลิด การควบคุมในตนเองก็ทำได้น้อย หรือทำไม่ได้ ก็เตลิดเปิดเปิงออกไปเป็นอารมณ์ ความรู้สึก นึกคิดที่บิดเบือนออกไปจากสภาพแห่งความเป็นจริง ความดี ความงาม หลงผิดไป

หรืออย่างในคนที่ไม่สามารถเริ่มแยกแยะ ดี-ชั่ว เหมาะ-ไม่เหมาะ ควร-ไม่ควร... เหล่านี้ได้ก็เริ่มแนวโน้ม หรือส่อไปถึง "สติ"ของจิตทำงานได้ไม่ดีพอ

กำลังของสติทำงานอยู่ที่ไหน...

ก็ทำงานผ่านตัวเครื่องมือ คือ สมองนี่แหละ ผ่านสื่อประสาท เซลล์ ลักษณะทางกายภาพต่างๆ แต่ที่ทางด้านจิต สนใจ ก็คือ สารชีวเคมีทางสมอง ซึ่งมีตัวสำคัญหลายตัวที่ส่งผลต่อ อารมณ์ ความรู้สึก นึกคิดของมนุษย์เรา

ตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิด หรือเร่งปฏิกิริยากระบวนการเจ็บป่วยทางจิตเร็วขึ้น คือ ... ทุนต่างๆ ที่เป็นด้านลบ ที่เราสั่งสมอยู่ทุกวัน ทุกขณะจิต เช่น ... ความเครียด ความโกรธ ความกังวลใจ หรือภาวะการเจ็บป่วยทางกาย รอยโรคเดิม หรือเชื้อโรค หรือลักษณะของยีนส์ที่ถ่ายทอดมาทางพันธุกรรมเหล่านี้ ทำให้สารชีวเคมีในสมองหลั่งมากเกิน เช่น Dopamine ที่มีผลต่ออารมณ์ ความรู้สึก นึกคิด ... เมื่อไรที่ในสมองเรามีระดับของ โดปามีนมากเกินไป บุคคลนั้นก็มักจะมีลักษณะของความรู้สึก นึกคิด ที่บิดเบือนไปจากความเป็นจริง จนเข้าข่ายของอาการหลงผิดเกิดขึ้น

และหากว่าได้รับตัวกระตุ้นที่ทำปฏิกิริยาเร็วมาก เช่น สารเสพติด ก็อาจจะเร่งให้แสดงอาการเจ็บป่วยทางจิตมากขึ้นได้ หากได้มีการศึกษาย้อนหลังในผู้ป่วยหลายๆ รายอาจพบว่า ผู้ป่วยมีเหตุปัจจัยที่ส่งผลหรือแน้มโน้มที่จะมีสภาวะการเจ็บป่วยทางจิตเกิดขึ้น เช่น คนที่สั่งสมอารมณ์โกรธและการมองโลกในแง่ร้าย ช่างติ ยึดถือตนเองเป็นที่ตั้ง เมื่ออายุมากขึ้น อาจมีลักษณะของจิตที่หดหู่ ซึมเศร้า หรือนอนไม่หลับ

ทุนที่จิต สั่งสม เป็นทุนที่ไม่ดี ไม่เหมาะ ... มักเป็นในลักษณะความโกรธ เกลียด โมโห แค้น ไม่ชอบใจ แนวโน้มที่ในทางไม่ชอบใจ นำไปสู่ความขุ่นมัวในอารมณ์ หรือความอยากได้อย่างไร้เหตุผลหรือเกินความพอดี หรือความหลงไปที่บิดเบือนไปจากความเป็นจริง ...

อะไรก็แล้วแต่ที่เกินความพอดี ...

ต่างเป็น "ต้นทุนทางจิตใจ" ที่ไม่ควรพึงสะสมไว้... เพราะสะสมไปเรื่อยๆ สารชีวเคมีในสมองก็ทำงานไปในแนวของการเสียสมดุล และอยู่มาวันหนึ่ง มีตัวกระตุ้นหรือเร่งปฏิกิริยา อาจเป็นปัญหาในชีวิต ส่งผลก่อเกิดเป็นความเครียด หรือความกังวล... เมื่อนั้น "สติ" ที่คุมจิตอาจใช้การไม่ได้เพราะเครื่องยนต์ที่สติแห่งจิตอาศัยอยู่ ไม่ work ชำรุดซึ่งก็คือ สมองที่เสียสมดุลย์ของสารชีวเคมีต่างๆ ทำให้เกิดเป็นรอยโรคทางจิตเกิดขึ้น

การรับรู้ผิดปกติ มีอาการหลงผิดเกิดขึ้น เกิดสภาวะ out of reality... ออกไปจากความเป็นจริง  และอื่นอีกมากมาย...

ในบางคนอาจดำรงอยู่ในสังคม...เราไม่สังเกต ก็จะเริ่มมองไม่เห็นความผิดปกติของเขา จะเห็นก็ต่อเมื่อมีอาการมากขึ้น รุนแรงมากขึ้น จนขาดการควบคุมตนเอง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย เพราะหากว่าอาการถึงขนาดนั้นแล้ว โอกาสของการเยียวยาก็ยากขึ้น แต่ระดับเบื้องต้นบุคคลก็มักจะไม่ยอมรับในตนเองที่จะแก้ไขหรือเยียวยาในตนเอง เป็นคนเจ้าอารมณ์ โกรธ โมโหง่าย ก็ปล่อยให้ตนเองเป็นไปอยู่เช่นนั้น หารู้ไม่ว่ากำลังตั้งระเบิดเวลาสำหรับตนเองไว้อย่างไม่รู้ตัว

วันนี้ในมุมมองของคนทำงานด้านจิตเวช ข้าพเจ้าได้ถอดบทเรียนต่อมุมมองที่มีต่อภาวะการเจ็บป่วย สิ่งหนึ่งที่เห็นสำคัญ คือ หากเริ่มแก้ไขเยียวยาเร็วเท่าไรยิ่งดี ... โอกาสที่จะปรับสมดุลย์สู่สภาวะปกติจะทำได้ง่าย แต่เมื่อถึงขั้นต้องนำส่งเพื่อบำบัดในรายที่มีอาการมากแล้ว หัวใจของคนทำงานด้านนี้ก็รู้สึกเหนื่อยเพราะเรามองเห็นการดำเนินโรคและการเยียวยาที่มักยุ่งยากกว่าสภาวะการเจ็บป่วยทางกายเสียอีก โดยเฉพาะในคนที่ไม่ยอมรับว่าตัวเองป่วยหรือมีอาการทางจิตเกิดขึ้นนี่ ยิ่งทำให้หายช้าและเยียวยายากมาก

บุคคลที่ได้รับการประเมินเร็ว...ก็มีโอกาสการฟื้นความสมดุลย์ทางจิตใจง่าย

แต่สิ่งที่สำคัญกว่า ก็คือ อย่าปล่อยให้ตนเองสั่งสมอารมณ์ ความคิด ด้านลบเกิดขึ้นเป็นดีที่สุด เพราะท่านไม่รู้หรอกว่า ท่านจะพลาดไปเมื่อไร คือ ระเบิดเวลาของการสั่งสมอารมณ์ ความรู้สึก นึกคิด ด้านลบทำงาน ระเบิดตูม... เมื่อนั้นท่านคงต้องพึ่งทางจิตเวช

พึงนำพาตนเอง...

"เป็นคนที่ดำเนินชีวิตด้านเบิกบานใจ อารมณ์ดี หัวเราะง่าย มองโลกอย่างรื่นรมย์ ให้อภัยสิ่งต่างๆ ได้ง่าย มีน้ำใจ แบ่งปัน เอื้อเฟื้อ ยุติการตำหนิติเตียนผู้อื่น เลิกยึดอารมณ์ ความรู้สึก นึกคิดของตนเองเป็นที่ตั้ง มองโลกแบบกลางไปตามเหตุและปัจจัยที่เป็นไป ปล่อยวางทุกอย่าง... ยุติความคิดเชิงลบ ฝึกใจให้สงสารผู้คน ช่วยเหลือผู้คนภายใต้เหตุและผลที่ดีงาม ไม่ใช่ไปส่งเสริมให้เกิดการทำผิดยิ่งขึ้น...

หรืออะไรก็แล้วแต่...ที่เป็นพลังด้านบวก พลังที่ดีงาม... เมื่อนั้นท่านก็จะยากที่จะได้เข้ามาเป็นผู้ป่วยทางจิตที่ต้องได้รับการเยียวยา"

 "คิดดี พูดดี ทำดี"

ละเว้นความชั่ว ทำความดีให้ถึงพร้อม

 

---------------------------------

หมายเลขบันทึก: 210833เขียนเมื่อ 22 กันยายน 2008 21:44 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 19:36 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (11)
  • แวะมาเยี่ยมค่ะ
  • กระรอกเผือกน้อย น่ารักไหมค่ะ
  • นอนหลับฝันดีค่ะ

ขอบคุณค่ะพี่อร...

"เร่งสร้างเหตุปัจจัยใหม่ที่ดี

ส่วนสิ่งที่เกิดแล้ว แก้ไขไม่ได้ ก็ขอน้อมรับด้วยใจที่นอบน้อม...พร้อมเร่งเพียรเหตุปัจจัยใหม่ที่ดีทั้งกาย วาจา และใจ...

เมื่อหนึ่งวินาทีที่ผ่านมา...กะปุ๋มคนเดิมได้ดับไปแล้ว อีกหนึ่งเสี้ยววินาทีข้างหน้าไม่อาจรู้ได้ว่าจะยังมีลมหายใจอยู่หรือไม่ ดั่งนั้น จึงพึงเตือนตนทำ ณ ขณะนี้ให้ดีที่สุดค่ะ"

(^___^)

แต่ระดับเบื้องต้นบุคคลก็มักจะไม่ยอมรับในตนเองที่จะแก้ไขหรือเยียวยาในตนเอง เป็นคนเจ้าอารมณ์ โกรธ โมโหง่าย ก็ปล่อยให้ตนเองเป็นไปอยู่เช่นนั้น หารู้ไม่ว่ากำลังตั้งระเบิดเวลาสำหรับตนเองไว้อย่างไม่รู้ตัว

******************************

บางคนที่ป่วย เขาไม่มี Insight ปฎิเสธ ,และต่อต้าน แอบแฝงอีกต่างหาก

น่าเป็นห่วงนะคะ

น่าจะมีเยอะนะคะ ในสังคมปัจจุบัน... น่าเป็นห่วงค่ะ พี่หมอเล็ก หากเขาไม่ทำให้คนอื่นเดือนร้อน...ก็ไม่เป็นไรมาก แต่..ตัวเขาเองนี่สิ คงจะทุกข์ทรมาณจากสภาวะบีบคั้นแห่งภายในที่เกิดขึ้นค่ะ

กำลังจะชะแว้ปไปนอน ชำเรืองไปเห็นบันทึกของพี่หมอเล็ก...ก็เลยหยุดเพื่ออ่านก่อนพักนอนค่ะ

(^___^)

+ ท่านพี่ ดร.กระปุ๋มค่ะ..ช่วยอ๋อยด้วยค่ะ...

+ ช่วยบอกทางสว่างให้อ๋อยด้วยค่ะ

+ อ๋อยอยากช่วยให้ฟุรกอล และเด็กคนอื่น ๆ มีความสุขในการเรียนค่ะ

+ แบบว่าปัญญาอ๋อยกำลังเสียสมดุลย์นะค่ะ สงสัยทุนชีวิตมีน้อยค่ะ....

+ ยังไงท่านพี่ ดร.กะปุ๋มไปช่วยหน่อยนะค่ะ....

2 บันทึกนี้ดีมากเลยค่ะพี่กะปุ๋ม ขอบคุณค่ะ

รวมการพึ่งนำพาตัวเองไว้ได้ครบและอ่านแล้วมีแรงบวกดีมากเลยค่ะ

..."เป็นคนที่ดำเนินชีวิตด้านเบิกบานใจ อารมณ์ดี หัวเราะง่าย มองโลกอย่างรื่นรมย์ ให้อภัยสิ่งต่างๆ ได้ง่าย มีน้ำใจ แบ่งปัน เอื้อเฟื้อ ยุติการตำหนิติเตียนผู้อื่น เลิกยึดอารมณ์ ความรู้สึก นึกคิดของตนเองเป็นที่ตั้ง มองโลกแบบกลางไปตามเหตุและปัจจัยที่เป็นไป ปล่อยวางทุกอย่าง... ยุติความคิดเชิงลบ ฝึกใจให้สงสารผู้คน ช่วยเหลือผู้คนภายใต้เหตุและผลที่ดีงาม ไม่ใช่ไปส่งเสริมให้เกิดการทำผิดยิ่งขึ้น...

 

 

ชอบค่ะ จะนำไปปฏิบัติบ้าง

 

แค่ 3 มิติ หรือ 3D

  • คิดดี
  • พูดดี
  • ทำดี

ผมว่าเราสามารถที่จะสามารถสร้างสรรค์สิ่งดีดีได้เยอะแล้วครับ

ขอบคุณครับ ที่ให้ผมได้อ่านเรื่องดีดี

อ่านแล้วมีพลังดีค่ะ ประโยคนี้ชอบค่ะ

ตัวควบคุม คือ สภาวะของจิตที่มีกำลัง เป็นสภาวะที่เปี่ยมไปด้วยกำลังของ "สติ" ...

ชอบโมเดลนี้จัง วันหลังขอยืมเอาไปใช้บ้างนะครับ

ขอบคุณล่วงหน้าครับผม

สวัสดี ครับคุณหมอ

ขอบคุณสำหรับสาระดีๆ ถึงแม้มันจะเป็นวิทยาการทางจิตชั้นสูง แต่ผมก็พอมีพื้นฐานอยู่บ้าง เลยอ่านงานเขียนของคุณหมออย่างเข้าใจเป็นอย่างดี อาจเป็นเพราะการสร้างเหตุปัจจัยมาดีกระมังครับ ตามหลักศาสนาอิสลามเขาเรียกว่า "กลืนวิถี"

ผมจะติดตามอ่านของคุณหมอ"กระปุ๋ม"ตลอดไป ครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท