เมื่อใดก็ตามที่เราโดนกระแสน้ำอันไหลเชี่ยว...มากระทบแทบทำให้พยุงรูปกายนี้ไม่ไหว เมื่อนั้นบางครั้งเราอาจจะเลือกที่จะล้มลง หรือต้านกระแสน้ำนั้น หรืออาจจะปล่อยตัวหรือร่างกายให้ไหลล่องลอยไปตามความเชี่ยวนั้นอย่างกระแทกกระทั้นตามสภาวะน้ำเชี่ยวที่ไหลไป...
กระแสน้ำอันไหลเชี่ยว...ก็ดั่งเสมือนอารมณ์ที่มากระทบ กระแสแห่งอารมณ์ของผู้คนและสังคมที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเรานั้นอยู่ภายใต้แรงดึงดูดแห่งการมีปฏิสัมพันธ์แห่งกันและกันกับสิ่งต่างๆ รอบตัว...
แล้วเราจะทำอย่างไรเล่า...ต่อการกระทบนั้น
ความกระทบทุกครั้งส่งผลต่อการบาดเจ็บทางอารมณ์ที่แตกต่างกัน...
มากบ้าง...น้อยบ้าง...หรือแทบไม่มีเลย
นั่นน่ะขึ้นอยู่กระแสแห่งอารมณ์ดั่ง..กระแสน้ำ ที่บางครั้งอาจไหลเชี่ยว บางครั้งอาจไหลเอื่อยๆ... ไปตามสภาวะ...
เมื่อไรที่ก่อเกิดการกระทบ... โปรดตั้ง“สติ” เป็นหลัก เสมือนที่เราได้หาที่ยึดก่อนพร้อมที่จะเผชิญความไหลเชี่ยวนั้น สติตัวเดียวที่จะนำพาให้เราได้คิดและตัดสินใจได้ว่าเราจะเผชิญหน้าต่อความเกรี้ยวกราดแห่งอารมณ์นั้นได้อย่างไร
ดูภายใน...ความรู้สึกที่ปรากฏ อาย เสียใจ น้อยใจ อารมณ์โน้มเอียงไปทางไม่พอใจ...แต่ที่สุดแห่งความรู้สึกภายในถูกผลักไสออกมาจาก “ความกลัว”... ความรู้สึกกลัวมักไปสั่นคลอนสภาวะต่างๆ แห่งตัวตนของบุคคลนั้น จึงมักทำให้เรามีปฏิกิริยาต่างๆ สะท้อนออกมาหลากหลายพฤติกรรมและการกระทำ... แต่ เมื่อใดก็ตามที่หยุดแต่ไม่ใช่ห้ามอารมณ์ ความรู้สึก นึกคิดไม่ให้โกรธ...แต่หยุดดู ดูพร้อมกับลมหายใจที่เรามี จังหวะ ลักษณะ...การเคลื่อนเข้าและออกแห่งลมหายใจที่เรามี...นี่แหละคือ เพื่อนแท้ ที่พร้อมเผชิญหน้ากับเราทุกเรื่องราวและการกระทบแห่งกระแสอารมณ์
เมื่อตั้งลำอยู่ได้กับลมหายใจ...ก็พร้อมที่จะเปิดใจสังเกตเรื่องราว...ซึ่งเรื่องราวดังกล่าวที่มากระทบนั้นก็เปรียบเสมือนกระแสน้ำที่เราจะต้องสังเกตว่ามีลักษณะเช่นไร เพื่อที่เราจะเผชิญต่อสิ่งเหล่านี้ได้อย่างกล้าหาญที่สุด
อยู่กับลมหายใจ...และเรื่องราวที่ปรากฏ แต่ยังหาทางแก้ไขไม่ได้ นั่นก็เปรียบเสมือนว่าปัญญาเรานั้นยังไม่ปรากฏ ...ยังไม่ปิ๊งว่าจะแก้ปัญหาที่มากระทบนั้นอย่างไร สิ่งที่เราทำได้นั่นก็คือ เสมอเหมือนว่า เราต้องลอยคอไปเรื่อยๆ ตามกระแสน้ำนั้น... กระแสแห่งอารมณ์... พร้อมกับดูความรู้สึก เชื่อแน่เลยว่า เราต้องมีความรู้สึกเจ็บปวดเกิดขึ้นแน่นอน ความเจ็บปวดดังกล่าวนั้นส่งผลต่อการเกิดความเสียใจ ตื่นตระหนก หวาดหวั่น อยากหนีจากเรื่องราว และที่สำคัญอยากจะหนีจากอารมณ์ตนเองที่กำลังคุกคามตนเองอยู่ในช่วงเวลานั้นๆ... มีบ้างเหมือนกันที่หวังว่าอยากจะได้ใครสักคนยื่นมือมาช่วย หากว่าปาฏิหาริย์มีจริง...แต่จากการเรียนรู้ในส่วนตัวของข้าพเจ้าเอง... ได้เรียนรู้แล้วว่าความหวังดังกล่าวนั้น นั่นน่ะเป็นเพียงปาฏิหาริย์ แต่หากดำเนินอยู่ภายใต้กฎแห่งธรรมชาติ เราเท่านั้นที่จะเป็นผู้เรียนรู้ผ่านเรื่องราวแห่งกระแสความเจ็บปวด และการบาดเจ็บทางอารมณ์นี้ด้วยตนเองเท่านั้น
ขณะที่ปล่อยตนไหลไปตามเรื่องนั้น...
มีชั่วขณะที่อยากจะสาดทุกข์ใส่คนอื่นบ้าง ด้วยวิธีการต่างๆ นานา อย่างน้อยๆ ก็พูดระบาย อย่างมาก ก็สาดเป็นโทสะ...หรืออารมณ์เศร้า... ขึ้นอยู่กับว่า ณ ขณะนั้นสภาวะจิตเรานั้นเป็นไปเช่นไร... อาจด่ากราด หรืออาจเรียกร้องความสนใจ...
แต่...ข้าพเจ้าช่างรู้สึกต่อ บุคคลที่ข้าพเจ้าจะนำพาตนเองไปกระทบอารมณ์นั้น...ด้วยความสงสาร จึงได้หยุด และกลับมาที่ลมหายในตนเองอีกครั้ง เยียวยาตนเองด้วยลมหายใจแห่งตนเอง... “ด้วยความอดทน”
“...นึกถึงใครคนหนึ่งอยากได้กำลัง...แต่เปลี่ยนใจไม่ควรสาดทุกข์ใส่ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นใครก็ตาม”
มันช่างคุกคามเรามากเหลือเกิน...ชักจะต้านกระแสแห่งความเกรี้ยวกราดเสมือนกระแสน้ำไหลเชี่ยวภายในไม่ไหวแล้ว...ทางออกที่พอทำได้ คือ นอน...นอนพร้อมกับการกำหนดลมหายใจ... ไม่ใช่นอนพร้อมกับความคิดที่ปรุงแต่งและฟุ้งซ่าน
ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง...ค่อยยังชั่ว...
เท่าที่นึกได้ เท่าที่ปัญญามี...ใคร่ครวญภายใต้การหนุนนำแห่งลมหายใจ
“ยอมรับความจริงที่มันเกิดขึ้นเถอะ ความจริงที่ว่าเราโดยกระแทกกระทั้นด้วยอารมณ์ และความจริงที่ว่าเราเกิดการบาดเจ็บจากการถูกกระแทกนั้น จนทำให้เราเซถลาไปหนักเหมือนกัน...”
ทันทีเมื่อใจเรายอมรับความจริงได้ มันทำให้เรามองเห็นสิ่งที่ปรากฏอยู่ในจิตใจเราได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น อารมณ์ ความรู้สึก ความคิด และการจำสิ่งต่างๆ ซึ่งการจดจำสิ่งต่างๆ นั้นสะท้อนให้เห็นได้ว่าเรากำลังยึดและจมจ่ออยู่กับเรื่องราวนั้นอยู่ นำพาตนเองออกมาซะ...ออกมาจากเรื่องราวนั้น
ก้าวเดินและลงมือทำ...นำพาตนออกจากห้วงแห่งทุกข์นั้นซะ...
ยึดแนวทางแห่งความจริงที่ว่าด้วยเรื่องแห่งทุกข์ ว่าทุกข์นั้นมีเหตุแห่งที่มาที่ไป แก้ที่เหตุได้เราก็ลงมือแก้ ... หากยังแก้ไม่ได้ ก็ประคองตนไปด้วยลมหายใจที่มีอยู่...
และนึกถึงบุคคลต้นแบบแห่งความอดทน...ที่สุดยอดที่สุด
“ท่านอหิงสะกะ หรือพระองคุลีมาร”
จากเรื่องเล่าที่ครั้งหนึ่งท่านออกบิณฑบาตรและโดนประชาทัณฑ์จากชาวบ้าน และท่านไม่ได้โต้ตอบแต่กลับให้ชาวบ้านชาวเมืองรุมกระทำต่อท่าน ท่านกลับมาด้วยสภาพที่บาดเจ็บ บอบช้ำ และบาดแผลสาหัสตามร่างกาย...พระพุทธองค์ท่านได้ตรัสต่อพระอหิงสะกะว่า...
“ความเจ็บปวดของท่านในวันนี้
สามารถชำระล้าง...ความเจ็บปวดทั้งปวงในอดีต
การทนยอมเจ็บปวดด้วยความรัก และความเข้าใจ
ย่อมสามารถขจัดความอาฆาตอันขมขื่นได้นับพันชาติ”....
ทบทวนตัวเอง สี่ทุ่มกว่า
๖ เมษายน ๒๕๕๒
----------------------------------------------
สวัสดีค่ะพี่กะปุ๋ม สบายดีนะคะ
เมื่อตั้งลำอยู่ได้กับลมหายใจ...ก็พร้อมที่จะเปิดใจสังเกตเรื่องราว...ซึ่งเรื่องราวดังกล่าวที่มากระทบนั้นก็เปรียบเสมือนกระแสน้ำที่เราจะต้องสังเกตว่ามีลักษณะเช่นไร เพื่อที่เราจะเผชิญต่อสิ่งเหล่านี้ได้อย่างกล้าหาญที่สุด
มาอ่านเพิ่มพลังในช่วงอากาศแปรปรวน
และสถานการณ์บ้านเมืองแปรเปลี่ยน :)
...
ชอบภาพนี้จังค่ะ ...
ได้บรรยากาศ คิดถึง ใช่เมืองลาวไหมคะ ...
ให้พี่กะปุ๋ม มีความสุขเทศกาลปีใหม่ไทยนะคะ
สวัสดีค่ะ...น้องปู 1. poo
คิดถึง..และดีใจที่ได้คุยกันที่นี่อีกครั้ง...
ปีนี้พี่กะปุ๋มไม่ได้เดินทางไปไหนเลยค่ะ ปลีกวิเวกเขียนงานอยู่ที่บ้านที่ขอนแก่น แต่ก็พอได้แว้ปออกไปเล่นน้ำกับเด็กๆ แบบมินิสงกานต์...
http://gotoknow.org/journals/kapoom/entries/36096
ปีนี้คิดถึง "วังเวียง" แต่รอให้เทศกาลผ่านไปค่อยหาโอกาสไปเยือนอีกครั้ง เมืองแห่งความเงียบและงาม ที่ยังพออยู่ได้แบบไม่น่ากลัวในลาว
น้องปูสบายดีนะคะ...
(^__^)
ภาพที่นำมาบันทึก พี่กะปุ๋มถ่ายอยู่ที่ขอนแก่นนี่เองค่ะ ... วันที่หมอกลงหนาในฤดูหนาว ขณะขับรถไปตามถนนเส้นรอบเมืองค่ะ
เป็นผู้รู้ผู้ดูอยู่บนฝั่ง
ทุกอย่างผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ดุจดังสายน้ำ
รู้และดูอย่างมีสติ
สวัสดีวันสงกรานต์ค่ะ คุณ 3. Phornphon
บางครั้งเราไม่เลือกที่จะเป็นผู้ดูได้...
บางครั้งอาจต้องกระโจนลงไปเป็นผู้เล่น...
และขณะเราลงไปเป็นผู้เล่นนั้น...พึงเล่นอย่างผู้รู้ตัว
ขอบคุณสำหรับการมาแลกเปลี่ยนกันนะคะ
(^___^)
สวัสดีปีใหม่ไทยค่ะ 5. pa_daeng
ป้าแดงคงอยู่ท่าบ่อใช่ไหมคะ...ที่นั่นคงเล่นสงกรานต์สนุกนะคะ นึกแล้วยังคิดถึงเส้นทางดังกล่าว...ท่าบ่อ - เชียงคานงามนัก
ที่สุดแล้ว...ต้องมีสติสัมปชัญญะแนบใจตลอดค่ะ
ขอบคุณป้าแดงมากนะคะที่มาทักทายร่วม ลปรร.
ขอให้มีความสุขในวันปีใหม่ไทยนะคะ
(^___^)