หากจะว่าไปแล้วข้าพเจ้าเองนั้นเริ่มต้นชีวิตการทำงานตั้งแต่ปี ๒๕๓๙ เป็นพยาบาลตัวเล็กๆ ที่มีกัลยาณมิตรชอบล้อเลียนเสมอว่า เหมือนเด็กน้อยแอบไปเอาชุดพยาบาลมาใส่ ชีวิตการทำงานบนหอผู้ป่วยนับเวลาแล้วประมาณเก้าเดือน แต่ก็เป็นเก้าเดือนที่เต็มเปี่ยม
เต็มเปี่ยมอย่างไร...ล่ะ
ก็เต็มเปี่ยม อย่างเต็มที่ต่อการปฏิบัติการงาน "ใจ" นี้ไม่เคยมีท้อเลย แม้ว่าจะต่อเวรอย่างที่ร่างกายไม่ได้พัก แต่นั่นก็เต็มใจทำ หลังจากนั้นชีวิตก็เป็นการงานผ่านการเรียนหนังสือ จวบจนมาถึงปลายปี ๒๕๔๘ ที่เริ่มต้นทำงานอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นการทำงานอย่างเต็มตัวเลยก็ว่าได้...
เส้นทางแห่งการทำงานตลอดห้าปีที่ผ่านก็ยังคงเป็นเส้นทางแห่งการทำงานอย่างเต็มเปี่ยมเฉกเช่นเดิมมิได้แปรเปลี่ยน ปราศจากความหวั่นไหวหรือสั่นคลอนต่อวิบากกรรมที่ปรากฏ มีแต่ตั้งใจและเต็มที่ หลีกเลี่ยงการขัดแย้ง ... สิ่งใดปรากฏที่เป็นเหมือนความคิดไม่ตรงกันข้าพเจ้าก็พยายามที่จะเลี่ยง ใช้การแก้ไขภายในจิตใจตนเองแทน แทนที่จะวิ่งไปอธิบายให้บุคคลอื่นเข้าใจ...เพราะข้าพเจ้าเชื่ออย่างหนึ่งว่า "มนุษย์เรานั้นหากว่าเขาเข้าใจ เขาก็จะเข้าใจอย่างที่เราไม่ต้องไปอธิบายใดใด คนที่พร้อมจะเข้าใจเรา เขาจะไร้ซึ่งเงื่อนไขใดใดต่อเรา"...
ข้าพเจ้าใช้ชีวิตเพื่อชีวิตเท่านั้น ...ไม่ได้หวังผลในสิ่งใดใดที่จะเกิดขึ้น
การทำงานจึงมักไร้ผลของงานอันเป็นรูปธรรม
เพราะข้าพเจ้าเพียงแค่ทำงานเพื่อทำงาน ดำรงชีวิตเพื่อชีวิตเท่านั้น ...
หลายคนมักเข้ามาเสนอว่า "ทำไมท่านจึงไม่ทำเช่นนั้น ไม่ทำเช่นนี้"...
ซึ่ง...ข้าพเจ้าก็ไม่ทำจริงๆ ข้าพเจ้าจะทำเพียงแค่ว่า ณ ปัจจุบันนี้มีอะไรปรากฏต่อชีวิตเท่านั้น และจะทำอย่างเต็มที่ต่อสิ่งที่ปรากฏ ณ ปัจจุบันนั้นนั้น...
ปฏิบัติเช่นนี้มาตลอดชีวิต เมื่อมองย้อนกลับไป จึงสามารถที่จะบอกใครต่อใครได้อย่างเต็มภาคภูมิว่า "ชีวิตที่ผ่านคือ ความเต็มเปี่ยม"... หลายคนแสดงความคิดเห็นว่าใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า...จึงไม่แปลกอะไรที่จะบอกต่อใครๆ ว่า "ข้าพเจ้าสามารถตายได้แล้ว และพร้อมตาย ไม่มีอะไรที่จะต้องเสียดายหรือห่วงอีกต่อไป"...
เมื่อมีใครมาบอกเล่าชีวิตและความทุกข์ให้ฟัง...
ข้าพเจ้าก็จะบอกเพียงแค่ว่า "มันก็เท่านั้นเองล่ะ ไม่มีอะไรหรอก ทุกอย่างมันเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นได้ น้อมรับมันซะ และก็ใช้ชีวิตไป แสดงว่าธรรมชาติให้เราได้มาเรียนรู้เรื่องนี้"...
มันก็อาจยากที่จะเข้าใจนะ ...
แต่หากว่า เราไม่ปฏิเสธต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่นานเดี๋ยวเราจะเข้าใจในปรากฏการณ์ที่มันเกิดขึ้น อย่าดิ้นรน...เพราะความดิ้นรนไม่ใช่การเผชิญหน้าอย่างมีศานติ...
พอใคร่ครวญมาถึงตรงนี้...
ทำให้นึกถึง พระทิเบตหลายท่านที่ดำรงอยู่อย่างศานติ ด้วยความอดทนอดกลั้น และน้อมรับการปรากฏขึ้นแห่งทุกข์ที่เปี่ยมด้วยปัญหาและอุปสรรค ไม่ว่าทางการจีนจะกระทำเช่นไร พวกท่านเหล่านั้นก็น้อมรับโดยปราศจากการโต้ตอบที่เต็มไปด้วยความรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นทางความคิด อารมณ์ หรือการกระทำ ... ท่านดำเนินวิถีอันเต็มเปี่ยมด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนและยอมรับ
นี่นะ...สำหรับข้าพเจ้าแล้ว คือ ความสุดยอดแห่งความเข้าใจใน "ธรรมชาติ"
หากว่าเราได้ฝึกฝนตนเองเช่นนี้ เชื่อเลยว่าโลกนี้จะร่มเย็นจากศานติที่ปรากฏในจิตใจ
แด่...ความอดทนในเส้นทางแห่งความดีงาม
๕ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๓
ไม่มีความเห็น