เส้นทางการเรียนรู้ตนเองนั้น เริ่มต้นเมื่อไร เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าพึงพร้อมใคร่ครวญต่อตนเอง ณ วันนี้
การเรียนรู้ตนเองสำหรับข้าพเจ้าแล้ว เริ่มต้นมาจากความสงสัยในวัยเยาว์ ที่มีอย่างคุกรุ่นอยู่ภายในตั้งแต่จำความได้ว่า "เราเกิดมาทำไม" เป็นคำถามที่ก้องอยู่ในมโนภาพตลอดเวลา ตั้งแต่จำความได้จนถึงปัจจุบันหากย้อนพิจารณาไปเป็นคนที่ค่อนข้างใช้ชีวิตอย่างเต็มที่และเต็มเปี่ยมมาตั้งแต่เด็ก สิ่งนี้หรือเปล่าทำให้ได้เรียนรู้อะไรมากมายในชีวิต และไม่เคยมีความคิดในเรื่องของความผิดหวังหรือสมหวัง เพราะเมื่อได้ทำสิ่งต่างๆ อย่างเต็มเปี่ยมหรือเต็มที่แล้ว ในใจมันก็รู้สึกพอ...นึกไปแล้วก็ซาบซึ้งแบบแผนการเลี้ยงดูของพ่อและการบ่มเพาะของแม่...
แต่ชีวิตก็มีความทุกข์ ทุกข์เพราะความสงสัย ปัญญาต่ำมากไม่สามารถหาคำตอบเพื่อตอบความสงสัยของตนเองได้...
การก้าวย่างเริ่มต้นของเส้นทางการหาคำตอบและเรียนรู้ตนเองแบบมุ่งเอาคำตอบมาจากการอ่านและทำความเข้าใจด้วยตนเอง แต่ก็ไม่กระจ่าง (ปัญญายังต่ำอยู่มาก) และก็ตอนที่ได้เริ่มเรียนจิตวิทยาให้คำปรึกษาและวิปัสสนากรรมฐานตามแนวทางของท่านโกเอ็นก้าด้วยความที่คณาจารย์ที่สอนจิตวิทยาให้คำปรึกษาท่านมองว่าหากทำงานด้านนี้ควรได้รับการบ่มเพาะเรื่องนี้ ... จากนั้นชีวิตก็ได้มาเรียนรู้ตามคำสอนขององค์พระหลวงตามหาบัว ไปกราบคุณยายจันดี น้องสาวของท่านเพื่อคลายข้อสงสัย...ผ่านการฝึกฝนด้วยตนเองด้วยการใช้วิธีการวิ่งเพื่อพิจารณากายะคะตาสติในวิถีชีวิตประจำวันตามที่พี่ทานสอน จนมารู้ว่าเรานั้นดำรงอยู่อย่างเต็มเปี่ยมด้วยลมหายใจเข้าและหายใจออก หามีสิ่งใดไม่ เพียงแค่ยังได้หายใจเราจะหายใจอย่างไรจึงจะทำให้การมีชีวิตอยู่นี้มีคุณค่าและมีความหมาย
จนที่สุดได้รู้ว่า...อ้อ...เราไม่มีอะไรเลยนะ ทุกอย่างเป็นเพียงเรื่องธรรมดา เขา (ธรรมชาติ) ให้เรามาเพื่อเรียนและรู้ว่า ไม่มีอะไรเลย เราดำรงอยู่ก็เพราะ "ลมหายใจ" เมื่อสิ้นลมหายใจเราก็หายไปเท่านั้น เรื่องราวต่างๆ ในชีวิตไม่ได้มีอะไรเลย ปรากฏขึ้นเพื่อให้เราได้รู้และได้เรียนเท่านั้น รู้และเรียนแล้วก็มีเรื่องใหม่ผ่านมาเรื่อยๆ ตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจนี้อยู่ "เรียนจบแล้วมันก็จบ"
จึงดำรงชีวิตอย่างตื่นรู้และเนียนไปในวิถีแห่งธรรมชาติ (Engaged Buddhism)
การได้คำตอบเช่นนี้ในตอนนี้ทำให้ตระหนักว่า ทุกๆ ขณะจิตพึงเต็มที่กับทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาสัมผัสสัมพันธ์กับชีวิต อย่างยากที่จะปฏิเสธ น้อมใจลงด้วยความนอบน้อมและใช้ใจนำทางพร้อมปัญญาที่มีอยู่ ณ ขณะปฏิบัติต่อสิ่งต่างๆ ที่มาสัมพันธ์...เมื่อผ่านไปแล้วก็คือ ผ่านไป มันไม่ได้มีอะไรเลย
ชีวิตจึงเป็นดั่งยานพาหนะ พาเราท่องไปสู่การเรียนรู้ต่างๆ
เมื่อชีวิตจบ...ก็อาจแปรเปลี่ยนไปสภาวะไหนไม่อาจทราบได้ ทราบแต่เพียงว่า ณ ตอนนี้ดำรงสภาวะแห่งความมีชีวิตอย่างเป็นมนุษย์นี้พึงน้อมทำหน้าที่แห่งสภาวะนี้อย่างเต็มเปี่ยมเท่านั้นเอง
ถอดบทเรียนจากการใคร่ครวญในตนเอง
๑๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๓
เรามาเพื่อเรียนและรู้ว่า ไม่มีอะไรเลย เราดำรงอยู่ก็เพราะ "ลมหายใจ" เมื่อสิ้นลมหายใจเราก็หายไปเท่านั้น เรื่องราวต่างๆ ในชีวิตไม่ได้มีอะไรเลย ปรากฏขึ้นเพื่อให้เราได้รู้และได้เรียนเท่านั้น รู้และเรียนแล้วก็มีเรื่องใหม่ผ่านมาเรื่อยๆ ตราบเท่าที่ยังลมหายใจนี้อยู่
เป็นคำถามที่มีอยู่ในใจพี่เสมอ วันนี้พี่ตั้งใจอ่านและได้คำตอบแล้วค่ะ
ชอบมากครับ ประทับใจ