ดวงดาวที่งดงาม...
เป็นดวงดาวที่ได้นอนมองตลอดค่ำคืน ภายใต้ท้องฟ้า ที่ภูกระดึงเมื่อ 14 ปีก่อน เรารู้สึกว่าเราได้ใกล้ชิดดวงดาวมากที่สุดในชีวิตที่มีลมหายใจนี้
ความงามและความไม่งาม
เป็นความงามและไม่งาม...
เป็นความไม่งามและงาม...
ขณะที่วิ่งภาวนา ณ ริมบึงแก่นนคร วันนั้นเป็นวันพระใหญ่...
ความงามและไม่งามดังกล่าว...ทำให้เราได้เดินก้าวไปบนเส้นทางแห่งความเป็นอิสระ อิสระที่ไร้ซึ่งพันธนาการ
ความมืดที่สว่าง...
เป็นความมืดที่ปรากฏ ตอนไปพักที่บ้านพัก บนควนขนุน มอ. เมื่อประมาณสามปีก่อน
เป็นความมืด ที่อบอุ่นใจ และหาทางกลับบ้านได้...เจอ
เป็นความมืด ที่สว่าง...อย่างยิ่งในชีวิตนี้
ความกลัวที่อบอุ่นใจ
ขณะที่วิ่ง...วิ่งไปภายในความมืด และเป็นความเป็นที่อยู่ภายใต้ท้องฟ้า...ที่ทำให้เราได้รู้ว่าตัวเรานั้นเล็กนิดเดียวหายิ่งใหญ่ไม่...ณ สวนอุทยานเกษตร
แรงดึงดูดที่เข้ามา
ขณะที่วิ่ง...วิ่งขึ้นเขา ลงเขา...ทำให้เข้าใจในเรื่องแรงดึงดูด เป็นความเข้าใจที่แตกต่างจากการที่ได้เรียนมาในห้องเรียน ...วิ่งไปและวิ่งไป วิ่งจนได้ร้องอ๋อ...กับตนเองว่า นี่เองเหรอที่เรียกว่าแรงดึงดูด...แรงดึงดูด...ที่ทำให้เราเข้าใจแบบไม่ต้องทำตัวกลมกลืน และฝืนภายใต้อิทธิพลของแรงดึงดูดนั้น เราสามารถมีอิสระได้ ...
ความนี้ปรากฏ...ขณะที่ไปวิ่งที่ควนขนุน-มอ.
กลับบ้าน...บ้านที่งดงาม
เป็นการกลับบ้าน...บ้านที่ทำให้รู้สึกถึงความอบอุ่นใจนี้ยิ่ง
การกลับบ้าน...บ้านที่ได้เจอคนที่คุ้นเคย...หลังจากหาหนทางการกลับบ้านมานานแสนนาน
ณ เช้าวันหนึ่ง...ระหว่างทางที่เดินออกมาจากที่พักพิง มองหันหลังกลับไปได้แหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ... งดงามยิ่ง นัยน์ตาเริ่มมองเห็นภาพเบื้องหน้าชัด และชัดขึ้นเรื่อยๆ ประตูใจได้เปิดออก และรับความงดงามแห่งอนุภาพของความมีเมตตาอย่างประมาณหาที่สุดมิได้...
พระภิกษุที่เดินเรียงแถว...ด้วยความสงบ
เรานั้นนั่งลงแทบพื้นดิน ... น้อมใจที่มีใส่บาตรท่านแต่ละรูป ...
เมตตาที่สัมผัสได้...พระท่านรับบาตรด้วยความเมตตาประมาณหาที่สุด ไม่แม้ต้องที่จะแหงนหน้ามองท่าน ซาบซึ้งลงไปในใจในความกรุณา...การรับเข้าไปในบาตรนั่นหมายถึงท่านต้องฉัน ...ปิติที่ท่วมท้น ในความกรุณาที่ท่านน้อมตัวลงรับบาตร... นมหนึ่งกล่อง แต่ทำให้ในใจนี้ไหลรินด้วยน้ำตาแห่งความปิติ อิ่มเอมใจ
หลังจากพระท่าน...รับอาหาร อุบาสกอุบาสิกา และญาติโยมต่างเรียงแถว...
เรานั้นมัวหันหลัง...และมีคนสะกิดบอกให้หันกลับไป...
หันไปเพื่อรับความเมตตาจากท่าน..นมเปรี้ยวและขนมบราวนี่... เป็นเพียงอุปกรณ์ที่เชื่อมโยงไปสู่ความมีเมตตา..และกรุณา สิ่งที่สื่อสุดประมาณมิได้คือ พลังแห่งเมตตาบารมี เรารู้สึกว่า ณ ขณะนั้นสว่างจ้า จ้ายิ่งกว่าแสงสว่างแห่งดวงอาทิตย์...ไม่มีความสว่างใด ที่ส่องสว่างได้เท่าแสงสว่างแห่ง "ธรรม" นี้
เมื่อเสร็จกิจ...ได้ก้าวเดินไป
ไปเพื่อได้ก้มลง กราบ...กราบแทบเท้าในความกรุณา...
ความเมตตากรุณา...ที่ชี้ทางให้ได้มองเห็นความงดงามแห่งสรรพชีวิต
น้ำตา...ที่ไม่เคยไหลล้นออกมา นานแสนนาน แต่ ณ วันแห่งความงามนี้ได้ทะลักล้นออกมา อย่างสุดจะกลั้นไว้ได้ เป็นน้ำตาที่ไม่สามารถจะให้ความหมายใดใด ได้...น้ำตามาจากไหน..เราไม่อาจรู้ได้
นี่แหละคือ วันแห่งความงดงาม...
สวัสดีค่ะน้องกะปุ๋ม
เขียนเรียงร้อยถ่ายทอด
ความรู้สึกได้ดีจริงๆค่ะ
ความงามที่งดงาม
คุณเห็นดวงดาวที่งดงามแต่ผมเห็นภาษาที่งามงดจากการอ่านบันทึกนี้
อยากเกิดเป็นผู้ชาย จะได้มีโอกาสบวชบ้างจัง
ค่ำคืนหนึ่ง..อันเป็นรอยต่อแห่งกาลเวลา...
ความงามที่ปรากฏของธรรมชาติที่ต่างผลัดมือ ...กันทำหน้าที่ระหว่างแสงตะวันและดวงจันทร์...
ณ เวลาประมาณตีสี่...ตาที่ลืมขึ้นมอง ปราศจากแว่น
ลมหนาวเย็นกระทบกาย ... ร่างนี้ยังเอกเขนกที่ระเบียง ณ บ้านแห่งหนึ่งที่แบ่งให้พักพิง... ณ เชียงคาน
"ดวงจันทร์" ณ วันนั้น...คือ ความงาม
ความงาม...ที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า...ใจนี้น้อมลงอย่างสงบ...
ความงามที่มองเห็นอันไม่ได้ผ่าน...ตาที่มองเห็น หากแต่ผ่านดวงใจนี้ ดวงใจที่ยังทำงานอยู่...อันเป็นการทำงานที่แสดงถึงการดำรงอยู่ ซึ่งการดำรงนี้...บ่งบอกว่ายังคงต้องทำหน้าที่แห่งการเสียสละนี้ต่อไป อันปราศจากการเห็นแก่ตัว...ใดใด...
รอยต่อกาลเวลา
ธรรมชาติรังสรรค์มาตามหน้าที่
แสงตะวันแสงจันทร์ผันรุกทุกนาที
อย่ารอรีชมงามจันทร์..ทุกวันเพลิน
สวัสดีคะ ขอแจมด้วยคนะคะ