ที่เราทุกข์กันมากมาย เพราะเราใช้กลไกทางจิต... >>> กลไกทางจิตเป็นเพียงวิธีการทางธรรมชาติที่จิตใช้ทำงานผ่านสมอง เพื่อปกป้องตนเองให้ออกจากทุกข์ที่บีบคั้น แต่จริงๆ แล้วหาใช่เป็นเช่นนั้นไม่ คนที่ใช้กลไกทางจิตกับตัวเองมากเท่าไร ก็ยิ่งติดกับดักของตนเองมากเท่านั้น...
สภาวะที่ทำให้ออกห่างจากการใช้กลไกทางจิต คือ ... "ความจริงใจ"...และการแสดงออกจากใจจริงตามกุศลจิต ไม่พยายามบิดเบือนตนเองหรือสร้างเรื่องราว...เพียงเพื่อสร้างภาพให้ตนเองได้ดูดี
พึงฝึกเรื่องความจริงใจ "ความคิด-วาจา-การกระทำ"... อันเป็นกุศล
สภาวะยอมรับตามจริง... นั่นก็คือ การรู้เท่าทันแห่งเหตุที่ก่อให้เกิดทุกข์นั่นเอง เพราะเมื่อรู้แล้ว...เราจะสามารถกระทำสิ่งที่น้อมนำไปสู่กุศลและลดการเบียดเบียน โดยเฉพาะทางใจต่อบุคคลได้มากขึ้น
เช่นวันนี้ รู้สึกเศร้าเรื่องหลาน ก็ยอมรับกับตนเองว่าเศร้า และค้นหาลึกลงไปอีกว่าที่เราเศร้านั้นเนื่องมาจากอะไร ... แล้วเราก็ยอมรับกับตนเองได้ และพร้อมวาง ไม่ใช่ใช้การกลบเกลื่อน ว่าฉันเก่งที่ยอมรับเรื่องราวได้...หากเรายังไม่สามารถละสังโยชน์ได้ทั้งหมดจิตของเรานั้นก็ยังเป็นผู้พร้อมกระเพื่อมอยู่... "สติ-ปัญญา" ภายใต้การมีศีลเท่านั้นที่ทำให้เรารอดพ้นได้...เท่านั้นเอง
ปัจจุบัน...
มีผู้คนมากมาย ดำรงอยู่ด้วยความหวาดระแวง...อันเนื่องมาจากความไม่สอดคล้องระหว่างภายในและภายนอก ทำให้บางครั้งการเผชิญต่อเรื่องราวและสิ่งต่างๆ ที่มากระทบได้ไม่ดี ทำให้มีพฤติกรรม คำพูด...ที่สะท้อนถึงการปกป้องตนเอง... เพื่อให้ภายนอกดูดี
จริงๆ แล้ว...การที่บุคคลสามารถยอมรับสภาวะตนเองต่างๆ ได้ตามจริงนั้น...
ต้องอาศัยการฝึกฝน...เพราะเมื่อเราสามารถยอมรับกับตนเองได้ตามจริง...ไม่ว่าจะข้อดี เด่น หรือด้อยก็น้อมรับ และบอกต่อผู้อื่นได้ตามจริง สภาวะแห่งการสร้างภาพก็จะลดลง...
การดำรงอยู่ของชีวิต ก็จะค่อนข้าง "จริงใจ" และไม่อยากได้อะไรจากใคร แม้เรื่องความรักหรือความเข้าใจ
แต่บุคคลนั้น...จะตั้งใจต่อการกระทำต่อบุคคล และสรรพสิ่งต่างๆ มากขึ้น...ไม่คาดหวังหากแต่ตั้งใจมากขึ้นและมากขึ้น ... ได้ทำก็คือได้ทำ ไม่ได้ทำก็คือ ไม่ได้ทำ สามารถพร้อมน้อมรับการละวางได้ในทุกขณะจิต
และหากว่าได้ทำและได้ผลลัพธ์ออกมาเช่นไร บุคคลอื่นจะเข้าใจอย่างไร ไม่ได้มีความหมายเท่าที่บุคคลนั้นเข้าใจในเจตนาของตนเองว่า...ทำ พูด หรือคิดอะไรอยู่...
พึงน้อมใจลง...ปฏิบัติต่อสรรพสิ่งต่างๆ ด้วยหัวใจและความปรารถนาดี
อย่าได้หวาดระแวง หรือให้ค่า ตีค่า...ต่อสิ่งที่บุคคลอื่นปฏิบัติต่อเราเลย
เพราะสักวัน...เราจะรู้สึกถึงการสูญเสียแห่งโอกาสของการได้เรียนรู้และพบพาน...
ทำให้ข้าพเจ้า...นึกถึงคำสอนขององค์ทะไลลามะที่ว่า "พึงปฏิบัติต่อสรรพสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าเราอย่างที่เขาเป็นบุคคลพิเศษ"... และข้าพเจ้าก็มักน้อมปฏิบัติเสมอ ทุกๆ คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต คือ ครูผู้เป็นบุคคลสอนเรื่องราวให้เรียนรู้ภายในของเราที่พึงปฏิบัติต่อเขาด้วยใจที่นอบน้อม...เมตตาต่อเขาและรักเขา จริงใจกับเขา แม้ว่าเขาจะปฏิบัติต่อเราเช่นไร ก็ไม่ได้มีความหมายเท่าที่ว่า "เรานั้นปฏิบัติต่อเขาเช่นไร"
การที่ได้มาพบหรือเจอกันนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ หากว่าได้มาพบหรือเจอกันแล้วนั้นเป็นสภาวะที่ดีเสมอ...
ลดการทำร้ายกัน...ปฏิบัติต่อกันด้วยความรัก และอย่าที่จะไปอยากได้ความรัก หรือสภาวะแห่งการตอบแทนจากบุคคลนั้นเลย...
ตรงไปตรงมา... ไม่คาดหวังหากแต่ตั้งใจ...เมื่อนั้นสภาวะแห่งการใช้กลไกทางจิตก็จะลดลง...มีแต่ความรักความจริง และที่สำคัญเกิดเป็นความสอดคล้อง "ภายใน-ภายนอก"...ความเกลียดชังก็จะลดลง ความรักความปรารถนาดีต่อผู้คนและสรรพสิ่งต่างๆ ก็จะมีมากขึ้น ศานติก็จะก่อเกิดและงอกงามขึ้นในจิตใจ สังคม และโลก...ใบใหญ่ใบนี้
---------------------------
Note ; เรียนรู้การใช้กลไกทางจิตให้น้อยลง..รักและปรารถนาดีต่อผู้คนและสรรพสิ่งมากขึ้น ภายใต้สภาวะที่เรียกว่า "จริงใจ" และพึง "ตั้งใจปฏิบัติ" ต่อความดีที่เขามีอยู่ แม้ว่าบางทีความดีที่ว่านั้นอาจมีน้อยนิดแต่ก็พึงน้อมใจลงเบาเบา...ด้วยใจที่นอบน้อมปฏิบัติต่อเขาเสมือนสิ่งพิเศษที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
ไม่เลือกที่จะใช้กลไกทางจิต...
แต่คอยสังเกตุและเรียนรู้การทำงานของมัน...
เพื่อรู้และเข้าใจอย่างถ่องแท้ครับผม...
ขอบคุณมากครับ...
รุ่งอรุณสวัสดิ์ค่ะ.... Mr.Direct
...
เป็นสภาวะแห่งการเรียนรู้ภายในตนเอง ทำความเข้าใจเพื่อนสนิทที่เราร่วมทุกข์สุขกันมาตลอดเท่าชีวิตที่เรามีลมหายใจร่วมกันมาค่ะ
ขอบคุณนะคะ...ที่แวะมาทักทาย
(^___^)
เป็นบทความที่ดีและมีประโยชน์มากๆคับ
หวังว่าคงจะ มีมาอีกนะคับ