คือมุมมอง และความแตกต่าง l อีกหนึ่งสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ทดลอง


เป็น "ความ" ที่ปรากฏขึ้นในเช้านี้ อันเป็นบทสรุปแห่งการเรียนรู้ที่เดินทางมาเป็นระยะเวลานานหลายปี หากว่าเรามีเป้าหมายชัดเจนเราจะไม่วอกแวกออกจากเป้าหมายเรา แต่กระบวนการระหว่างทางอาจมีการปรับเปลี่ยนได้บ้าง เพราะนี่ คือ การเรียนรู้

สิ่งที่ข้าพเจ้าได้ทดลอง...

ความเดิมหากใคร่ครวญในตนเอง ข้าพเจ้าค่อนข้างเป็นคนที่ขี้เกียจเรียนหนังสือ แต่ในความขี้เกียจก็ช่างเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจที่นำพาให้ตนเอง ได้เรียนอะไรมากมาย ข้าพเจ้าเพียงอยากทดลองดูว่าในความขี้เกียจเรียนของข้าพเจ้านี้ ข้าพเจ้าจะเรียนไปถึงไหนกัน...และวิธีการเรียนของข้าพเจ้าก็ไม่เหมือนเพื่อน

เป้าหมายการเรียนของข้าพเจ้า จึงไม่ได้อยู่เพียงแค่ใบปริญญา เพราะตลอดที่เรียนมาก็ไม่เคยที่จะได้รับใบปริญญา มีเพียงครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นตรี โท หรือเอก เพราะข้าพเจ้ามองไม่เห็นความจำเป็นต่อตนเอง และเป้าหมายของชีวิตก็ไม่ได้พุ่งเป้าที่จะเอาใบปริญญาทำอะไร

หลายคนอาจมองต่างๆ ว่า หากได้ไปจะทำประโยชน์ได้เยอะ

แต่เปล่าเลย ในทัศนะของข้าพเจ้ามองต่างออกไป การที่เราจะลุกขึ้นมาทำประโยชน์ ไม่จำเป็นต้องอิงอาศัยใบปริญญา มันเป็นเพียงเงื่อนไขที่ถูกครอบงำ ว่าหากมีสิ่งนี้ เราจึงจะทำสิ่งนี้ได้ ... แต่หากไม่มีสิ่งนี้ล่ะ เราจะทำบางสิ่งบางอย่างได้ไหม...คือ โจทย์ที่ข้าพเจ้าตั้งต่อตนเอง

และวิถีชีวิตทุกวันนี้ ข้าพเจ้าได้ทดลองกับชีวิต ว่าในการทำประโยชน์ อันเป็นการเรียนรู้เส้นทางของการฝึกฝนตนเองในการเสียสละนั้น เราไม่จำเป็นต้องมีเงื่อนไขอะไร เราเพียงแค่ใช้ "ใจ" นำทาง อันเป็นใจที่เปี่ยมด้วย "สัมมาทิฐิ" คือ มีความคิดเห็นที่ถูกต้องต่อเป้าหมาย ภายใต้ความศรัทธาอันตั้งมั่นของเรา แล้วพิจารณาแล้วว่าก่อประโยชน์มากกว่าก่อโทษ...แม้บางครั้งอาจไม่สมบูรณ์แบบ หากแต่เราเข้าใจธรรมชาติแล้วเราจะย่างก้าวไปในเส้นทางแห่งเป้าหมายนั้นได้ ด้วยความมีสติและมีสมาธิจดจ่ออยู่ในสภาวะแห่งการเป็นของเรา ณ ขณะนั้น

หลายคนที่ข้าพเจ้ารู้จัก...

มักพูดไปในทำนองเดียวกันว่า การได้เรียนได้ใบปริญญา จะทำให้เราได้ทำอะไรต่างๆ มากมายตามที่ใจเราปรารถนา ข้าพเจ้าก็เลยสงสัยว่า ความปรารถนาของผู้คนเหล่านั้นคือ อะไรกันนะ แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้เสียเวลาที่หาคำตอบเพราะนั่นไม่ใช่เรื่องของข้าพเจ้า แต่...สำหรับข้าพเจ้าแล้ว ตลอดเวลาทุกห้วงวินาทีข้าพเจ้านั้นได้ทำในสิ่งที่ตนเองปรารถนามาตลอด อาจจะเป็นความปรารถนาที่ไม่เหมือนชาวบ้าน แต่...นั่นก็ได้ทำให้ข้าพเจ้าอิ่มเอมใจ และเกิดเป็นปิติสุขอยู่เสมอ...

ข้าพเจ้าได้ทดลองเรียนปริญญาเอกในประเทศไทย ทั้งในมหาวิทยาลัยเปิด และมหาวิทยาลัยปิด ทดลองเรียนทั้งในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ และมหาวิทยาลัยภูธรในภูมิภาค... ==> และข้าพเจ้าก็พบว่า ที่สุดแล้วในความต่างก็มีความคล้าย และในความคล้ายก็มีความแตกต่าง สิ่งสำคัญที่เกิดขึ้นต่อข้าพเจ้า คือ ข้าพเจ้าได้มองเห็นสภาวะ "ใจ" ของตนเองชัดเจน และที่สำคัญ...มันคือ การจบลงแล้ว ต่อสิ่งที่ยืนยันในเป้าหมายของตนเอง ว่าไม่มีสิ่งใดให้วอกแวกหากว่าเราตั้งมั่นต่อ เป้าหมายแห่งการเรียนรู้ของตนเอง

การเรียนในมหาลัยเปิดของข้าพเจ้า ต้องหนักแน่นพอสมควรต่อข้อครหา และการไม่ได้รับการยอมรับ แต่...ข้าพเจ้าเชื่อว่า ความเป็นผู้ได้รับการยอมรับไม่ได้อิงอาศัยกับปัจจัยภายนอกมากนัก อาจเป็นเพียงแค่ ๑๐% ที่เราไปให้ค่า ... แต่เราละเลยอีก ๙๐% ที่เป็นปัจจัยภายใน อันเป็นปัจเจคบุคคล ... ซึ่งส่วนนี้ค่อนข้างมีพลังมาก ที่นำพาไปสู่การเปลี่ยนสังคมและโลก...แต่คนก็ให้คุณค่าน้อยเหลือเกิน

ความจริงที่ได้เผชิญ...มันคือ ความไม่มั่นใจในปัจเจคบุคคล จึงต้องอิงอาศัยปัจจัยภายนอกมารับรองตนเอง

ทุกคนต่างมีเหตุผลของตนเอง

แต่เหตุผลของข้าพเจ้าอาจดูทำความเข้าใจยาก แต่ก็ไม่เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจ เพราะสำหรับข้าพเจ้าเองไม่ได้มุ่งมาดปรารถนาที่จะก้าวย่างไปในเส้นทางดั่งนักวิชาการทั่วไป

ข้าพเจ้าปรารถนาเพียงแค่วิถีชีวิตที่เรียบง่ายขณะที่ดำรงอยู่ ณ ทุกขณะจิตอันเปี่ยมด้วยใจที่เบิกบานผ่องแผ่ว...

จริงๆ แล้วหากว่าจะถอดบทเรียนหรือบทสรุปของการเรียนมาเป็นระยะเวลาสิบกว่าปีในระบบ ก็จะพบว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็เป็นไปเช่นนั้นเอง เรานั้นมักนำตนเองเข้าไปสู่ในวงล้อมอันคับแคบแห่งความเป็นชีวิต ทำให้เราขาดความเป็นอิสระที่จะดำรงอยู่และเรียนรู้ความเป็นธรรมชาติที่พึงเรียนตามศักยภาพแห่งความเป็นมนุษย์ หากจะเทียบเคียงวงล้อมอันคับแคบนั้นในทัศนะทางพุทธศาสนา ก็อาจหมายถึง "โลกธรรมแปด" ที่ทำให้เราหลงมัวเมาและหาทางออกได้ยากอย่างเป็นอิสระ

วันนี้...วันก่อน หรืออีกในวันข้างหน้านั้นนั้นล้วนไม่มีสิ่งใด

มีแต่ความงดงามของชีวิต และสิ่งที่พึงให้เราได้ตื่นรู้ที่จะลุกขึ้นมาชำระล้างจิตใจของเราให้เบิกบาน

หมายเลขบันทึก: 374506เขียนเมื่อ 13 กรกฎาคม 2010 08:10 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 23:12 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

ดีมากเลยครับ นานๆ จะได้อ่านความโล่งและคิดแบบอยู่กับความเป็นจริงซะที

ขอบคุณครับ ญาติความคิดเดินทางมาให้พลังใจ ทำงานต่อไปด้วยความสุขและเบิกบาน

สวัสดีครับ

แวะมาอ่านบทความทางการเติบโตด้านในครับ

ขอให้ก้าวมั่นอย่างมั่นคงบนหนทางนะครับ...

ทำให้เข้าใจคนที่เรียนระดับสูงๆ ว่าเรียนไปเพื่ออะไรกันครับ

อยากเรียนแต่ไม่มีเงินเรียน (ยิ่งโตยิ่งจน) ตอนเป็นเด็กไม่มีหนี้สินก็อยู่ได้

อาจจะเป็นเพราะความอยากกระมัง

ก็เป็นจริงอย่างที่พี่ปุ๋มได้เขียน คนในยุคสมัยนี้ยังหลงมัวเมาอยู่ในกิเลส ยังวนเวียนอยู่ในวัฏสังสาร ยังวนวเยนวกวน อยู่ใน"โลกธรรมแปด" แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรที่ยั่งยืนแน่นอน ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง เหลือไว้แต่คุณงามและความดีให้คนได้กล่าวถึง......

ผม .... ไม่เคย เชื่อว่า เรียน สูง จะเก่งที่สุด

....... แต่เชื่อว่า คนเรา สามารถเก่ง เฉพาะด้าน ได้

ให้คนเรียน สูง ๆ มาร้อยมาลัย .. คงสู้แม่ค้าพวงมาลัยที่จบ ป. 4 ไม่ได้

.... ไม่ได้สอนให้เรียน แข่งขันอย่างคลั่งบ้า ไม่ได้สอนคิดว่าให้เป็นคนเหนือคน

จบเห็นแก่ตนแต่งงานแล้วตาย

จากวรรค หนึ่ง ของเพลง .. ม. ให้อะไร ของพี่ ปู คำภีร์ ครับ (มีอีกแต่ผมจำไม่แม่น อิอิ .. เพลงนี้ให้ข้อคิดน่าสนใจเกี่ยวกับการศึกษา ครับ)

การปลูก จิต สำนึก และคุณธรรม ... เป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่า ความรู้สูง ๆ นะครับ ในความคิดผม

http://gotoknow.org/blog/na3/367772

งดงามมากครับ

ตรงกับความรู้สึกของผมที่ผมอยากรู้

งดงามอีกครั้งครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท