ตลอดเวลาที่ผ่านมา ช่วงเวลาที่ข้าพเจ้าได้หยุดพักจริงๆ สำหรับชีวิตนี้คือ วันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ ถึงวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๓ เป็นค่ำคืนนี้รอยต่อของกาลเวลา ที่อาศรมน้อย ... (อ.จัน ถามข้าพเจ้าว่าอาศรมที่ว่านี้คือ ที่ไหน...จริงๆ แล้วข้าพเจ้าเลือกที่จะเรียกทุกๆ ที่ที่ข้าพเจ้าได้อยู่กับตนเองว่า อาศรมน้อย...เช่น บ้านพักหลังเล็กๆ ที่ขอนแก่น หรือกระท่อมเล็กๆ ที่วัดป่าหนองไคร้ ที่สร้างขึ้นหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ทำให้ข้าพเจ้าได้มองเห็นท้องทุ่งและแสงตะวัน...)
พอหลังวันที่สองของปีใหม่ การเดินทางก็เริ่มต้นอีกครั้ง และสัปดาห์แรกของปี...ข้าพเจ้าตัดสินใจที่จะไปอาสานั่งเป็นเพื่อน อ.เหน่ เพื่อที่จะได้แบ่งเบาภาระของ อ.จัน และมะปราง...เพราะทั้งสองท่านนี้คือ ตัวหลักแห่งการอยู่เคียงข้างเลย...
ทันทีที่ได้เจอหน้า อ.เหน่...ข้าพเจ้าบอกว่า “กะปุ๋มมาเพื่อให้อาจารย์ดูแล”... รอยยิ้มอันอบอุ่นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของ อ.เหน่...
มะปรางบอกข้าพเจ้าว่า “คืนนี้ คือ เวรของพี่กะปุ๋ม”... โอ...อะไรจะยอดเยี่ยมวิเศษเช่นนั้น กับโอกาสที่ข้าพเจ้าได้รับด้วยความไว้วางใจ
ข้าพเจ้าเรียนจบพยาบาลมาก็จริง แต่โอกาสของการทำงานพยาบาลนั้นมีเพียงเก้าเดือนเท่านั้น แต่มะปรางก็สอนงานอะไรแก่ข้าพเจ้าอย่างมากมาย ชื่นชมน้องสาวคนเก่งคนนี้มาก ที่ดูแล อ.เหน่ด้วยหัวใจจริงๆ ... บางอย่างที่ข้าพเจ้าลืม อ.เหน่ก็จะบอกให้ทำ ข้าพเจ้าชอบจังเลย เพราะเป็นธรรมชาติดี ทำให้ข้าพเจ้าไม่ต้องปฏิบัติต่อ อ.เหน่แบบหุ่นยนต์ แต่ได้ดูแลแบบธรรมชาติของชีวิตมนุษย์จริงๆ ที่สามารถได้ตอบสนองต่อความต้องการของคนที่เราได้ดูแล
ทุกครั้งที่ว่าง...
ข้าพเจ้าจะขอนั่งจับมือ อ.เหน่ บางครั้งก็คุยกันเรื่องนั้นเรื่องนี้ บางครั้งก็นั่งเงียบๆ ขณะที่ อ.เหน่หลับ ข้าพเจ้าจะนั่งหลับตาและภาวนาไปด้วย นึกสงสารเซลล์มะเร็งที่เขากำลังถูกฆ่าด้วยคีโม... ได้แต่ส่งลมหายใจเบาเบาผ่านฝ่ามืออันอบอุ่นไปสู่เซลล์ต่างๆ เหล่านี้ รวมถึง...เซลล์ที่กำลังเกิดใหม่ด้วย
ทุกครั้ง...ที่ อ.เหน่ลืมตา
รอยยิ้มของท่าน คือ ...กำลังใจของคนที่นั่งเฝ้าได้อย่างดี ทำให้ความเหนื่อย ความเมื่อยจางหายไป ข้าพเจ้าสังเกตว่า ไม่ว่าหมอหรือพยาบาลที่เดินเข้ามาดูแล...เมื่อได้รับรอยยิ้มจาก อ.เหน่...ใบหน้าอันเคร่งเครียดของพวกเขาเหล่านี้...จะจางไป ใบหน้าจะผ่อนคลายขึ้น รอยยิ้มของ อ.เหน่ คือ กำลังใจที่ดี ที่เป็นยาวิเศษให้กับคนที่ดูแลอาจารย์อย่างดีมาก
ข้าพเจ้า...ชอบเวลาที่นั่งจับมือ และได้สัมผัสลมหายใจที่อาจารย์พยายามเมตตาต่อร่างกายตนเอง ให้เป็นการหายใจสบาย... “หายใจเข้าสบายและหายใจสบาย”... จังหวะของการหายใจ แผ่วเบา และช้าลงพร้อมการหลับพัก
ทุกครั้งที่ลืมตา...ขึ้นมา...
จะชอบยิ้ม..ทักทาย เพราะการยิ้มทำให้ “ใจ” นี้มีกำลังขึ้น
ค่ำคืนที่ข้าพเจ้านั่งเฝ้า...อาจารย์มีไข้สูง...
ครั้งแรก ข้าพเจ้าได้ช่วยมะปรางเช็ดตัวลดไข้ แต่พอรอบดึกพยาบาลถามข้าพเจ้าว่าจะให้เจ้าหน้าที่มาช่วยเช็ดไหม...ข้าพเจ้าบอกว่าไม่เป็นไร จะทำเอง...เพราะการที่เราได้ทำเอง คือ สัมผัสความห่วงใยที่ส่งถึงได้... เช็ดตัวลดไข้เสร็จ...ข้าพเจ้าก็มานั่งจับมืออาจารย์ตลอดคืน... จนพยาบาลมาวัดไข้อีกรอบประมาณตีสอง..ไข้ลด ดีใจมาก... เป็นความดีใจแห่งชัยชนะเล็กๆ ที่แสดงให้เห็นว่าอาจารย์ใช้ธรรมชาติแห่งลมหายใจเยียวยาตนเองได้ เรายิ้มให้กัน...และข้าพเจ้านั่งจับมือต่อ จนแน่ใจว่าครานี้อาจารย์หลับ...ได้อย่างสบายใจยิ่งๆ ข้าพเจ้าจึงค่อยๆ วางมือลงและไปนอนบนโซฟา...ข้างๆ
“กะปุ๋ม...กะปุ๋ม”
เสียงปลุกเรียกเบาเบา...ดูนาฬิกาประมาณตีห้าครึ่ง
อาจารย์ต้องการปัสสาวะ ข้าพเจ้าลุกขึ้น...อย่างอัตโนมัติ และตัดสินใจตื่นเลยดีกว่า และมานั่งภาวนาหันหน้าออกที่เขาคอหงส์ แสงสว่างเริ่มปรากฏ อ.เหน่ขอนอนต่อ ... อาจารย์บอกว่าเป็นคืนที่หลับสบาย...
ข้าพเจ้าดีใจ ที่ได้มีส่วนร่วมเล็กๆ ที่ทำให้ อ.เหน่ได้หลับสบาย...
สักพัก...อาจารย์ลุกขึ้นนั่ง เราก็นั่งคุยกันหลายเรื่องราว... ความรู้สึกหนึ่งสัมผัสได้คือ ความคิดถึงและการรอคอยการมาของ อ.จัน... เป็นความรู้สึกที่ดีที่งดงามมากที่บุคคลทั้งสองท่านสื่อถึงกัน ด้วยความรัก อันเป็นความรักที่ได้เกิดมามอบให้กันและกัน...
สองวันหนึ่งคืน...แห่งการจับมือ
อะไรที่ทำให้ข้าพเจ้ามีพลัง และไม่เหน็ดเหนื่อย ...
คำตอบก็คือ...รอยยิ้มและความหวังของ อ.เหน่... ยิ่งจากบทสนทนาในรุ่งเช้าของ อ.เหน่...ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าการมาครั้งนี้เป็นการมาที่มีค่ายิ่งสำหรับตนเอง ที่ได้รับโอกาสจาก “ครอบครัวปิยะวัฒน์”
๘-๙ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๓
ณ หาดใหญ่ สงขลา
ฝากกำลังใจมาให้ครับ
เสียดายไม่ได้เจอกันนะครับ ผมต้องรับรองเพื่อนที่มาบรรยายพอดี
มันเป็นคืนที่อาจารย์หลับลึกมากครับ
ดีใจกับทุกคนที่ได้ทำบุญร่วมกันนะคะ
สังคมเล็กๆ แห่งนี้...เราสามารถร่วมกันทำเรื่องที่ยิ่งใหญ่ได้เสมอ ความยิ่งใหญ่ที่ว่านี้ไม่ใช่ชื่อเสียง เงินทอง หรือเกียรติยศใดใด หากแต่คือ "ใจ" อันที่พวกเราทั้งหลายไม่ต้องลงแรงลงทุนมาก เพียงแค่เราส่งออกมาจากใจเบาเบาของเรา..เท่านี้ก็เพียงพอให้สังคมเล็กๆ แห่งนี้เกิดศานติได้