“ความโง่”ความจริงที่ตนเองรับไม่ได้


วันนี้วันที่เท่าไรกันนะ เหมือนต้องนั่งนึกก่อน อาศัยอยู่ใต้ร่มแห่งบารมีอันเปี่ยมด้วยความกรุณาต่อสรรพชีวิต อากาศดี อากาศงามได้เจอกับ “กัลยาณมิตร” ผู้เป็นดั่งความคิดจิตวิญญาณของการอุทิศตนเป็นผู้เสียสละ

ข้าพเจ้ารู้ซึ้งแจ้งทางปัญญา ที่นำพาให้ร่วมการงานอันเบิกบาน อันเป็นการงานแห่งผู้เสียสละ เมื่อก่อนไม่รู้เพราะโง่ไม่เป็น และไม่รู้ว่าตนเองนั้นเป็นผู้โง่ กว่าจนรู้ได้นั่นน่ะก็หลังชนฝา

ประเด็นของการพูดคุยมีหลายเรื่องอย่างหลังที่ข้าพเจ้าสะท้อนใจ คือ ผู้นำพาแห่งกลุ่มสังคม ประเทศชาติและโลกเราไม่มองมาที่เป็นผู้มี “จิต” แห่งกรุณา เราหันไปมองความปราดเปรื่องของความคิดอันที่ไม่ใช่ธรรมนำพา

 

ความคิดที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ โกรธและอารมณ์นำหน้า

ความคิดที่เต็มไปด้วยความหลงใหลในโลก

ความคิดที่เต็มไปด้วย ความอยากในสิ่งต่างๆ

 

สิ่งหนึ่งที่ผู้คนต่างพากันหวาดกลัว คือ ความรู้สึกตัวว่าตัวตนนั้นเป็น “ผู้โง่” 

คำว่า “โง่” นี้ช่างสะเทือนอยู่ในหัวใจของผู้คนส่วนมากและเป็นประเด็นที่น้อมรับกับตัวเองไม่ได้

 เป็นดั่งเหมือนกระจกสะท้อนเงาที่คุกคามอยู่กับตนเองว่า “ความโง่” นี้จะนำให้ตัวเองตื่นตระหนักและทำอะไรไม่ได้ แต่หารู้ไม่ว่า “คำว่าโง่” นี้น่ะ ผู้บัญญัติแรกนั้นน่ะคือ ใคร

 

หากใครริรักที่จะทำงานที่งานที่เกี่ยวข้องกับการการจัดการความรู้

หากไม่สามารถยอมจำนนต่อตนเอง ในความโง่แล้ว

ก็ยากที่จะนำพาตนเข้าสู่สภาพ “ของความรู้แจ้ง” ในเรื่องนั้นๆ ได้

 

หากไม่ยอมรับว่า “โง่” ก็จะขาดการแสวงหา ความหายโง่

แต่หากใครลุกขึ้นมาขนขวายต่อตนเอง เพื่อไม่ให้เจ้าโง่นี้วิ่งไล่ตามได้ ผู้นั้นแหละได้ชื่อว่าเป็นผู้แสวงหาความสว่างทางปัญญา 

ผู้นำพาองค์แรกนั้นน่ะ คือ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านเป็นผู้ชี้นำทางให้เรามองเห็นว่า ความโง่ที่ฝังลึกอยู่ในรากเหง้าแห่งชีวิตและจิตวิญญาณของเรา

 

หากผู้ใดปฏิเสธ “ความโง่” และยอมรับต่อตนไม่ได้ว่าตนนั้นเป็นผู้โง่ นั่นน่ะ คือ ผู้ปฏิเสธหนทางแห่งการรู้แจ้งชัดทางปัญญาในตนเอง

 

๒๗ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

หลังจากคุยกัลยาณมิตร

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 302195เขียนเมื่อ 30 กันยายน 2009 19:06 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 21:38 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

ครับ...คุณกะปุ๋ม

หลายคนไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้นะครับ...

http://gotoknow.org/blog/giftforland/292831

ยิ่งคนที่เป็นผู้นำหรือทำงานเกี่ยวกับเรื่องหรือประเด็นเกี่ยวกับการจัดการความรู้ด้วยแล้ว น่าเป็นห่วงจริง ๆ นะครับ...

ขอบคุณครับผม...

 

ปุถุชนที่ยังไม่รู้แจ้งในระดับพระอริยะก็ยังมืดบอดเพราะอวิชชาอยู่ครับ

คนโง่เลยเต็มโลกเลยครับ

ขอบคุณครับ

ทำไมเราถึงรู้จักความมืด ก็เพราะว่าเราเคยเห็นความสว่าง

ทำไมเราถึงรู้จักความอ้างว้าง ก้เพราะวาเราเคยเห็นถนนหนทางที่เต็มไปด้วยผู้คน...

ชีวิตของคนเราก็ฉันนั้น

หากเราปฏิเสธความโง่ ก็เท่ากับเราปิดประตูที่เห็นความฉลาด

ความฉลาดนั้นเป็นสิ่งตรงข้ามกับความโง่

เมื่อเราพยายามที่จะไม่ยอมรับสิ่งหนึ่งที่อยู่ตรงข้าม เราก็ไม่มีทางรู้เลยว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่นั้นมันโง่หรือฉลาดกันแน่...

จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงอยู่ที่ตรงนี้ อยู่แค่นี้

ทำไมล่ะเมื่อก่อนเราถึงต้องไปเรียนหนังสือ ทำไมเราต้องถือกระเป๋าเพื่อเข้าเรียนในชั้น "อนุบาล"

ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะว่าพ่อแม่รู้ว่าเรา "โง่" น่ะสิ พ่อและแม่ถึงได้ส่งเราไปเรียน

แต่ในวันนี้ เราผู้ลิขิตชีวิตเรา เราน่ะเหรอจะกล้าส่งตัวเองไปเรียน ส่งตัวเองไป "รักษา" และ "เยียวยา" ความเขลาของตนเอง

ไอ้ตนเองเนี่ยแหละตัวดี ตัวเองเนี่ยแหละเป็นตัวที่ไม่ยอมรับตัว

ยิ่งคนอื่นด้วยซ้ำแล้วอีกแตะ ยิ่งต้องไม่ได้ เขามองเห็นเรา แต่เราไม่มองเห็นเรา...

วันนี้เราก้าวออกมายืนอีกจุดหนึ่ง ซึ่งเป็นจุดที่เราปฏิเสธมาแสนนาน

เมื่อก่อนเมื่อเราเรียน เรียนจบชั้นต่าง ๆ เราก็สมมติตนว่า "ฉลาด" ตามสังคม

เมื่อเราสมมติตนว่าฉลาดมาก ๆ เราก็เริ่มเดินห่างออกจากจุดของ "การเรียนรู้"

การย้อนกลับไปถือกระเป๋าดั่งเช่นวันก่อนเก่าเมื่อครั้งเป็นเด็กอนุบาลคงเป็นไปไม่ได้ ก็เพราะวันนี้เราสมมติตนว่าเราเก่ง เราฉลาด เราเรียนสูงกว่าพ่อแม่แล้ว

พ่อและแม่จะบอก จะเตือนเราไม่ได้ แต่ถ้าเราจะไปเรียนที่ไหน คนฉลาด ๆ อย่างเราก็ต้องแบมือขอเงินท่านอยู่ดี...!!!

นี่แหละ ชีวิต ชีวิตของคนเรายึดติดอยู่กับความคิดเพียงแค่นี้

ความคิดว่าเก่งดี เราเก่ง คนอื่นไม่ดี คนอื่นไม่เก่ง

เราจึงคิดว่าเราทำถูกหมด เราจึงคิดว่าเขาทำผิดหมด

ปัญหาต่าง ๆ มันจึงเกิดขึ้นจากความคิดเช่นนี้

เมื่อไปทำงาน ไปที่ไหน ก็มีแต่ที่จะไปสอนเขา ทั้ง ๆ ที่หน้ากระดาษของโครงการบอกว่า "เราจะไปเรียนรู้กับเขา...!"

คนที่จะเรียนรู้ได้ ต้องย้อนกลับไปเสมือนเด็กเข้าเรียนอนุบาล

เราต้องสร้างความรู้สึกแห่งจิต แห่งใจนั้นให้ได้

เราต้องก้มหน้า กราบกราน พ่อและแม่ผู้ที่เราเคยดูถูกท่านว่ามีความรู้ต่ำกว่าเราให้ได้

ประตูแห่งความโง่เปิดรับทุก ๆ ท่านอยู่แล้ว

ประตูแห่งความสดใสนี้ เปิดให้ทุก ๆ ท่านเห็นถึงความสว่างของแสงแห่งอุโมงค์ ณ ปลายทาง

จุด ๆ นี้จะไม่เป็นจุดยืนที่อ้างว้าง เพราะหนทางแห่งนี้นั้นสว่างจริง...

ความโง่

ไม่ใช่จะยอมรับกันง่าย ๆ

หากมิใช่ผู้ที่อาจหาญแล้ว

จะไม่อาจจะยอมรับได้เลยว่าตนโง่

 

คนฉลาดทั้งหายแหล่ดีแต่คิดเรื่องโง่ ๆ ทำเรื่องชั่ว ๆ

แต่แปลก ที่คนโง่ ๆ ชอบ คิด และชอบทำเรื่อง ดี ๆ

 

แต่เราก็ไม่ได้แสวงหาทั้งดีและชั่ว

แต่เราแสวงหาทางพ้นจากความทุกข์

แต่คนโง่นั้น สั่งสมคุณความดีเป็นเสบียง

ในการเดินทาง เป็นกำลังใจในการออกเดิน

เพื่อทำความเข้าใจ ความจริง

แม้มันจะยาก แม้มันจะไกล

แต่ก็เชื่อมั่นว่าต้องไปถึง สักวัน

นางสาววันวิสาห์ ศรีเครือ

 นิสิต มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา เอก สังคมศาสตร์เพื่อการพัฒนา ปี 3

ขอบพระคุณกับลทความอันนี้

ดิฉัน คิด ว่า ความ โง่ เป็น สิ่ง ที่ ก่อ เกิด ความฉลาด มา เสมอ เพราะ ทุกคน ว่า คำว่า โง่

นั้น เสริม สร้าง ใน สิ่ง ที่ เรา อยาก รู้ เป็น เหมือน สติ ปัญญา ให้ แก่ ตัว เรา เอง และ

บุคคล อื่นๆ แต่ ความเห็น แจ้ง เห็น จริง แต่ คำ บ้างครั้ง ว่า โง่ มัน ทำลาย จิต ใจ

ของ มนุษย์ บาง ส่วน อาจ ส่งผล ให้ เกิด สิ่ง ที่ โกรธ แค้น กัน ได้ 

หากไม่ยอมรับว่า “โง่” ก็จะขาดการแสวงหา ความหายโง่

แต่หากใครลุกขึ้นมาขนขวายต่อตนเอง เพื่อไม่ให้เจ้าโง่นี้วิ่งไล่ตามได้ ผู้นั้นแหละได้ชื่อ

ว่าเป็นผู้แสวงหาความสว่างทางปัญญา

หากโง่ รู้ว่าตนโง่ จักไม่โง่

หากโง่ แล้วคุยโว ประจานความโง่

หากฉลาด คิดว่าตนฉลาด นั่นแหละโง่

หากฉลาด คิดว่าคนโง่ ก็ิยิ่งโง้ โง่

จงมีปัญญารู้ว่าในความโง่ย่อมมีความฉลาด และในความฉลาดย่อมมีความโง่

ทุกสิ่งล้วนเป็นเช่นนั้นเอง

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท