การเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นที่ "การวิ่ง"
ณ ตอนนั้นข้าพเจ้าไม่ทราบว่า สิ่งที่ครูสอนให้วิ่ง... คือ "การภาวนาผ่านการวิ่ง" ข้าพเจ้าต้องการแต่เพียงว่า อยากจะวิ่งแบบไม่เหนื่อย เพราะจำได้ว่าสมัยตอนเด็กๆ เราถึงวิ่งได้โดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่ทำไมยิ่งโตขึ้นเรื่อยๆ การวิ่งกลับเป็นเรื่องที่ยากมากขึ้นสำหรับผู้ใหญ่...
ครูสอน...
ให้วิ่งโดยกำหนดสติระลึกรู้อยู่ที่การวิ่ง ตอนนั้นครูพาเรียกว่าฝึก "กายาคตาสติ" มาทราบในตอนหลังว่า คือ การพาสติกำหนดรู้อยู่ที่กาย และการพิจารณากาย ข้าพเจ้าได้เริ่มที่เวลาวิ่งให้กำหนดรู้ที่ฝ่าเท้ากระทบพื้น พิจารณาไปเรื่อยๆ สังเกตว่าเท้าส่วนใดกระทบพื้นบ้าง และส่วนใดสัมผัสพื้นก่อน น้ำหนักลงมากที่ตำแหน่งใดของฝ่าเท้า พิจารณาอย่างนี้ไปเรื่อย....
จากนั้นก็เคลื่อนมาพิจารณา...ส่วนอื่น เช่น หากมีความปวดปรากฏขึ้นที่ส่วนใดให้ย้ายการกำหนดรู้มาพิจารณาบริเวณที่ปวด เป็นต้นว่าปวดต้นขา ก็ให้มากำหนดรู้ดูที่ขา ดูที่ความปวด หาตัวปวดให้เจอ ที่ว่าปวดขานั้น มันปวดอย่างไร ปวดแบบไหน ปวดมากน้อยเพียงไร สังเกตดูไปเรื่อยๆ... ไม่ต้องไปคิด ไปให้ความรู้สึกชอบใจหรือไม่ชอบใจ... เพียงดูความปวด จนแล้วจนรอด จนถึงทุกวันนี้ข้าพเจ้าก็หาตัวปวดที่ขานั้นไม่เจอ... แต่กลับไปเจอที่อื่นแทน...
"พอรู้สึกว่าปวดขา มากำหนดที่อาการปวดขา ... เจ้าอาการปวดขาก็หายไป เปลี่ยนไปปวดข้อเท้า ก็ตามไปกำหนดดูที่อาการปวดข้อเท้า ... เจ้าอาการดังกล่าวก็หายไปอีก มันเคลื่อนไปเรื่อยๆ เหมือนวิ่งไล่จับ..."
"ข้าพเจ้า...มาทราบในตอนหลังว่า ตัวจิตเราต่างหากที่มาหลอกเราให้ปวด ให้เมื่อย... "
เปลี่ยนจากพิจารณากายส่วนต่างๆ วิ่งไปได้สักระยะหนึ่งเริ่มเหนื่อย... ก็มาพิจารณาที่ความเหนื่อย เปลี่ยนเป้าหมายมาที่ลมหายใจ ที่หน้าอก ลึกเข้าไปในปอด พอลึกเข้าไปในปอดตอนนี้เริ่มอาศัยจินตนาการจากที่ได้ร่ำเรียนวิชากายวิภาคมาใช้ พิจารณารูปลักษณ์ของปอด และการทำงานของปอด
"ปอดคงทำงานหนัก... หัวใจก็คงเร่งสูบฉีดแน่ เพราะตอนนี้เราเคลื่อนไหวร่างกาย ปอด - หัวใจกำลังแลกเปลี่ยนก๊าซ... เอ๊ะ! เราต้องทำอย่างไรต่อไป ความคิดตอนนั้นเริ่มพิจารณา อืม! ร่างกายนี้เขาต้องการออกซิเจน... ต้องสัมพันธ์กับการหายใจเอาก๊าซเข้าและออก และเกิดคำถามต่อไปอีกว่า... จะต้องหายใจอย่างไร...
ตอนนี้ทฤษฎีต่างผลุดมา...เต็มไปหมด...
ลองทำ ไม่ได้ผลยังเหนื่อยเหมือนเดิม หอบเหมือนเดิม... วิ่งไป ครุ่นคิดไป พิจารณาไป... เริ่มใหม่เราทำตามทฤษฎีไม่ได้ เพราะทฤษฎีพูดถึงภาพรวมทั่วๆ ไป เราต้องกลับมาสังเกต ควบคุมด้วยตัวเราเอง จากนั้นขณะวิ่งก็เลยลองปรับจังหวะการหายใจด้วยตัวเอง ช้าบ้าง เร็วบ้าง เราเท่านั้นจะเป็นผู้รู้เองว่า จังหวะไหนสบายขึ้น... พอพิจารณาเช่นนี้ ความรู้สึกเหนื่อย ความรู้สึกท้อ ความรู้สึกเบื่อ ความรู้สึกปวด... หายไป...
จังหวะลมหายใจ และการวิ่ง ----> สัมพันธ์กันมากขึ้น"
ข้าพเจ้าวิ่งไปได้เรื่อยๆ ไม่เร่ง ไม่กำหนดระยะทาง หากแต่สังเกตภายในร่างกาย และจิตใจของตนเองไปว่าสิ่งไหนปรากฏขึ้นมาบ้าง จากนั้นก็นำมาบันทึกไว้
หากถามว่า... "ข้าพเจ้าได้อะไรจากการวิ่ง"
สิ่งแรกเลย คือ สติ... การที่ครูให้กำหนดระลึกตามดูการเคลื่อนไหวของกาย ทำให้เรามีสติจดจ่ออยู่กับสิ่งนั้น เมื่อสติตามรู้ ตามดูไปเรื่อยๆ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ "สมาธิ"... ที่ต่อเนื่องและยาวนาน ปราศจากสภาวะภายนอกเข้ามารบกวน... เมื่อจิตอยู่ในสภาวะมีสมาธิ สิ่งที่เกิดขึ้นตามมา คือ คำตอบของความสงสัยในเรื่องต่างๆ ที่ขึ้นกับว่าตอนนั้นเรากำหนดเรื่องใดขึ้นมาพิจารณา... หรือหากไม่กำหนดขึ้นมา ก็จะเป็นสิ่งที่ปรากฏขึ้น ซึ่งข้าพเจ้าเรียกสิ่งที่ปรากฏขึ้นมานี้ว่า "ปัญญา"...
ดั่งเช่น... เรื่องการควบคุมการหายใจขณะวิ่งที่ได้คำตอบขึ้นมาเองจากการคิดค้นได้ในขณะวิ่งนั้น ข้าพเจ้าก็ขออาศัยคำว่า "ปัญญา" นำมาใช้เรียกแทนปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้
แต่ละครั้งของการวิ่ง ข้าพเจ้าจะเริ่มต้นด้วยการวิ่งไปเรื่อยๆ ตามจังหวะการหายใจบ้าง หรือสังเกตกายบ้าง เมื่อเข้าสู่สภาวะที่มีสมาธิเกิดขึ้น ข้าพเจ้าจึงได้นำปัญหาในการทำงานบ้าง ในชีวิตบ้าง มาพิจารณาในแต่ละเรื่อง... พิจารณาไปเรื่อย... สุดท้ายก็ได้คำตอบของปัญหานั้น ด้วยความรู้สึกที่สว่างแจ้งในความรู้สึก ไม่ติดเป็นกังวล...
พอเสร็จสิ้นจากการวิ่งทุกครั้งจะรู้สึกปลอดโปร่ง ปิติ มีความสุขเกิดขึ้น หากอาศัยกรอบทางวิทยาศาสตร์สุขภาพมาอธิบายก็คงจะเป็นปรากฏการณ์ที่สมองหลั่งสารเคมีแห่งความสุขออกมา หรือที่เราคุ้นหูว่าสารเอ็นโดรฟิน หรือสารแห่งความสุข... ที่วงการเภสัชบำบัดทางจิตผลิตขึ้นมาเป็นยาเพื่อนำมาใช้ในการคลายเครียด... จริงๆแล้วสารนี้ตามธรรมชาติเรานั้นสามารถสร้างขึ้นมาได้เอง... เพียงแต่ว่าเราต้องลงมือเป็นผู้สร้างเอง อยู่เฉยๆ จะไม่เกิดเอง... พอสารสุขหลั่ง เราก็จะมีความสุข สบายอกสบายใจ ปลอดโปร่งคิดแก้ปัญหาได้เอง...หรืออาจเพียงแค่ได้ในระดับยอมรับในปัญหาที่เกิดขึ้น นี่ก็ถือได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ที่น่าพอใจแล้วสำหรับร่างกายนี้
"สองปี ของการวิ่งอย่างจริงๆจังๆ แบบไม่หยุด... สิ่งที่เป็นกำไรตามมา สำหรับข้าพเจ้า คือ ข้าพเจ้าไม่เจ็บไข้ได้ป่วยเลย แต่นี่คงไม่ใช่การวิ่งอย่างเดียว คงเป็นเรื่องของอาหาร อารมณ์ อากาศ อุจจาระด้วยเป็นแน่แท้ (ครบ 5 อ.เลยก็ว่าได้) แต่จะทยอยถอดเรื่องราวไว้..."
"จำได้ว่าไปได้คำตอบที่เกิดขึ้น...ขณะวิ่ง และมาได้คำอธิบายจากบันทึกของอาจารย์หมอวัลลภ และผู้นำสุขภาพตามแนวทางธรรมชาติบำบัดท่านอื่นๆ ที่อธิบายไว้ในเรื่อง การไหลเวียนของน้ำเหลืองและการขับของเสียของต่อมน้ำเหลือง เมื่อร่างกายเรามีการเคลื่อนไหวมากขึ้นน้ำเหลืองซึ่งมีหน้าขับพาของเสียออกจากร่างกายจะมีอัตราเร่งเร็วขึ้นกว่าเดิมประมาณสิบถึงสิบห้าเท่า... นั่นหมายถึง ขณะที่ร่างกายเราเกิดปฏิกิริยาทางเคมีและขับของเสียอยู่ตลอดเวลา การเคลื่อนไหวร่างกายจะเร่งขับได้ดีขึ้น... ตอนที่เราทำงานก็คงจะมีการขับเร็วขึ้นเหมือนกัน แต่ต่างจากสภาวะของการเคลื่อนไหวขณะออกกำลังกาย เพราะไปเสริมกับสารเอ็นโดรฟินหลั่ง... ดังนั้นการเคลื่อนไหวขณะออกกำลังกายจึงเกิดประโยชน์ต่อร่างกายนี้มากกว่าการเคลื่อนไหวในยามปกติ...
จะว่าไปแล้วข้าพเจ้าค่อนข้างอ่อนความรู้ทางด้านการแพทย์และสุขภาพอยู่มาก แต่ก็พยายามทำความเข้าใจในกลไกของร่างกายนี้ ทำให้มาทราบภายหลังว่า... ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นที่ข้าพเจ้าเรียกว่าเป็นกำไรจากการวิ่งเจริญสตินี้...ก่อให้เกิด Immun system หรือภาษาแพทย์เขาเรียกว่าภูมิคุ้มกันเกิดขึ้น... ดังนั้น จากตั้งแต่เริ่มชีวิตด้วยการวิ่งแบบนี้ ข้าพเจ้าจึงได้มีสุขภาพแข็งแรงขึ้น... จากที่ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ และร่างกายอ่อนแอ จึงหายไป กลายมาเป็นผู้มีชีวิตใหม่ที่ดูมีแต่กล้ามเนื้อ และมีภูมิต้านทาน... "
การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นนี้ ข้าพเจ้านำไปแอบใช้กับแม่... แรกๆ ชักชวนท่านให้ไปออกกำลังกายเป็นเพื่อน จริงๆ แล้วอยากกระตุ้นให้ท่านมีสุขภาพกายและใจที่เหลืออยู่ของช่วงชีวิตนี้มีความสุข... ปราศจากโรคภัยเบียดเบียน แม่ให้ความร่วมอย่างดี อาจเป็นได้ว่าด้วยความรักลูก... สำหรับแม่ แม่ใช้การเดิน ข้าพเจ้าก็จะแอบหยอดวิธีการบอกแม่ไปด้วย แม่จะชอบบ่นว่าเมื่อยขาบ้าง ... กำลังไม่ไหว แต่จริงๆ แล้วข้าพเจ้ามองว่าไหว หากแต่อาจท้อ... แต่ด้วยความที่แม่สนใจในเรื่องสุขภาพตามแนวธรรมชาติบำบัดอยู่แล้ว เราแม่ลูกจึงใช้ภาษาสื่อสารกันได้ง่ายขึ้น...
ข้าพเจ้าจะพูดคุยกับแม่เรื่องสังเกตลมหายใจ เวลาเดิน สังเกตความปวด และที่สุดสังเกตความพอดีว่าการเคลื่อนไหวนี้น่าจะสิ้นสุด หรือพอเมื่อไร... การสังเกตนี้ข้าพเจ้ามองว่าได้ในเรื่องของการฝึกวิปัสสนา... โดยไตร่ตรองใคร่ครวญสภาวะทางกายแล้วน้อมเข้าไปสู่ทางจิตใจ...
มีปรากฏการณ์อะไรเกิดขึ้น ก็รับรู้และพิจารณาไปเท่าที่กำลังปัญญาจะสามารถพิจารณาได้... ตอนนี้เราแม่ลูกพึ่งพายาน้อยลง พึ่งพาสารเคมีที่นำมาใช้ในกระบวนการบำบัดรักษาต่างๆ น้อยลง... สุขภาพดีขึ้น การถูกเบียดเบียนจากโรคภัยไข้เจ็บน้อยลง ทุกวันของการเลิกงานข้าพเจ้ามองว่าเป็นหน้าที่ที่สำคัญที่สุดในชีวิตที่ข้าพเจ้าจะต้องพาแม่ไปออกกำลังกาย... พยายามทำอย่างสม่ำเสมอนอกเหนือจากการที่ไม่ต้องเดินทางไปไหน ข้าพเจ้าจึงมักใช้เวลาที่เหลืออยู่ในการดูแลและเยียวยาคนที่ข้าพเจ้ารัก -----> คือ "แม่"
_______________________________________________________________________________
"การเยียวยา...เราทำได้เสมอและตลอดเวลา โดยไม่ต้องรอป่วยไข้
และการเยียวยานี้เป็นยิ่งกว่าการบำบัดรักษา..."
............................