ได้อะไรจากการ "วิ่ง"


จะเดิน วิ่ง หรือเคลื่อนไหวร่างกายใดใด กำหนดรู้อยู่ที่การเคลื่อนไหวนั้น

การเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นที่ "การวิ่ง"

ณ ตอนนั้นข้าพเจ้าไม่ทราบว่า สิ่งที่ครูสอนให้วิ่ง... คือ "การภาวนาผ่านการวิ่ง" ข้าพเจ้าต้องการแต่เพียงว่า อยากจะวิ่งแบบไม่เหนื่อย เพราะจำได้ว่าสมัยตอนเด็กๆ เราถึงวิ่งได้โดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่ทำไมยิ่งโตขึ้นเรื่อยๆ การวิ่งกลับเป็นเรื่องที่ยากมากขึ้นสำหรับผู้ใหญ่...

ครูสอน...

ให้วิ่งโดยกำหนดสติระลึกรู้อยู่ที่การวิ่ง ตอนนั้นครูพาเรียกว่าฝึก "กายาคตาสติ" มาทราบในตอนหลังว่า คือ การพาสติกำหนดรู้อยู่ที่กาย และการพิจารณากาย ข้าพเจ้าได้เริ่มที่เวลาวิ่งให้กำหนดรู้ที่ฝ่าเท้ากระทบพื้น พิจารณาไปเรื่อยๆ สังเกตว่าเท้าส่วนใดกระทบพื้นบ้าง และส่วนใดสัมผัสพื้นก่อน น้ำหนักลงมากที่ตำแหน่งใดของฝ่าเท้า พิจารณาอย่างนี้ไปเรื่อย....

จากนั้นก็เคลื่อนมาพิจารณา...ส่วนอื่น เช่น หากมีความปวดปรากฏขึ้นที่ส่วนใดให้ย้ายการกำหนดรู้มาพิจารณาบริเวณที่ปวด เป็นต้นว่าปวดต้นขา ก็ให้มากำหนดรู้ดูที่ขา ดูที่ความปวด หาตัวปวดให้เจอ ที่ว่าปวดขานั้น มันปวดอย่างไร ปวดแบบไหน ปวดมากน้อยเพียงไร สังเกตดูไปเรื่อยๆ... ไม่ต้องไปคิด ไปให้ความรู้สึกชอบใจหรือไม่ชอบใจ... เพียงดูความปวด จนแล้วจนรอด จนถึงทุกวันนี้ข้าพเจ้าก็หาตัวปวดที่ขานั้นไม่เจอ... แต่กลับไปเจอที่อื่นแทน...

"พอรู้สึกว่าปวดขา มากำหนดที่อาการปวดขา ... เจ้าอาการปวดขาก็หายไป เปลี่ยนไปปวดข้อเท้า ก็ตามไปกำหนดดูที่อาการปวดข้อเท้า ... เจ้าอาการดังกล่าวก็หายไปอีก มันเคลื่อนไปเรื่อยๆ เหมือนวิ่งไล่จับ..."

"ข้าพเจ้า...มาทราบในตอนหลังว่า ตัวจิตเราต่างหากที่มาหลอกเราให้ปวด ให้เมื่อย... "

เปลี่ยนจากพิจารณากายส่วนต่างๆ วิ่งไปได้สักระยะหนึ่งเริ่มเหนื่อย... ก็มาพิจารณาที่ความเหนื่อย เปลี่ยนเป้าหมายมาที่ลมหายใจ ที่หน้าอก ลึกเข้าไปในปอด พอลึกเข้าไปในปอดตอนนี้เริ่มอาศัยจินตนาการจากที่ได้ร่ำเรียนวิชากายวิภาคมาใช้ พิจารณารูปลักษณ์ของปอด และการทำงานของปอด

"ปอดคงทำงานหนัก... หัวใจก็คงเร่งสูบฉีดแน่ เพราะตอนนี้เราเคลื่อนไหวร่างกาย ปอด - หัวใจกำลังแลกเปลี่ยนก๊าซ... เอ๊ะ! เราต้องทำอย่างไรต่อไป ความคิดตอนนั้นเริ่มพิจารณา อืม! ร่างกายนี้เขาต้องการออกซิเจน... ต้องสัมพันธ์กับการหายใจเอาก๊าซเข้าและออก และเกิดคำถามต่อไปอีกว่า... จะต้องหายใจอย่างไร...

ตอนนี้ทฤษฎีต่างผลุดมา...เต็มไปหมด...

ลองทำ ไม่ได้ผลยังเหนื่อยเหมือนเดิม หอบเหมือนเดิม... วิ่งไป ครุ่นคิดไป พิจารณาไป... เริ่มใหม่เราทำตามทฤษฎีไม่ได้ เพราะทฤษฎีพูดถึงภาพรวมทั่วๆ ไป เราต้องกลับมาสังเกต ควบคุมด้วยตัวเราเอง จากนั้นขณะวิ่งก็เลยลองปรับจังหวะการหายใจด้วยตัวเอง ช้าบ้าง เร็วบ้าง เราเท่านั้นจะเป็นผู้รู้เองว่า จังหวะไหนสบายขึ้น... พอพิจารณาเช่นนี้ ความรู้สึกเหนื่อย ความรู้สึกท้อ ความรู้สึกเบื่อ ความรู้สึกปวด... หายไป...

จังหวะลมหายใจ และการวิ่ง ----> สัมพันธ์กันมากขึ้น"

ข้าพเจ้าวิ่งไปได้เรื่อยๆ ไม่เร่ง ไม่กำหนดระยะทาง หากแต่สังเกตภายในร่างกาย และจิตใจของตนเองไปว่าสิ่งไหนปรากฏขึ้นมาบ้าง จากนั้นก็นำมาบันทึกไว้

 

หากถามว่า... "ข้าพเจ้าได้อะไรจากการวิ่ง"

สิ่งแรกเลย คือ สติ... การที่ครูให้กำหนดระลึกตามดูการเคลื่อนไหวของกาย ทำให้เรามีสติจดจ่ออยู่กับสิ่งนั้น เมื่อสติตามรู้ ตามดูไปเรื่อยๆ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ "สมาธิ"... ที่ต่อเนื่องและยาวนาน ปราศจากสภาวะภายนอกเข้ามารบกวน... เมื่อจิตอยู่ในสภาวะมีสมาธิ สิ่งที่เกิดขึ้นตามมา คือ คำตอบของความสงสัยในเรื่องต่างๆ ที่ขึ้นกับว่าตอนนั้นเรากำหนดเรื่องใดขึ้นมาพิจารณา... หรือหากไม่กำหนดขึ้นมา ก็จะเป็นสิ่งที่ปรากฏขึ้น ซึ่งข้าพเจ้าเรียกสิ่งที่ปรากฏขึ้นมานี้ว่า "ปัญญา"...

ดั่งเช่น... เรื่องการควบคุมการหายใจขณะวิ่งที่ได้คำตอบขึ้นมาเองจากการคิดค้นได้ในขณะวิ่งนั้น ข้าพเจ้าก็ขออาศัยคำว่า "ปัญญา" นำมาใช้เรียกแทนปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้

แต่ละครั้งของการวิ่ง ข้าพเจ้าจะเริ่มต้นด้วยการวิ่งไปเรื่อยๆ ตามจังหวะการหายใจบ้าง หรือสังเกตกายบ้าง เมื่อเข้าสู่สภาวะที่มีสมาธิเกิดขึ้น ข้าพเจ้าจึงได้นำปัญหาในการทำงานบ้าง ในชีวิตบ้าง มาพิจารณาในแต่ละเรื่อง... พิจารณาไปเรื่อย... สุดท้ายก็ได้คำตอบของปัญหานั้น ด้วยความรู้สึกที่สว่างแจ้งในความรู้สึก ไม่ติดเป็นกังวล...

พอเสร็จสิ้นจากการวิ่งทุกครั้งจะรู้สึกปลอดโปร่ง ปิติ มีความสุขเกิดขึ้น หากอาศัยกรอบทางวิทยาศาสตร์สุขภาพมาอธิบายก็คงจะเป็นปรากฏการณ์ที่สมองหลั่งสารเคมีแห่งความสุขออกมา หรือที่เราคุ้นหูว่าสารเอ็นโดรฟิน หรือสารแห่งความสุข... ที่วงการเภสัชบำบัดทางจิตผลิตขึ้นมาเป็นยาเพื่อนำมาใช้ในการคลายเครียด... จริงๆแล้วสารนี้ตามธรรมชาติเรานั้นสามารถสร้างขึ้นมาได้เอง... เพียงแต่ว่าเราต้องลงมือเป็นผู้สร้างเอง อยู่เฉยๆ จะไม่เกิดเอง... พอสารสุขหลั่ง เราก็จะมีความสุข สบายอกสบายใจ ปลอดโปร่งคิดแก้ปัญหาได้เอง...หรืออาจเพียงแค่ได้ในระดับยอมรับในปัญหาที่เกิดขึ้น นี่ก็ถือได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ที่น่าพอใจแล้วสำหรับร่างกายนี้

"สองปี ของการวิ่งอย่างจริงๆจังๆ แบบไม่หยุด... สิ่งที่เป็นกำไรตามมา สำหรับข้าพเจ้า คือ ข้าพเจ้าไม่เจ็บไข้ได้ป่วยเลย แต่นี่คงไม่ใช่การวิ่งอย่างเดียว คงเป็นเรื่องของอาหาร อารมณ์ อากาศ อุจจาระด้วยเป็นแน่แท้ (ครบ 5 อ.เลยก็ว่าได้) แต่จะทยอยถอดเรื่องราวไว้..."

"จำได้ว่าไปได้คำตอบที่เกิดขึ้น...ขณะวิ่ง และมาได้คำอธิบายจากบันทึกของอาจารย์หมอวัลลภ และผู้นำสุขภาพตามแนวทางธรรมชาติบำบัดท่านอื่นๆ ที่อธิบายไว้ในเรื่อง การไหลเวียนของน้ำเหลืองและการขับของเสียของต่อมน้ำเหลือง เมื่อร่างกายเรามีการเคลื่อนไหวมากขึ้นน้ำเหลืองซึ่งมีหน้าขับพาของเสียออกจากร่างกายจะมีอัตราเร่งเร็วขึ้นกว่าเดิมประมาณสิบถึงสิบห้าเท่า... นั่นหมายถึง ขณะที่ร่างกายเราเกิดปฏิกิริยาทางเคมีและขับของเสียอยู่ตลอดเวลา การเคลื่อนไหวร่างกายจะเร่งขับได้ดีขึ้น... ตอนที่เราทำงานก็คงจะมีการขับเร็วขึ้นเหมือนกัน แต่ต่างจากสภาวะของการเคลื่อนไหวขณะออกกำลังกาย เพราะไปเสริมกับสารเอ็นโดรฟินหลั่ง... ดังนั้นการเคลื่อนไหวขณะออกกำลังกายจึงเกิดประโยชน์ต่อร่างกายนี้มากกว่าการเคลื่อนไหวในยามปกติ...

จะว่าไปแล้วข้าพเจ้าค่อนข้างอ่อนความรู้ทางด้านการแพทย์และสุขภาพอยู่มาก แต่ก็พยายามทำความเข้าใจในกลไกของร่างกายนี้ ทำให้มาทราบภายหลังว่า... ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นที่ข้าพเจ้าเรียกว่าเป็นกำไรจากการวิ่งเจริญสตินี้...ก่อให้เกิด Immun system หรือภาษาแพทย์เขาเรียกว่าภูมิคุ้มกันเกิดขึ้น... ดังนั้น จากตั้งแต่เริ่มชีวิตด้วยการวิ่งแบบนี้ ข้าพเจ้าจึงได้มีสุขภาพแข็งแรงขึ้น... จากที่ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ และร่างกายอ่อนแอ จึงหายไป กลายมาเป็นผู้มีชีวิตใหม่ที่ดูมีแต่กล้ามเนื้อ และมีภูมิต้านทาน... "

การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นนี้ ข้าพเจ้านำไปแอบใช้กับแม่... แรกๆ ชักชวนท่านให้ไปออกกำลังกายเป็นเพื่อน จริงๆ แล้วอยากกระตุ้นให้ท่านมีสุขภาพกายและใจที่เหลืออยู่ของช่วงชีวิตนี้มีความสุข... ปราศจากโรคภัยเบียดเบียน แม่ให้ความร่วมอย่างดี อาจเป็นได้ว่าด้วยความรักลูก... สำหรับแม่ แม่ใช้การเดิน ข้าพเจ้าก็จะแอบหยอดวิธีการบอกแม่ไปด้วย แม่จะชอบบ่นว่าเมื่อยขาบ้าง ... กำลังไม่ไหว แต่จริงๆ แล้วข้าพเจ้ามองว่าไหว หากแต่อาจท้อ... แต่ด้วยความที่แม่สนใจในเรื่องสุขภาพตามแนวธรรมชาติบำบัดอยู่แล้ว เราแม่ลูกจึงใช้ภาษาสื่อสารกันได้ง่ายขึ้น...

ข้าพเจ้าจะพูดคุยกับแม่เรื่องสังเกตลมหายใจ เวลาเดิน สังเกตความปวด  และที่สุดสังเกตความพอดีว่าการเคลื่อนไหวนี้น่าจะสิ้นสุด หรือพอเมื่อไร... การสังเกตนี้ข้าพเจ้ามองว่าได้ในเรื่องของการฝึกวิปัสสนา... โดยไตร่ตรองใคร่ครวญสภาวะทางกายแล้วน้อมเข้าไปสู่ทางจิตใจ...

มีปรากฏการณ์อะไรเกิดขึ้น ก็รับรู้และพิจารณาไปเท่าที่กำลังปัญญาจะสามารถพิจารณาได้... ตอนนี้เราแม่ลูกพึ่งพายาน้อยลง พึ่งพาสารเคมีที่นำมาใช้ในกระบวนการบำบัดรักษาต่างๆ น้อยลง... สุขภาพดีขึ้น การถูกเบียดเบียนจากโรคภัยไข้เจ็บน้อยลง ทุกวันของการเลิกงานข้าพเจ้ามองว่าเป็นหน้าที่ที่สำคัญที่สุดในชีวิตที่ข้าพเจ้าจะต้องพาแม่ไปออกกำลังกาย... พยายามทำอย่างสม่ำเสมอนอกเหนือจากการที่ไม่ต้องเดินทางไปไหน ข้าพเจ้าจึงมักใช้เวลาที่เหลืออยู่ในการดูแลและเยียวยาคนที่ข้าพเจ้ารัก -----> คือ "แม่"

_______________________________________________________________________________

"การเยียวยา...เราทำได้เสมอและตลอดเวลา โดยไม่ต้องรอป่วยไข้

และการเยียวยานี้เป็นยิ่งกว่าการบำบัดรักษา..."

............................

 

 

หมายเลขบันทึก: 185576เขียนเมื่อ 1 มิถุนายน 2008 15:03 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 19:07 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (17)

ยินดีด้วยนะคะ..กับสิ่งที่เป็นคุณค่ายิ่งๆ..สำหรับบทบาท ความเป็นลูก เป็นชาวพุทธ (ตัวจริง)ฝึกรู้ ฝึกดูอยู่เหมือนกัน แต่มักเผลอไปเร็วชมัด ..จิตนีเร็ว บังคับไม่ได้ ห้ามก็ไม่ได้อีก.ได้แต่ตามรู้ ตามดูไปเรื่อยๆ

ครบสูตรจริงๆ ทั้งจักยาน ทั้งวิ่ง..คุณKa-Poom นี่

อยากจะอุทานว่า อ๋อ อย่างนี้เองกายาคตาสติ แต่คงจะเป็นจริงพอๆ กับการอ่านหนังสือแล้วเข้าใจว่าทำไมอะคีมีดิสจึงกระโดดพรวดออกมาจากอ่างอาบน้ำอย่างไม่อายฟ้าดิน แล้วร้องว่ายูเรก้า คงจะต้องลองเอาไปทำดู ขอบคุณมากครับ

ตอนนี้ใช้วิธีไม่มองนกกา กำหนดระยะอยู่ประมาณสิบก้าวข้างหน้า เหนื่อยก็หยุดจึงยังไม่เคยบาดเจ็บและไม่คิดจะบาดเจ็บ เริ่มออกกำลังกายมาเพียงสองเดือน เพราะว่าเป็นต้นคิดจะไปล่อลวงพนักงานให้มาดูแลสุขภาพของตัวเองกันบ้าง พอประกาศไป มีเสียงโวยวายเยอะเลย แต่พอวอร์มหมู่ไปแล้วสองครั้ง ผู้ที่ได้ฝึกซ้อม และมาวิ่งกัน ต่างบอกว่าไม่ได้ยากอย่างที่คิด บางทีคงเป็นเพราะคนเราฉลาดขึ้น จึงตีตนไปก่อนไข้ คิดไปเองทั้งนั้น อิอิ

จะลองทำตามดูค่ะพี่กะปุ๋ม เป็นวิธีฝึกจิตให้นิ่งขึ้นด้วย อยากดูนิ่งไม่ว่อกแว่กแบบพี่มั่ง ไม่งั้นเวลาวิ่งหนูจะใช้เทคนิคไม่มองนกกา (เจ้าของสูตรมาเอง) แล้วก็นับเลขในใจวนไปแค่ 1-10 หรือแค่ 1-4 เพราะเวลามากกว่านี้จิตใจก็จะฟุ้งอีกแล้ว เป็นพวกคิดโน่นคิดนี่ได้ตลอดเวลาถ้าว่างค่ะ วิธีปรับจังหวะการหายใจแล้วสังเกตว่าจังหวะไหนเหมาะกับเรานี่น่าจะเวิร์คค่ะ แต่เก็ตเองมานานแล้วว่าถ้าวิ่งมองจุดปลายทางแล้วคิดถึงระยะทางที่ต้องวิ่งจะเหนื่อย จะเมื่อย จะท้อเร็วเกินไป สู้แบบวิ่งแล้วทำจิตให้นิ่งไม่ได้ มันจะวิ่งไปได้เรื่อยๆ จนกว่าเราจะไม่ไหวเอง

สวัสดีค่ะพี่ฮูโต๋ :

  • ขอบคุณนะคะที่แวะเวียนมาเยี่ยมเยือน วันที่ 2 กรกฎาคม ที่จะถึงนี้คงจะได้แลกเปลี่ยนมุมมองต่อชีวิตกันบ้างนะคะ ... ในการฝึกจิตนั้นทำได้บ้างไม่ได้บ้างเป็นเรื่องธรรมดา แต่ขออย่าเลิกทำนะคะ หากเปรียบแล้วการฝึกจิตนี้ก็คล้ายการบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ที่งดงามในใจเรา ดังนั้นเราควรเร่งใส่ปุ๋ม รดน้ำ พรวนดิน... ที่สุดแล้วเมล็ดพันธุ์นี้จะเติบโตเป็น...ต้นไม้ที่มีชื่อว่า "ต้นสงบสุข"ในใจเราค่ะ...

สวัสดีค่ะ...คุณ Conฯ :

  • เป็นหนึ่งวิธีของการฝึกสติ - สมาธิน่ะค่ะ วิธีนี้ตรงจริตกับกะปุ๋มน่ะค่ะ อาจเป็นเพราะว่าเป็นคนที่ชอบการเคลื่อนไหว ชอบการออกกำลังกาย และอีกเหตุผลหนึ่งครูบอกว่าเหมาะกับกะปุ๋มที่เป็นจำพวกบ้าพลัง...อิอิ..แต่เหมือนที่บอกน่ะค่ะว่า กำไรที่ได้...มีมากเลยค่ะ "สุขภาพดีเกินคาด" ที่สำคัญน้ำหนัดลดเกือบยี่สิบกิโลกรัมค่ะ... ไขมันใต้ผิวหนังหายไปเยอะ ระดับคลอเลสเตอรอนหาย กล้ามเนื้อแข็งแรงมากขึ้น พิสูจน์แล้วด้วยการไปสักหลาวที่เมืองวังเวียง...555...
  • ทำงานมาก นอนน้อย... แต่มีพลังงานเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล และที่สำคัญไม่เครียด จิตเบิกบานยิ่งกว่าเดิมค่ะ

สวัสดีจ้าอาซาน...:

  • แซวๆ... หากเราชอบออกกำลังกาย พี่กะปุ๋มว่าวิธีนี้ได้ผลเหมือนกันนะ หากเราไม่เร่งรีบมาก...ค่อยๆ วิ่งไปพิจารณาไป พี่กะปุ๋มเห็นด้วยที่ว่าการกำหนดระยะทางนั้นทำให้เหนื่อยเร็ว เพราะจิตไปเสพความท้อ...
  • วิธีการวิ่งเจริญสติไปด้วยนี้...ทำให้คิดงานออกด้วย บางครั้งแก้ปัญหาชีวิตได้ด้วย อิอิ ชอบๆ มากเลยสำหรับตัวเอง 
  • ร่างกายเราเรารู้ดีที่สุด พิจารณาเองว่าจะ control ให้เป็นไปในแบบไหนขณะที่วิ่ง เอาใจช่วยนะคะ ได้เรื่องได้ราวอย่างไรเล่าๆ ให้ฟังด้วยนะคะ ชอบไปนั่งฟังซูซานเล่าเรื่อง สนุกดี...แอบขำก็หลายที

ขอบคุณพี่ฮูโต๋ คุณ Conฯ ซูซาน(อาซานที่น่ารัก)และทุกท่าน นะคะที่แวะมาเยือนบ้านหลังใหม่นี้

(^_______^)

สวัสดีครับ

  • แวะมาวิ่งด้วยคนครับ
  • วิ่งหนีความทุกข์

สวัสดีค่ะ... ครูโย่ง :

  • กำลังย่องๆ จะไปนอนแล้วค่ะ... เหลือบมาเห็นความเห็นของครูพอดีค่ะ ก็เลยแวะมาคุยก่อนค่ะ...จะเรียกว่า "วิ่งหนีทุกข์" ก็ได้ค่ะ... และขอเพิ่มในมุมมองของกะปุ๋มเองนะคะ กำลังมองว่า ยิ่งมองเห็นตัวทุกข์หนักเลยค่ะ ทุกข์สำคัญ คือ ทุกข์ที่กาย ต้องฝืน ต้องอดทน ต้องเจ็บปวดผ่านการวิ่ง... และสิ่งที่ดีที่ตามมาได้เห็นทุกข์ทางใจที่พยายามดีดดิ้น เพื่อสั่งการเราให้เลิกวิ่ง... โห... สนุกมากเลยค่ะ ได้เห็นทั้งกายและใจ...ชัดขึ้น ชัดขึ้น และละเอียดขึ้นค่ะ
  • จะว่าไปแล้ว แนวทางนี้เราก็พอรู้อยูบ้างค่ะ ... คือ การเดินจงกลมนั่นเอง ...
  • ทุกครั้งที่ไปวัดหลวงตา...จะไปทันเห็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบหลายท่านเดินเร็วเสมือนวิ่ง...กลับเข้าวัดหลังจากกลับจากบิณฑบาตรเหมือนกันค่ะ...
  • จริงๆ แล้วเรื่องของการฝึกกายาคตาสติ...มีละเอียดมากกว่านี้ค่ะ...

ขอบคุณครูมากนะคะที่แวะมา กะปุ๋มของีบก่อนค่อยตื่นมาตอนเช้ามืดค่ะ...

(^_____^)

 

สวัสดีค่ะ

แวะมาอ่านและขอบคุณสำหรับคำแนะนำดีๆ ค่ะ

คุณกระปุ๋มเป็นคนจิตใจดีค่ะ

ขอบคุณค่ะ

สวัสดีอีกครั้งค่ะครูโย่ง :

  • ตื่นเช้ามืด...ทำภารกิจส่วนตัวเสร็จก็ขับรถจากขอนแก่นมายโสธรค่ะ...แม่บอกว่าช่วยโลกประหยัดคราวหน้าให้นั่งรถโดยสารค่ะ...อิอิ (น้อมรับค่ะคุณแม่ขา)...
  • นอนหลับไม่ฝันเลยค่ะครู...ว้า! เสียดายจัง

คุณแจ๋ว :

  • ขอบคุณนะคะ...ส่งเมล์ถึงคุณแจ๋วเสร็จ กะปุ๋มก็หลับสลบเลยค่ะ...
  • เรามาช่วยกันเยียวยาโลกนี้กันนะคะคุณแจ๋ว และก่อนที่เราจะเยียวยาโลก เรามาเยียวยาดวงใจน้อยๆ นี้กันก่อนนะคะ

(^_____^)

ขอบคุณนะคะ

กะปุ๋ม

  • สวัสดีพี่สาว
  • วิ่ง และก็วิ่ง....
  • วิ่งออกกำลังกาย....แต่ไม่วิ่งหนีความทุกข์.
  • แก้ปัญหาไปเรื่อยๆ

คุณจ๊อด :

  • คุณจ๊อด...จัดว่าเป็นน้องชายอีกคนที่เป็นกัลยาณมิตรในห้วงเวลาที่ยาวนานใน G2K นี้นะคะ ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้ก็หลายครั้ง... ดีใจค่ะที่ได้กลับมาคุยกันอีก นั่นแสดงว่าพอมีช่องว่างของเวลาสำหรับการได้มาทักทายกัน
  • การออกกำลังกายเป็นอีกหนึ่งกระบวนการ หรือวิธีการกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุข (เอ็นโดรฟิน) ออกมา ได้ฝึกสติ และเกิดสมาธิ
  • เมื่อไรที่มีสมาธิ...ความคิดความอ่านก็ลื่นไหลคล่องขึ้นค่ะ

ขอบคุณค่ะ

(^____^)

  • คุณ Kapoom คะ
  • ขอบคุณที่กรุณาลิงค์ให้มาอ่านบันทึกดี ๆ ค่ะ
  • คนไม่มีรากใช้วิธีการเดินค่ะ เดิน 1-3 ชั่วโมงเลยค่ะ นอกจากนั้นก็ปั่นจักรยานและเล่นโยคะด้วย
  • ขอบคุณสำหรับกำลังใจและข้อมูลดี  ๆ นะคะ

พี่ "คนไม่มีราก" คะ :

  • วันนี้ก็อย่าหยุดเดินนะคะ ... หากแต่เป็นเดินเบาลงกว่าเดิมแต่ชัดเจนขึ้นทางจิต พิจารณา "ความหิว" และ การอด...กะปุ๋มว่าวันนี้พี่ต้องได้ข้อเรียนรู้ที่ดีมากเลยทีเดียวค่ะ
  • ส่วนการออกกำลังกายสำหรับกะปุ๋มวันนี้ จะไปว่ายน้ำค่ะนัดกับพี่ป้อม - พี่สาวแล้วค่ะ เวลาไปว่ายน้ำกะปุ๋มก็ใช้ตามแนวทางเจริญสติมาใช้ด้วยเหมือนกันค่ะ ว่ายน้ำทีก็ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงคะ...
  • เมื่อสักครู่โทรไปบอกแม่ให้เตรียมตัวค่ะ เพราะปกติแม่จะไปเดินกะปุ๋มจะไปวิ่ง แต่วันนี้อยากให้แม่ลงสระอย่างน้อยไปเดินในน้ำก็ยังดีค่ะ...

ขอบคุณนะคะที่บอกเล่าเรื่องราวชีวิตมาแบ่งปันกันค่ะ

(^____^)

 

พี่อึ่ง :

  • สวัสดีอย่างเดียวไม่ได้ค่ะ ต้องเพียรปฏิบัติที่ตัวเองอย่างมากนะคะ... ก่อนที่จะไปมีพลังร่วมเยียวยาผู้อื่น เราต้องเยียวยาตนเองก่อนให้เบาบางจากทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง...นะคะ
  • หนังสือน่ะอย่าอ่านมาก.. พึงน้อมกลับมาอ่านตัวเองให้มาก เพราะการอ่านตัวเองทำให้เราได้มองเห็นสิ่งที่เป็นอกุศลกรรมที่เราแสดงออกมาทางความคิดได้ชัด ... และละเอียดขึ้น
  • ...

(^____^)

กะปุ๋ม

คุณ Con :

555...(^____________^)

  • กำลังจะออกจากหน้าจอเตรียมตัวไปวิ่งแล้วเจ้าค่ะ..มาเจอความเห็นของคุณ Con...ขำก๊ากเลยค่ะ...แหม..มีแซวๆ ขอบคุณนะคะที่แวะมาทักให้ได้หัวเราะอย่างอารมณ์ดี...หัวเราะวันละนิดจิตใจเบิกบานไปอีกหลายวันมาก...
  • ไปวิ่งก่อนนะคะวันนี้อากาศดีค่ะ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท