เมื่อประมาณต้นปี ข้าพเจ้าเคยเขียนเรื่องการใช้จักรยานมาครั้งหนึ่ง รวมถึงการใช้ชีวิตให้ช้าลง
วันนี้ผ่านมาจากวันนั้นก็ประมาณหกเดือนได้...
ย้อนกลับมาทบทวนในวันนี้อีกครั้ง ความคิดนี้ปรากฏขึ้นมาขณะปั่นจักรยานว่าข้าพเจ้าได้อะไรจากการปั่นจักรยานไปนั่นไปนี่แทนการใช้รถยนต์ หากในเชิงรูปธรรมนี้มองว่าได้สิ่งที่เกิดขึ้นมากพอสมควร และยิ่งในเชิงนามธรรมอันหมายถึงเรื่องภายใน"จิตใจ" ได้เยอะมาก
เมื่อก่อนย้อนมองตนเอง...
"ข้าพเจ้ามองว่าตนเองก็เหมือนคนเสียสติเหมือนกัน คนเดียวใช้รถยนต์สองคัน แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไร คิดแต่ว่ามันโก้หรูดี...เจ้าตัวฉันนี่แหละทำงานและคอยบ่งการการดำเนินชีวิตของเราอยู่ทุกลมหายใจ โดยที่เราไม่รู้ตัว"
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงภายในตัวเองเกิดขึ้น วิถีชีวิตก็เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ความคิดปรากฏว่าข้าพเจ้าช่างใช้ชีวิตได้ฟุ่มเฟือยเสียเหลือเกิน และรู้สึกเหนื่อย เบื่อต่อการเป็นอยู่อย่างทุกวันนี้ รู้สึกว่านี่ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงในชีวิต...
"จากการตามหาความหมายของความสุขที่แท้จริงในชีวิต คำตอบที่ข้าพเจ้าได้ทำให้ทราบว่าความสุขที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย หากว่าอยู่ภายในตัวเรานี่เอง เขาแอบซ่อนอยู่อย่างเงียบๆ ความไม่มีสติและปัญญาทำให้เรามองไม่เห็นเขา ยิ่งนานวันผ่านไป เรายิ่งมองไม่เห็น เรามักนำพาตัวเราเองวิ่งไปตามเหตุปัจจัยภายนอกเพื่อวิ่งตามหาเจ้าตัวความสุข เรามองว่าวัตถุและสิ่งนามธรรมภายนอก ชื่อเสียง เกียรติยศ การได้รับการยอมรับจากคนอื่นๆ ทำให้เรามีความสุข... แต่นั่นแหละยิ่งทำให้เราต้องวิ่งตามหาสิ่งเหล่านี้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
แต่จริงๆ แล้วความสุขที่แท้จริง ที่มนุษย์เราต้องการอย่างมาก คือ ความสงบในใจต่างหาก ทุกลมหายใจเปี่ยมไปด้วยความสงบสุข
ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน ในกลุ่มคนแบบใด ความสุข-สงบในใจก็ปรากฏเกิดขึ้นได้ โดยที่เราไม่ต้องวิ่งไปหากลุ่มคนที่จริตคล้ายกันก็ได้ โลกต้องการการเยียวยา และเราไม่สามารถทอดทิ้งโลกไปได้ ชีวิตเรายังต้องสัมพันธ์กับโลกอยู่ทุกลมหายใจ ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องเยียวยาจิตใจเราก่อนเพื่อให้สัมผัสได้ถึงซึ่งความสุขที่แท้จริง
จากนั้นเราจึงจะมีกำลังพอเพียงที่จะช่วยเยียวยาโลกได้ต่อไป หรือแม้แต่การเยียวตนเองก็เป็นจุดเริ่มต้นของการเยียวยาโลกแล้ว"
การใช้ชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางทุกวันของข้าพเจ้า เริ่มช้าลงสิ่งที่น่าสังเกตที่ได้จากการเรียนรู้นี้ กลับเป็นว่ายิ่งข้าพเจ้าเดินช้าลง ยิ่งเกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ระยะทางการเดินทางจากบ้านมาถึงที่ทำงานระยะทางประมาณ 3-4 กิโลเมตร ข้าพเจ้าเริ่มต้นปั่นจักรยานออกมาจากบ้านประมาณเจ็ดโมง อากาศยามเช้าสดชื่นมาก แสงแดดอ่อนๆ ทำให้เราได้สัมผัสวิตามินจากธรรมาติโดยไม่ต้องไปซื้อผลิตภัณฑ์ทดแทนมาทาน
ขณะที่ปั่นจักรยาน ได้ผ่านสะพานข้ามแม่น้ำทวน ได้เจอคนตกปลาที่ออกมาหาปลาทุกเช้า ได้เจอคนทำงานยามเช้า ได้ทักทายพี่ๆ ที่ทำความสะอาดพื้น ทักทายยามรักษาความปลอดภัยที่อยู่หน้าประตูโรงพยาบาลแบบไม่เร่งรีบ เริ่มต้นทบทวนพร้อมการทำงานในวันนี้
"สุขภาพ เป็นกำไรที่ได้รับ หลังจากที่ตลอดทั้งคืนร่างกายได้มีกระบวนการขับสารพิษ (toxification) การที่ได้มีการเคลื่อนไหวในตอนเช้าภายใต้ลมหายใจที่สะอาดจากอากาศที่ปลอดโปร่งนั้น เป็นอีกหนึ่งกระบวนการเยียวยาทางธรรมชาติที่มาช่วยในการขับสารพิษผ่านต่อมน้ำเหลืองด้วย เพราะยิ่งเรามีการเคลื่อนไหวอัตราการเร่งไหลเวียนของน้ำเหลืองก็มีมากขึ้น...
ขณะปั่นจักรยานความสงบเกิดขึ้นภายในเพราะเราได้สังเกตลมหายใจตนเองที่ลึก ยาว และช้าตามไปด้วย สติทีมีอยู่อยู่ที่การปั่นจักรยาน..."
รูปธรรมภายนอก ข้าพเจ้าประหยัดค่าใช้จ่ายค่อนข้างมากในเรื่องภาระการเติมน้ำมันรถ สภาวะที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่ว่าข้าพเจ้าได้ประโยชน์ หากแต่ว่าโลกได้ลดคนลงหนึ่งคนที่จะใช้น้ำมัน ข้าพเจ้ามองว่าข้าพเจ้าไม่ได้ละทิ้งโลก หากแต่ว่าการใช้น้ำมัน ควรเป็นการใช้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุดดีกว่า ดีกว่าการใช้เพื่อแลกกับความสะดวกสบาย ซึ่งจริงๆ แล้วการปั่นจักรยานของข้าพเจ้าก็ใช่ว่าจะทำให้ข้าพเจ้าลำบากมากมายอะไรนัก ... อาจจะลำบากในช่วงแรกเท่านั้นที่ต้องพยายามหนีแรงดึงดูดของความเคยชินในรูปแบบหนึ่ง เปลี่ยนมาเป็นการสร้างความเคยชินในอีกรูปแบบหนึ่งเท่านั้น
ครั้งหนึ่งของการสนทนาระหว่างหลานอะตอมและน้ากะปุ๋ม
อะตอม : เวลาน้าปุ๋มปั่นจักรยาน น้าปุ๋มไม่อายคนเหรอ เป็นถึงดอกเตอร์
น้ากะปุ๋ม : ไม่อายหรอก เพราะน้าปุ๋มไม่ได้ทำชั่ว...
อะตอม : แล้วทำชั่ว...เป็นยังงัย
น้ากะปุ๋ม : ทำชั่ว คือ ทำผิดศีล เพราะฉะนั้นการปั่นจักรยานของน้าปุ๋มไม่ได้ผิดศีล ^__^
มาถึง ณ วันนี้ที่บ้านเราก็เพิ่มจำนวนคนปั่นจักรยานเป็นสองสามคนแล้ว ไม่รวมแม่เพราะส่วนใหญ่แม่จะใช้การเดิน อะตอมตอนนี้ปั่นจักรยานไปโรงเรียน ซึ่งก็เป็นเรื่องดีเพราะอะตอมได้ตื่นเช้าขึ้นกว่าเดิม เพราะคุณยายของเขาบอกว่าหากอยากปั่นจักรยานไปโรงเรียน ต้องไปแต่เช้ารถไม่เยอะ
พี่ตุ้ย ซึ่งวันไหนไม่ได้ออกพื้นที่ เวลาไปไหนมาไหน ก็ใช้จักรยานมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน
พี่ป้อม พี่สาวคนเดียวของข้าพเจ้าปรารภกับข้าพเจ้าเมื่อวานจะเลิกใช้รถนยต์ดีไหม ข้าพเจ้ารีบสนับสนุนว่าดีมาก ... เมื่อก่อนมีสามคนที่ขับรถเป็นก็ใช้รถกันสามคัน คนละคัน รู้จักคำว่า "ประหยัด" แต่คำว่าประหยัดและพอเพียงไม่ได้อยู่ในสำนึก หรืออาจจะซ่อนอยู่แต่แพ้กำลังของคำว่าสะดวกสบาย (กิเลสในใจ)
_________________________________________________________________________________
"ไม่ว่าจะเดิน หรือปั่นจักรยาน
ทำให้ใจสงบขึ้นเยอะ
มีสติมากขึ้น...สมาธิก็เกิดตามมา...ที่สุดแล้วก็คิดสิ่งต่างๆ ได้ดีขึ้น(ปัญญา)"
....................................
สวัสดีค่ะน้องชาย :
ขอบคุณค่ะ
(^____^)
คุณโต๋..หัวเข่าเป็นอะไร..รอยด้านๆ (หมอนวดแผนไทยถาม)
อ้อ..(ชะโงกดูตามนิ้วที่จิ้มๆๆๆบอกตำแหน่งของหมอนวด)
หัดขี่จักรยานตอนเด็กๆ นะ..
ไสเอารถไปตั้งบนเนินสูงๆ แล้วปล่อยลงมา...เพราะขี่ไม่เป็น.แล้วก็ลงมาเข่ากระแทกๆๆ
ทำทุกวัน สนุก ไม่รู้จักเจ็บ..เลยกำไรมากกว่าคนอื่นนอกจากขี่จัรยานเป็นแล้ว..มีแผลด้วย
"ปัจจุบันก็ขี่จักยานไปตลาด" เช้าๆ..ใช้เวลานาน..แต่สุขลึกๆ
และลูกชายเป็นคนเดียวของ รร.รัตนโกสินท์ กทม.(สมัยที่เขาเรียนปี48)ที่ขี่ จยย.ไป รร.
โดนปล่อยลมทุกวัน..ข้อหาขี่จักรยาน.ทำตัวแตกต่างสำหรับเด็ก กทม.
ตอนนี้เด็กชายคนนั้นเรียนเตรียมทหารมา 3 ปีแล้ว..
ข้อหาขี่จักรยาน..ก็เลย.เป็นตัวอย่างคนอื่นๆได้เหมือนกัน
^0^
พี่ฮูโต๋คะ :
(^___^)
กะปุ๋ม
เมื่อวาน...
เลิกงาน...คนทำงานคนอื่นๆ ทยอยกลับกันไปเกือบหมดแล้ว ข้าพเจ้าเดินลงจากห้องทำงาน เพื่อไปที่ลานจอดรถจักรยาน ได้เจอพี่ผู้หญิงคนหนึ่ง เธอยิ้มให้ สักพักก็นึกได้ว่าคือ พี่อ้อย...พี่พยาบาลผู้น่ารัก พี่อ้อยรีบเดินเข้ามาทักและบอกว่า
"พี่อ้อยปั่นจักรยานมาทำงานแล้วนะ และพี่อ้วนที่อยู่แผนกเดียวกันกับพี่อ้อยก็ปั่นมาเหมือนกัน.. ประหยัดค่าเติมน้ำมันรถไปเยอะเลย"
ข้าพเจ้าฉีกยิ้มอย่างกว้างด้วยความรู้สึกยินดีในเรื่องราวที่รับทราบ พูดคุยกันไปสักพัก .. ถึงได้ทราบว่าพี่อ้อยปั่นจักรยานจากบ้านมาที่ทำงานเป็นระยะทางไกลมากพอสมควร เพราะบ้านพี่อ้อยอยู่อีกมุมหนึ่งของเมืองยโสธร ช่างเป็นเรื่องทีน่าดีใจ ที่ได้ทราบเรื่องราวของใครคนหนึ่งลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตนเอง
ส่วนพี่อ้วน หรือน้าอ้วนนี้...ข้าพเจ้าได้เจออยู่บ่อยครั้งในยามที่ไปวิ่งตอนเย็น ยิ่งมาทราบว่าน้าอ้วนปั่นจักรยานมาทำงานยิ่งดีใจ จากที่น้าอ้วนตัวอ้วนสมชื่อ ตอนนี้ตัวเล็กลง หน้าตาสดใสมาก...ทั้งๆ ที่อายุก็เกือบเข้าวัยใกล้เกษียณแล้ว...
ทั้งพี่อ้อยและน้าอ้วน ต่างเป็นบุคลากรที่เคยเข้าร่วมเรียนรู้กับข้าพเจ้า...ในเรื่องความสุขในการทำงาน เวลาที่ข้าพเจ้าแบ่งปันแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ข้าพเจ้าไม่ได้คาดหวังหรอกว่าทุกคนต้องมาทำหรือปฏิบัติไปในแบบฟอร์มเดียวกัน แต่ข้าพเจ้าคาดหวังในเรื่องการเปลี่ยนแปลงทัศนคติต่อชีวิต เพราะเรื่องต่างๆ เหล่านี้... ทุกคนต้องลุกขึ้นมาทำเองถึงจะได้ทราบถึง ผลลัพธ์นั้นด้วยตัวเอง... บอกกันก็ได้แต่เพียงบอก แต่ความซาบซึ้งในใจที่เกิดบุคคลนั้นจะรู้ได้ด้วยตัวเองเท่านั้น
วันนี้ทบทวนตัวเอง...
ข้าพเจ้าถือโอกาสทบทวนตัวเอง เนื่องด้วยวันนี้เป็นวันรณรงค์สิ่งแวดล้อมโลก... ข้าพเจ้าได้ทำ
Note: บันทึกไว้เท่านี้ก่อน หากทบทวนอีกครั้งจะมาบันทึกไว้อีกครั้ง
ขอบคุณครับ คุณกะปุ๋ม ที่เข้ามาเยี่ยมเยือน bikeforheavenเป็นคนแรก (ดีใจมากเลยครับ) เพิ่งupdateอนุทินเสร็จครับ กำลังรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับทรัพย์ปัจจุบัน ที่จะออกมาเป็นตัวเลขให้เห็นกันจะๆอยู่ครับ เสร็จแล้วจะuploadมาลงในblogทันทีเลยครับ (*_*)
ยินดีนะคะ "คุณหมอ"...
ดีใจที่คุณหมอจักรยาน...นำเรื่องเล่ามาถ่ายทอดให้เราได้เรียนรู้ร่วมกันค่ะ
(^___^)
สวัสดีครับผม ปั่นแถว ๆ บ้านครับ ขึ้นเขา ยามเช้า (เขาเตี้ย ๆ ที่ราชบุรี) สวยมาก ๆ หรือไม่ก็ไปดอนหอยหลอดยาวเช้าก็ดีไปอีกแบบ การปั่นจักรยาน ทำให้เราสามารถ แวะเรียนรู้ สิ่งต่าง ๆ จาก 2 ข้างทางได้เลย เพราะ การไปอย่างช้า ๆ ทำให้เห็นอะไรที่ชัดเจนขึ้น และหยุดได้ทัน ครับผม