"มองอย่างปกติ" เมื่อใช้ชีวิตอยู่กับผู้สูงวัย


ในช่วงวัยต่างๆ...ของการได้เกิดเป็นมนุษย์นี้ เราจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างมากมาย โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย และสารชีวเคมี ที่พยายามผลักไปสู่ความสมดุลย์ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วในชีวิตของผู้คนโดยทั่วไปนั้นมักจะเสียสมดุลย์มากกว่า...

วัยที่มีการเปลี่ยนของฮอร์โมนและสารชีวเคมี...และผลกระทบต่ออารมณ์และการดำรงอยู่มากนั้น เห็นจะเป็นวัยรุ่นและวัยผู้สูงอายุ... นี่เป็นข้อมูลที่ได้มาจากการทำงานทางด้านการเยียวยาด้านสุขภาพจิต

กะปุ๋ม: พี่หน่อยเริ่มมองอาการของยายเป็นความปกติหรือยังคะ

เป็นคำถามที่ข้าพเจ้าเอ่ยถามพี่หน่อยน้อยในเช้าวันนี้ ขณะที่เรานั่งรถไปธนาคารด้วยกัน...

พี่หน่อยน้อย: ก็พอเริ่มมีบ้าง...แต่บางครั้งพี่ก็หลุด และหงุดหงิด โมโหเหมือนกัน

กะปุ๋ม: เมื่อไร ที่พี่เริ่มมองเห็นอาการของยาย ที่มีอารมณ์แปรปรวน แต่หัวใจพี่มองอาการนั้นเป็นเรื่องของความปกติ ใจของพี่จะเบาขึ้น และปฏิบัติต่อยายด้วยความใจเย็น และนุ่มนวลขึ้น

และเมื่อไร...ที่ใจมันหนักๆ...ขอให้พี่กลับมาอยู่ที่ลมหายใจนะคะ...

หายใจเข้ารู้ตัวว่า...หายใจเข้า

หายใจออกรู้ตัวว่า...หายใจออก

ตามดูและรู้ตัวกับลมหายใจไปเรื่อยๆ สักพัก...อาการที่ว่าใจหนักๆ ก็จะเบาเบาลง แล้วพี่ก็จะปฏิบัติต่อยายได้ด้วยความรัก มากกว่าความโกรธและโมโหนะคะ

การที่เราได้อยู่ใกล้ใครสักคนที่เขาใจเบาเบา...นั่นน่ะ ความเบาที่ใจของบุคคลผู้นั้นกำลังช่วยเยียวยาจิตใจเราให้สู่ความร่มเย็นง่ายขึ้น..และที่สำคัญ เราต้องปฏิบัติใจเบาเบาต่อเราด้วย

วิธีการที่ง่ายที่สุด ไม่ต้องลงทุนมาก คือ การอยู่กับลมหายใจของเราเอง อยู่อย่างรู้จักกัน ... รู้จักว่าตอนนี้นะเราหายใจเข้า และตอนนี้นะเราหายใจออก...

สิ่งที่ติดตามเราไปตลอดชีวิต ของการดำรงอยู่นี้ คือ ลมหายใจ ข้าพเจ้าถือว่าเป็นมิตรแท้ ที่เราต้องไม่หลงลืมเขา การที่เราได้ให้ความพิเศษ ความสำคัญ..ต่อเขา(ลมหายใจ)...จะทำให้ใจที่ว้าวุ่นของเราเบาเบา และก่อเกิดเป็นความสุขเล็กๆ ในใจเรา...เป็นความสุขที่เราไม่ต้องวิ่งไปหาที่ไหน... หากเราทำความรู้ และเจอเขาเลย ณ ตอนนี้ สภาวะของการเข้าใกล้สู่สุขสงบก็จะมีมากขึ้น...

เมื่อไรก็ตาม...ที่เรารู้สึกว่า ทุกข์นั้นถาโถมสู่เรา ก่อเป็นสภาวะใจหนักๆ...

ขอให้เราถอยออกมาจากเรื่องราวทุกข์นั้นก่อน กลับมาอยู่กับมิตรแท้ของเราสักพักก่อน... มิตรแท้ที่มีชื่อว่าลมหายใจ..เขาจะประคองและโอบกอดเราให้ใจบรรเทาและละไมขึ้น

แล้วเราก็จะสามารถดำรงอยู่ได้...ทุกท่ามกลางสภาวะที่มากระทบ แต่ใจเรานั้นไม่กระเทือน...

_____________________________________________________________________________________

Note: เป็นอีกหนึ่งวรรคตอนของความคิด...และบทสทนาในเช้านี้

การอยู่ร่วมกันกับบุคคลในวัยต่างๆ โดยเฉพาะผู้สูงอายุนี้ เราต้องทำความเข้าใจในธรรมชาติของคนกลุ่มนี้ ว่ามีอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดเช่นไร ... การแสดงออก และความปรารถนาที่ลึกลงไปในจิตใจ คือ อะไร... หากเราเข้าใจในธรรมชาติของผู้สูงอายุ เราจะสามารถดำรงอยู่กับท่านได้ด้วยใจเบาเบา ใจที่สงบ...

แต่ก่อนที่เรา...จะทำความเข้าใจได้นั้น

ต้องเป็นการทำความเข้าใจ ด้วยอารมณ์ที่เป็นสงบ ปราศจากอารมณ์หรือความรู้สึกนึกคิดทางลบ นั่นก็คือ เราต้องเริ่มปฏิบัติการเยียวยาเราก่อน ให้ใจที่หนักนี้เบาลง เย็นลง...แล้วการเรียนรู้อย่างเข้าใจลึกซึ้งก็จะบังเกิดขึ้น...

อย่างกรณีของพี่หน่อยน้อย .. ที่เราร่วมกันเยียวยานี้ ข้าพเจ้านั้นมุ่งเยียวยาพี่หน่อยน้อยมากกว่ายาย...เพราะสิ่งที่เป็นยาย คือ สภาวะทางธรรมชาติ แต่ทุกข์ที่พี่หน่อยน้อยเผชิญนั้นเป็นทุกข์ภายในตนเองมากกว่าจากยาย เรื่องของยายเป็นเรื่องที่มากระทบเท่านั้น แต่ใจของพี่หน่อยน้อยกลับกระเทือนตาม เพราะมีอนุสัยจากเหตุปัจจัยต่างๆ นอนเนื่องอยู่ในจิตใจ

กระบวนการเยียวยา...เราจึงมุ่งเยียวยา ผู้ที่อยู่ ณ เบื้องหน้าเรา...มากกว่า

 

------------------------------------------------

 

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 216682เขียนเมื่อ 15 ตุลาคม 2008 10:46 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 ธันวาคม 2012 18:34 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

สวัสดีครับคุณ KAPOOM

มาเรียนรู้การกำหนดลมหายใจ เพื่อรัยรู้สภาวะตนเอง

พยาบาลสอนให้หายใจเข้าท้องป่อง หายใจออกท้องแฟบ ให้สูดหายใจเข้ายาวๆลึกๆแล้วค่อยผ่อนออก ตอนแรกก็ต่อต้านนิดๆ ว่า อะไรกันว่ะหายใจมาตั้ง 50 ปี ยังจะมาสอนให้หายใจกันอีก แต่หลังจากได้ทดลองปฎิบัติตาม รู้สึกว่าอการหายเหนื่อยหอบ ดีขึ้นครับ

ขอบคุณค่ะพี่กะปุ๋ม มัทพูดบ่อยๆกับคนที่ทุกข์แบบนี้ว่า ให้มองว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา แต่เค้าเหมือนจะไม่เชื่อ ไม่เข้าใจ เค้ามองว่าสารเคมีในสมองเมื่อไม่สมดุลก็ต้องปรับด้วยยาให้หาย ทั้งๆที่จริงๆเรื่องทางใจสำคัญมาก ปฎิกริยาความสัมพันธ์ในชีวิตประจำวันนี่และสำคัญ พึ่งแต่ยาไม่ได้ มัทเหนื่อยใจแต่ก็กลับมาให้ใจเบาได้ไม่ยาก แต่เค้าที่เป็นทุกข์ก็ยังทุกข์อยู่ มัทยังไม่เก่งพอ เห็นแล้วก็ได้แต่คิดว่าไว้ค่อยๆพยายามเป็นแบบให้เค้าดูแทน เพราะพูดไปคงไม่ได้ผล ยิ่งช่วงหลังนี้คุณยายนอนไม่หลับ เค้าก็นอนไม่พอ burn out ไปด้วย ทุกข์หนักมากไปอีก ดุยายอีก ทะเลาะกับน้องเรื่องการดูแลยายอีก เห็นแล้วรู้สึกว่าเค้าเกิดมามีกรรมทั้งบ้าน มันอยู่ไกล ทำอะไรมากไม่ได้ ไว้กลับไปอาจจะช่วยอะไรได้บ้าง เหมือนที่พี่บอค่ะ มันมีทุกข์ที่หลีกไม่ได้ แล้วก็ทุกข์เพราะภายในตนเองมากกว่าจากยาย

ขอมาปลดปล่อยค่ะ : )

เข้ามาอ่านค่ะ และอยากให้คนอื่นๆอ่านอีกมากๆค่ะ จะได้มีเมตตามากขึ้น

มาอ่านแล้วคิดถึงบันทึก ดูแลผู้ดูแลของน้องมัท ค่ะ

มีประโยชน์มาก ๆ ค่ะทั้งสองบันทึก เรื่องราวต่อเนื่องกัน;P

สวัสดีค่ะ

- ฟังเคยการณ์นี่แล้วย้อนกลับมาดูตัวเรา ...เราก็มีเหตุกระทบใจเราให้หนักในแต่ละเบา ..หนักบ้าง..เบาบ้าง

- การจะให้ใครสักคนคลายจากความตระหนี่,การผูกใจเจ็บ นั้นยากเหลือเกิน ..แต่ในใจเรากลับหนักมากกว่า ในการเปลี่ยนแปลงตัวคนอื่น...

- น่าเสียดายนะที่ไม่เจอ เหล่าอาจารย์ที่นครพนม อ.ดา อ.ต๋อย ฝากความระลึกถึงนะจ๊ะ ..แล้วเจอกัน 12-14 ธ.ค 51 เราไปรุ่นแรกจ๊ะ

สวัสดีค่ะ กระปุ๋ม

พี่แป้ เป็นคนที่หิวง่ายและเมือ่หิวจะมีอาการหงุดหงิด คิดอะไรไม่ออก งงงวย และเหงื่ออก มือเย็น มือสั่น ต้องรีบหาอะไรหวานๆมาทาน และหลังทานจะเหนื่อย จนสงสัยว่าตัวเองเป็นเบาหวานรึเปล่า แต่ก็ไม่ใช่จากการตรวจร่างกาย

17-18 ตค. ได้มีโอกาสเรียนและฝึกการหายใจเพื่อให้เราสมดุลย์ ไม่น่าเชื่อจากที่เคยต้องรีบทานๆๆๆๆ ไม่แล้วใช้การอยู่กับลมหายใจ สัก2-3ครั้งทำให้พี่แป้ผ่านพ้นอาการรบกวนนั้นได้ ช่างมหัศจรรจริงๆ อีกเรื่องระหว่างพี่เข้าอบรมนั้นระหว่างบรรยากาศเงียบๆๆๆ พี่รู้สึกคันในลำคอถ้าปกติต้องไอแรงๆให้สะใจ แต่พี่ใช้วิธีการอยู่กับลมหายใจทำให้พี่ไม่ต้องไอและรบกวนสมาชิกในห้อง สุดยอดจริง ไม่เคยคิดว่าใจเรา สมาธิเราสามารถช่วยเรามากๆๆเลย

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท