น้ำตาไหลในอกแม่


วันที่ 8 ตุลาคม 2551

วันนี้ข้าพเจ้าไปดูแลคลินิกกระตุ้นพัฒนาการแทนพี่เขียวซึ่งลาพักร้อนมาได้สามวันแล้ว... ได้เจอเด็กที่มากระตุ้นพัฒนาการสองราย คือ น้องดิวและน้องชมพู่ ... น้องดิวนั้นอายุประมาณ 2 ปีกว่า เดินไม่ได้ มีปัญหาทางด้านสมอง จะมีอาการเกร็งตลอดเวลา ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ พิการซ้ำซ้อนตามมาอีก คือ หูหนวกและเป็นใบ้ ซึ่งปกติเด็ก CP บางรายก็พูดได้และได้ยิน แต่สำหรับน้องดิวนั้น... เพียงแค่การมองเห็น และสื่อสารด้วยท่าทางก็ไม่ได้ เพราะมือ แขน ขาลีบไปหมด อยู่ในสภาพที่ต้องนอนเพียงอย่างเดียว ... แต่อย่างไรก็ตามสภาพของน้องดิวก็ยังมีความโชคดีหลงเหลืออยู่บ้าง ...

คือ... ความเป็นเด็กอารมณ์ดีของน้องดิว ซึ่งจะยิ้มและหัวเราะ เมื่ออยู่ในกิจกรรมของการกระตุ้นพัฒนาการ ข้าพเจ้าสังเกตว่า แม่ของน้องดิวค่อนข้างจะอารมณ์ดี ใจเย็น... พูดคุยและหยอกล้อลูก อีกทั้งมีอารมณ์ขันขณะที่ร่วมกันฝึกการกระตุ้นพัฒนาการน้องดิว...

แต่...

พอหันมาทางด้านน้องชมพู่... เด็กหญิงอายุ 5 ปีเศษๆ เพิ่งเดินได้ พูดไม่ได้ มีอาการเกร็งซีกขวา... ใบหน้าเศร้า หงุดหงิดง่าย มักอมนิ้วมืออยู่ตลอดเวลา แม่ต้องคอยดึงและห้ามตลอด ขณะที่ข้าพเจ้าให้แม่ของน้องดิวและน้องชมพู่คุยกันนั้น ทำให้จับประเด็นอารมณ์ ความคิด ความรู้สึกของแม่น้องชมพู่ได้... ถือว่าเป็น case ที่มีปัญหาทางด้านอารมณ์ของ care giver ที่ข้าพเจ้าได้พบโดยบังเอิญ... เพราะหากว่าไปแล้วแม่น้องชมพู่ก็เผชิญกับพัฒนาการล่าช้าของน้องชมพู่มานานถึงห้าปี ซึ่งการยอมรับก็น่าจะได้แล้ว แต่นี่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น "สภาพจิตใจของผู้เป็นแม่ยอมรับในการเจ็บป่วยของลูกไม่ได้" ข้าพเจ้าจึงใช้เวลานั่งคุยเพื่อการเยียวยากับแม่น้องชมพู่ ... ถึงได้ทราบว่า จริงๆ แล้วแม่น้องชมพู่ยอมรับสภาพของลูกไม่ได้ ... ขณะพูดเธอมีน้ำตาคลอเบ้าตาตลอด เสียงสะอื้นในอกสะท้อนถึงความทุกข์ในใจที่ตนแบกรับอารมณ์ส่วนนี้ไว้...

อารมณ์ของน้องชมพู่และน้องดิว...มีผลสืบเนื่องมาจากอารมณ์ของแม่

แต่นั่นไม่ใช่ความผิดของแม่ หากแต่แม่ก็คือ ผู้ร่วมชะตากรรม ที่ผู้ให้การช่วยเหลือจะต้องไม่เพิกเฉยหรือละเลยต่ออารมณ์และสภาพจิตใจ ดังนั้นในรายที่มากระตุ้นพัฒนาการ ผู้ช่วยเหลือจะต้องประเมิน และสังเกตสภาวะทางจิตใจของแม่ร่วมด้วย หากพบว่ามีแนวโน้มไปทางด้านความไม่เป็นปกติ จะต้องส่งต่อเพื่อให้ได้รับการเยียวยาต่อไป

เป็นว่า...ในกระบวนการบำบัดช่วยเหลือในวันนี้สำหรับน้องชมพู่ นอกจากประเมินพัฒนาการและวางแผนการฝึกกระตุ้นพัฒนาการต่อแล้ว สิ่งที่มีคุณค่าที่เกิดขึ้นก็คือ... การได้ช่วยเยียวยาทางด้านจิตใจของแม่น้องชมพูด้วย

"เวลาฉันคิดมาก ฉันจะป่วย พอฉันป่วยฉันก็ดูแลลูกไม่ได้ ... "

"ฉันจึงไม่ยอมป่วย ป่วยไม่ได้ จึงเลิกคิด..."

นี่เป็นคำบอกเล่าของแม่น้องดิวที่พูดคุยแลกเปลี่ยนกันกับแม่น้องชมพู่... การเยียวยาบางครั้งอาจไม่จำเป็นต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญอย่างเดียว การที่บุคคลที่ตกอยู่ชะตากรรมเดียวกัน ได้ร่วมกันพูดคุยหารือ ปรับทุกข์และรับฟัง แนะนำถึงวิธีการผ่านทุกข์นั้นไปได้ ก็มีคุณค่าอีกรูปแบบหนึ่ง สำหรับการดูแลทางด้านจิตใจได้

 

---------------------------------------

 

 

หมายเลขบันทึก: 215086เขียนเมื่อ 9 ตุลาคม 2008 00:43 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 ธันวาคม 2012 18:34 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (16)

ผมยอมรับครับว่า พ่อแม่มีส่วนสำคัญสำหรับลูกๆ มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับลูกที่พิการ แม่มักพูดกับผมเชิงให้กำลังใจสมัยเด็กๆ ว่า ไม้เท้าของผมเป็นไม้เท้าวิเศษครับ และผมว่า กำลังจากพ่อแม่ พี่ๆ และน้องคือแรงพลักด้นที่ทำให้ผมมาถึงจุดนี้ได้

อ.อีย์...ความเห็นที่ อ.อีย์มาพูดคุยด้วยนี้มีค่ามากเลยค่ะ...กะปุ๋มยังเคยถามตนเองเสมอว่า หากว่าเมื่อตัวเอง จะได้เจอหรือตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ จิตใจเราจะเข้มแข็งมากพอไหม จะนำพาลูกตนผ่านพ้นไปได้...หรือเปล่า

สภาวะอะไรก็แล้วแต่ ขอเพียงแค่ใจไม่ป่วยตามนี่ ก็สามารถเกิดพลังอันมหาศาลในชีวิตได้ อย่างที่ อ.อีย์เองก็เป็นคนต้นแบบ ... ที่แสดงให้เห็นถึงพลังอันงดงามในจิตใจ

ขอบพระคุณค่ะ

(^__^)

กะปุ๋ม

+ น้องสาวแท้ๆ ของอ๋อยก็มีร่างกายที่ขาไม่ปกติค่ะ...

+ สาวน้อยเธอขากิ่ว...และตอนเด็ก ๆ สาวน้อยเธอเดินด้วยหลังเท้า...ทั้งนี้เพราะตอนที่แม่ท้องแม่ป่วยเป้นไข้มาลาเรียค่ะ...

+ เป็นมากถึงขนาดหมอต้องถามยายว่าจะเอาแม่หรือลูกไว้...แต่แม่คงแข็งใจและต่อสู้กับเชื้อมาลาเรีย...จนรอดมาทั้งแม่และสาวน้อย....

+ อ๋อยจำความได้ตอนเด็ก ๆ ต้องแบกสาวน้อยขี่หลังไปไหนมาไหนตลอด...แม้เธอจะเดินได้แล้ว..อ๋อยก้มักจะให้เธอขี่หลังไปไหน ๆ ด้วยเสมอ..

+ ส่วนแม่นั้น...จะนวดเท้าให้สาวน้อยทุกคืน ๆ โดยไม่ว่างเว้นสักวัน...

+ และแล้ววันที่แม่และครอบครัวเรารอคอยก็มาถึง...เมื่อสาวน้อย 5 ขวบกว่า ๆ ...

+ หลังเท้าที่เธอใช้เดินเกิดมีหนามตำ...เป็นแผลระบม...พวกเราเลยพยายามหัดให้เธอเดินด้วยฝ่าเท้า...ฝึกกันวันละนิด..นวดเท้าทุกวันทุกคืน...ผ่านไปนานวันเข้า..นานวันเข้า..แต่จำไม่ได้ค่ะว่านานเท่าไหร่..ความพยายามของพวกเราและของสาวน้อยก็ประสบความสำเร็จค่ะ...สาวน้อยของเราเดินด้วยฝ่าเท้าได้ค่ะ...

+ ด้วยความที่เธอเป็นแบบที่เล่า...พวกเราเลยเลี้ยงเธอแบบตามใจมากไปบ้าง...มีบางช่วงที่เธอคิดถึงแต่ตัวเอง..ลืมนึกถึงคนอื่น...ด้วยความเคยชินว่าเธอต้องเป็นที่หนึ่งเสมอ....

+ ถึงกระนั้นตอนรับปริญญาสาวน้อยเธอก็ไม่ยอมรับ...เพราะชุดครุยมันสั้นกลัวคนจะเห็นขาที่กิ่วของเธอ...จำได้ว่าพ่อหลั่งน้ำตาด้วยความสงสาร...

+ อ๋อยพยายามบอกเธอ...สอนเธอ..ว่าอย่าให้ใจเราไม่สมบูรณ์ตามร่างกาย...ใจเราเลือกที่จะฝึกได้...ฝึกให้เกิดนปัญญาได้....แต่สาวน้อยเธอก็ไม่เข้าใจ...

+ เมื่อเธอมีแฟน...ก็วุ่น ๆ พอควร..กว่าเธอจะเปิดเผย...และแฟนเธอก็ดีค่ะ...บอกเธอว่าใจเธองามเพียงพอที่เขาจะแต่งงานและเลือกเป็นแม่ของลูกด้วย...

+ เมื่อเธอคลอดลูกชาย...ลูกชายเธอชื่อ.." ต้นน้ำ "...

+ เชื่อไหมค่ะว่า...เธอไม่รู้สึกอายอีกเลยที่ขาเธอกิ่ว...เธอใส่ขาสั้นเผยให้ใคร ๆ ที่มาเยี่ยมเจ้าต้นน้ำเห็น...ด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจค่ะ.(อ๋อยคิดว่ายิ้มของเธองดงามค่ะ..ยิ้มสยาม...ยิ้มหวานค่ะ..)

+ อ๋อยเลยถามว่าไม่อายใคร ๆ เหรอ...เธอตอบว่า..แปลกมากไม่รู้ทำไมความรู้สึกแบบนั้นมันหายไป...

+ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ....

ครูน้องอ๋อย-คุณแม่น้องแอมแปร์...

พี่กะปุ๋มบอกได้คำเดียวว่า "ความเห็นต่อยอดนี้งดงามมาก"

ขอบคุณในสิ่งที่มีค่านี้

(^___^)

สวัสดีครับ กะปุ๋ม

ผมว่า ตัวแม่และผู้ดูแลต่างหากที่เป็นผู้เชียวชาญ ไม่ใช่พวกเราที่เป็นผุ้บำบัด เพราะต่อให้เราเรียนมาแค่ไหนก็ตาม ก็สู้ผู้มีประสบการณ์ตรงไม่ได้

ผมอ่านเจอแนวคิดอันหนึ่งเรียนกว่า Patient Expert ในแนวคิดนี้ ถือว่า ผู้ป่วยและญาติ คือผู้เชียวชาญ ที่จะคอยให้คำแนะนำ ประคับประคองจิตใจกันและกัน

ผู้บำบัด ทำหน้าที่ในการ จัดกลุ่มให้เขาได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Self-help group) และมีการสอนสุขศึกษาโดยผู้มีประสบการณ์ตรง อันนี้จะมีประโยชน์มากกว่าเรามาสอนเอง (อ้อ งานนี้อาจจะต้องมีการเทรน คนไข้ต้นแบบ เพื่อให้เขามีทักษะในการสอนและการประคับประคองจิตใจผู้อื่นได้ และมีพยาบาลคอยช่วยเหลืออยู่ห่างๆและเรียนรู้ไปพร้อมๆ กับเขา)

สวัสดีค่ะ ลูกสาว

  • ครูอ้อย รักลูกมา และ เคารพสิทธิของลูกเสมอ โดยถาม และ อยากรู้ ความต้องการของลูกเสมอ
  • ครูอ้อย  ไม่เคยให้ลูกได้เครียด  แต่ลูก  จะได้อะไรหลายๆไปจาก การซึมซับ  ความประพฤติ และอารมณ์ของแม่
  • เช่น ครูอ้อย ชอบอ่าน  เธอก็จะอ่านตามแม่
  • ครูอ้อย  ชอบการเขียน  เธอก็จะชอบเขียน ค่ะ
  • แบบ..ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นค่ะ

รัก กะปุ๋ม เสมอ

พี่  recovery คะ

ใช่เลยค่ะ... ผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงคือ ผู้ป่วยแลญาติ...

ในแนวคิดนี้ในโมเดลส่งเสริมการสร้างความรู้ในมนุษย์ที่กะปุ๋มทำปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นนั้น ได้นำมาเป็นหนึ่ง element ของโมเดล... คือ แนวคิดคนต้นแบบ... หรือ Role Model

ในกระบวนการเยียวยาและการบำบัดเองก็เช่นเดียวกัน ในกลุ่ม care giver เองทั้งในผู้ป่วยทางจิต หรือในเด็กที่มากระตุ้นพัฒนาการ ... กะปุ๋มจะนำคิดนี้มาใช้เพื่อให้ care giver ได้เยียวยากันและกันค่ะ...

อ้อ...

กะปุ๋มลืมเล่าเรื่องไปเยือนการขับเคลื่อน R2R สถาบันราชนครินทร์ให้ฟัง... ไปพบงานวิจัยที่แนวคิด recover model มาใช้ทำให้นึกถึงคุณคนไกลมากค่ะ... สักวันในเครือข่ายคนทำงานด้านจิตเวช น่าจะมี CoP ของ recovery model นี้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันนะคะ

....

ขอบพระคุณในความเห็น...นะคะ ฝากความระลึกถึง แนน- IS ด้วยนะคะ อยากไปปีนเขาด้วยจังเลย...

(^_____^)

(^___^)

ครูแม่อ้อยขา...

ความรักของแม่นั้นยิ่งใหญ่...

ความรักของแม่นั้นเยียวยา...ทุกสรรพสิ่งได้

ความรักของแม่...นำพาความสงบสุขในใจ..มาสู่ลูก

ความรักของแม่...เกินจะพรรณณา...

ดั่งเช่นความรัก...ของครูแม่อ้อยค่ะ

(^____^)

สวัสดีจ้า

- คุณแม่คนเก่ง เป็นกำลังคนสำคัญของลูก เป็นกำลังใจให้ทั้งคุณแม่และคุณลูกค่ะ

- คิดถึงนะจ๊ะ เดือนธันวาคมนี้ คงได้เจอกันที่ รพ.ยโสธร เพราะที่โนนไทยเขาจะไปดูงานที่นั้นจ๊ะ ...

สวัสดีจ้าเพชร...

เพชรก็เป็นคุณแม่ท่านหนึ่งที่มีพลังใจที่งดงามและเข้มแข็ง...เหมือนคุณยายของน้องโบวี่...

ชีวิตในแต่ละวันเพชรคงสบายดีนะคะ เราระลึกถึงเสมอ เมื่อเดือนก่อนไปนครพนม...เจอ อ.ต๋อย และ อ.ดา... ดีใจมากที่ได้ทำงานร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง...

และยินดียิ่งที่ได้ทราบข่าวว่าเพื่อนจะมาเยือน หวังว่าคงจะไม่ตรงกับวันที่ 16-19 ธค. นะ เพราะช่วงนั้นเราเดินทางไปกระตุ้นต่อมเอ๊ะ R2R ที่ จังหวัดระนอง...

(^___^)

น้องจิ...เจ้าคะ..

พี่กะปุ๋มก็เป็นกำลังใจให้เช่นกันนะคะ...ขอให้มีความสุขกับลมหายใจในทุกทุกวันนะคะ

(^___^)

สวัสดีค่ะ

ผ่านมาอ่านโดยบังเอิญ..

๑ เป็นคุณแม่ที่มีลูกพัฒนาการช้า จากสมองพิการค่ะ

๑ ปีแรก..ร้องไห้..ทุกวัน

๑ ปีต่อมา.ร้องบ้าง..ไม่ร้องบ้าง

๑ ปีนี้..ลูก 3 ขวบแล้ว..

เห็นแม่คนนี้..ยิ้มตลอด..

ขอบคุณทุกตัวอักษรจากทุกคนในที่นี้..

ที่อ่านแล้วทำให้แม่คนนี้..มีกำลังใจมากขึ้น..

สวัสดีค่ะ...คุณแม่

ไม่มีรูป 13. Mamy

ทันทีที่ได้เปิดเข้ามาเจอการเข้ามาร่วมแบ่งปันประสบการณ์จากคุณแม่ ทำให้เกิดความรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่งที่คุณแม่กรุณา แบ่งความงดงาม ของการเรียนรู้การดำรงอยู่...ท่ามกลางสภาวะความการรุมเร้า

ความคิดเห็นและประสบการณ์ที่คุณแม่นำมาฝากนี้...

เป็นกำลังใจที่ยิ่งใหญ่...ให้กับใครๆ อีกมากมายที่ได้แวะเวียนผ่านมา

(^___^)

ขอบพระคุณค่ะ

ดีจ้ากะปุ๋ม

ได้อ่านเรื่องดีๆแล้วซึ้งใจจัง ในฐานะคุณแม่ลี้ยงเดี่ยวก็อยากเป็นฮีโร่ให้ลูกชายคนนึงให้เติบโตเป็นคนดี....สัญญา....

อยู่ที่เรียนรู้...อยู่ที่ยอมรับมัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด'"""""""""[email protected]"""""""""

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท