จาก R2R สู่การพัฒนาเนื้อจิตเนื้อใจ...


ในทีม R2R โรงพยาบาลคำเขื่อนแก้ว เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการเรียนรู้ R2R ทั้งสิ้นอยู่สี่ครั้ง และปิดท้ายด้วยการจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียน R2R แบบมินิมินิ... พอเข้าสู่เดือนนี้เราต่อกันด้วย กระบวนการพัฒนากายพัฒนาใจ เพราะเรามองว่า ... รากฐานแห่งการพัฒนานั้นพึงมาจากการที่จิตใจเราควรได้รับการพัฒนาต่อ 

จัดทั้งหมดสี่รุ่น...

เริ่มต้นจากการเรียนรู้ภายในตนเอง...เพื่อน้อมมาสู่การเรียนรู้ภายนอก อันมีความสัมพันธ์กับสรรพสิ่งต่างๆ

กระบวนการเรียนรู้ คือ การเริ่มฝึกหัดในเรื่องการแบ่งปัน และการนำพาตนเองเข้าไปสู่การเรียนในด้านเมล็ดพันธุ์แห่งความงดงามที่มีอยู่ในจิตใจ 

การนำพาตนเองใคร่ครวญในการองตนเองในส่วนดี และรับรู้ส่วนงดงามที่ดีของผู้อื่นด้วยนี่ทำให้ใจอิ่มเอมได้เหมือนกัน...

"สิ่งที่เรียนรู้ในวันนี้ ... ตั้งแต่หัวข้อแรกที่ได้วาดภาพที่แสดงถึงตัวตนของตนเอง ได้เรียนรู้เข้าใจตัวตนของตนเอง ซึ่งก่อนหน้านั้นจะมองข้ามไปหรือไม่เห็นความสำคัญในเรื่องที่จะย้อนมองตัวเองก่อนทุกครั้ง รู้จักตนเองก่อนทุกครั้งที่จะมองไปข้างหน้า หรือก่อนจะมองคนอื่น

หัวข้อต่างจากนั้น ก็ได้แง่คิดต่างๆ จากเรื่องเล่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวัวร้องไห้ จิตใจสามารถพัฒนาได้ ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นใคร ชาติกำเนิดมาจากไหน พื้นฐานจิตใจเป็นอย่างไร เรื่องความรัก ได้เข้าใจถ่องแท้ว่าการที่จะรักใครซักคน ต้องเริ่มจากรักตัวเองก่อน และเรื่องสุดท้าย..การให้อภัยสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ทุกเรื่อง

  • กลับไปนี้จะต้องรักตนเองให้มากๆ เพื่อที่จะได้เริ่มเรียนรู้ในการรักคนอื่น เผื่อให้คนรอบๆ ข้างเท่าๆ กับตนเอง
  • ได้สติกลับมามองว่า ถ้าเรารักใคร เราต้องไม่ทำให้เขาเป็นทุกข์”

  

ในอีกหนึ่งความรู้สึก...

“จากคำถามที่ว่า การอบรมวันนี้เราได้เรียนรู้อะไรบ้าง... สิ่งที่ตนเองได้นั้น คือ การมีสติ การกำหนดลมหายใจ การทำจิตให้สงบและแน่วแน่ มีความคิดที่มีสติอยู่ตลอดเวลา และมีความสุขเล็กๆ ทางจิตใจ เวลาที่ได้นั่งสมาธิและการทำจิตหลับ จิตเราได้หยั่งลึกกับการทำสมาธิในวันนี้ การทำสมาธินั่ง 20 นาที เหมือนได้นอนหลับพักผ่อนได้ถึง 9 ชั่วโมง... การฝึกสติเราจะเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันอย่างน้อยวันละ 20 นาที และสิ่งที่ได้รับจะมีประโยชน์กับตัวเรามาก เช่น การใช้สติในการพูด การใช้สติในการกระทำสิ่งต่างๆ ที่ทำในชีวิตประจำวัน และอีกสิ่งหนึ่งคือ เรื่องของการแคร์ การแคร์อย่างถูกวิธี และการทำสมาธิทำให้เรามีพลังที่จะช่วยทั้งตัวเราเองและคนรอบข้าง...

สำหรับในช่วงเช้านั้น สิ่งที่ได้เรียนรู้คือ รู้ถึงเรื่องการเป็นตัวเองเปรียบดั่งอะไรบ้างได้รู้ว่านิสัยและตัวตนของเราเองเป็นอย่างไรบ้าง...”

 

การเรียนรู้ยังไม่เสร็จสิ้น...วันนี้เรามีอีกบทเรียนที่จะได้เรียนรู้ร่วมกัน...

 

หมายเลขบันทึก: 304065เขียนเมื่อ 8 ตุลาคม 2009 06:38 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 21:40 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

heart to heart ทำให้ทุกคนพร้อมจะทำ R2R ไปด้วยกันค่ะ

 

วัน ๆ หนึ่ง "พยาบาล" เขาทำอะไรนอกเหนือจาก "การพยาบาล" บ้างน๊อ...?

มีอะไรที่ทำนอกเหนือหลักสูตรจากที่เรียนมาบ้างหรือเปล่า...

พอดีเรามันเป็นพวกชอบลองของ ลองโน่น ลองนี่ แต่พยาบาลคงลองแบบเราไม่ได้ เดี๋ยวคนไข้ "ตาย" ไปแล้วจะยุ่ง...

พยาบาลน่าจะทดลองอะไรยาก (รึเปล่า)

อย่างเรา เราทำงานกรรมกร ก็ทดลองกับหิน กับทรายไปเรื่อย เสียก็เอาใหม่ ใช้ไม่ได้ก็ "ทุบ..."

สงสัยถ้าพยาบาลทดลองกันมาก ๆ "หนูตะเภา" คงจะขาดตลาด...

เอ่..หรือว่าเขามีวิธีทดลองกันแบบใหม่ ๆ...?

พยาบาล (โรงพยาบาลรัฐ) เมืองไทยจะ "น่ากลัว" เหมือนเมื่อก่อนหรือเปล่าน๊อ...?

เอ่... หรือว่าพยาบาลสมัยนี้ทำ R2R มาก ๆ จะใช้คนไข้แทนหนูตะเภาหว่า...?

ถ้าไปทำ R2R ที่โรงพยาบาลไหนกรุณาแจ้งด้วย จะได้หลีกเลี่ยงการใช้บริการ...

เอ่... เขาทดลองกันอย่างไงยังนึกภาพไม่ออก ถ้าอย่างไร "เสียสละเวลา" เล่าให้ฟังบ้างนะ...

อ้อ ลืมบอกไป เรื่องที่ฝากให้หาข้อมูลเรื่องที่จะไปตรวจเลือด ตรวจสุขภาพก่อน "เข้าคอร์ส" นั้น

ก็รออยู่หลายวัน ตกลงว่าไม่ตง ไม่ตรวจมันและ

เดี๋ยวจะเริ่มเข้าคอร์ส "น้ำมะนาว" วันเสาร์นี้เลย

ทางโน้นท่าทางจะยุ่ง

ก็ลองมันไปอย่างนี้แหละ คงจะมีอนาคตที่ดีกว่า "หนูตะเภา..."

ช่วงเวลาที่ผ่านมาคือ หาข้อมูลไปในตัวอยากทราบอย่างแน่ในใจว่าพอมีเหตุมีผล...

วันนี้ได้เรื่องทั้งสองเรื่องเลย ทั้งเรื่อง การตรวจเลือดและเรื่องเมเปิ้ล ไซรัป

สำหรับการตรวจเลือดนั้นนักวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์แนะนำว่า ... ผลเลือดไม่น่าจะมีผลสำหรับคนปกติ จะตรวจก่อนและหลังในคนที่ไม่ได้ป่วยอะไร ค่าผลเลือดก็จะออกมาเป็นปกติอยู่แล้ว... แต่ถ้าหากลองในคนที่ป่วยนี่สิ น่าคิด ... ก็ต้องเลือกตรวจในค่าที่สอดคล้องกับสภาวะที่เขาเจ็บป่วย...

ในส่วนของเรื่อง เมเปิ้ลไซรัป นี่ได้เรื่องเลย ถามต้นตอจากผู้เชี่ยวชาญด้านเภสัชเวทโดยตรงเลย... ท่านบอกว่ามันเป็นมันตาลซูโครสที่ได้มาจากต้นเมเปิ้ล ไม่มีองค์ประกอบอะไรที่จะทำให้เซลล์หายได้ แต่น่าจะให้ในเรื่องของพลังงานมากกว่า เพราะเราใช้ร่วมกับการอดอาหารตั้งสิบสี่วัน... เซลล์ที่หดหายน่าจะมาจากการที่ไม่ได้อาหารมากกว่า ในส่วนที่สิ่งแทนได้ ท่านแนะนำว่าก็ใช้น้ำตาลทรายแทนได้ หรือซูเครน ไซรัปได้(ไม่แน่ใจนะคะฟังไม่ชัด)... ไม่มีอะไรพิสดาล สูตรที่ได้มาหากพิจารณาจากส่วนผสมน่าจะเป็นสูตรที่ได้มาจากแถบอเมริกา...นะ...

 

อ้อ เป็นอย่างนั้นนะ...

เราก็อุตส่าห์หวังดีจะทำ R2R ซะหน่อย

งั้นก็ไม่ต้องทำ BAR แล้วก็ไม่ต้องทำ AAR เน๊อะ ทำไปมั่ว ๆ แบบนี้แหละ

เสียดายความรู้ที่กำลังจะเกิด

ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงก็ไม่ต้องรง ต้องรู้อะไร ก็เชื่อ ๆ ทำ ๆ ตามสูตรเขาไป ไม่ต้องไปทดลง ทดลองอะไรมัน

อเมริกา ก็อเมริกา คนไทยนี่ "โง่" กว่าอยู่แล้ว ไม่ต้องไปพิซง พิสูจน์อะไร อาทูอง อาทูอาร์ ก็ไม่ต้องไปทำ

ก็ "สบาย" ดีเหมือนกัน ไปเป็น "กรรมกร" อย่างเดียวก็ได้...

เฮ้อ ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์อะไรเลยเน๊อะ แล้วผู้ฉลาด ๆ ทั้งหลายเขาจะเชื่อการกระทำของเราไหมเนี่ย...!

ก็ไม่เป็นไร สงสัยสูตรนี้จะเหมือนกับธรรมะ เพราะจะต้องรู้ได้ด้วย "ตนเอง" เน๊อะ...

มันรู้ได้ตัวมันเองนะ...

คนฉลาดมักคอยที่จะบอกว่า มีสิ่งใดมายืนยัน มีสิ่งใดพิสูจน์ได้...

โห...เราก็ตอบยากเหมือนกัน...

ดำเนินชีวิตตามแนวทางธรรมชาติบำบัดมานี่ก็เข้าปีที่สี่ ไม่เจ็บไม่ป่วย เป็นหวัดก็ไม่เป็นทั้งที่เมื่อก่อนนี้เป็นมือวางอันดับหนึ่งที่มักเจ็บไข้ได้ป่วยก่อนใครๆ... แต่ทุกวันนี้สบายตัวไป ไม่ต้องมาเป็นภาระหรือรับภาระการเจ็บป่วย...

ก่อนหน้านี้ก็ตรวจ Lab เหมือนกัน...ตรวจก็ช่างไม่ตรวจก็ช่าง มีข้อมูลเชิงประจักษ์ให้เห็นอยู่โทนโท่...คนฉลาดเขาก็ไม่เชื่อหรอก เขาเชื่อในยาเขาเชื่อในการรักษาแบบทางด่วน แต่ไม่เชื่อในเรื่องของการป้องกันและการเยียวยา... เราจึงตกเนทาสของความเจ็บป่วยอย่างโงหัวไม่ขึ้นทุกวันนี้... ตกเป็นทาสจากความที่คิดว่าตนเองนั้นเป็นผู้ฉลาดแล้ว...

ทุกวันนี้ก็เลยไม่สนใจ...

ทานเนื้อสัตว์เราก็ไม่ทาน ... ทานน้อยเข้าว่า ทานพอดำรงตน

ก้ไม่จะเป็นจะตายอะไร ตายก็ตายเท่านั้นเอง กลับกลายเป็นว่าอยู่สุขสบาย แม้อาจจะไปคลุกวงในกับการระบาดของโรคหลายครั้งต่อหลายครั้ง มันก็ไม่เป็นอะไรนะท่าน..มันก็พออยู่ได้ดำรงได้

นั่นน่ะอาจจะเนื่องมาจากการเชื่อและศรัทธาในวิถีแห่งธรรมะ"ชาติ"... นำพาตนดำรงไป อันไหนที่บ่งบอกว่าจะเป็นข้อแสลงข้อขัดต่อกายนี้เราก็ไม่ทำ ธรรมชาติน่ะบอกอะไรเราไว้อย่างมากมายแต่เรานั้นน่ะมักอวดฉลาดอยู่เรื่อยว่าเราอยู่เหนือธรรมชาติ รู้ดีกว่าธรรมชาติ ธรรมชาติจึงได้สอนสั่งเราอยู่ทุกวันนี้นี่ไงให้เผชิญผจญกับความเจ็บความป่วยอันเนื่องมาจากเหตุอันที่เรากระทำต่อตนเองทั้งนั้น...

อื่ม ตอบยากเหรอ ก็น่าจะตอบยากอยู่ หรือจะตอบง่ายก็ได้...

อยู่ในสังคมที่เขาชอบใช้สมมติกัน ก็ต้องรู้จักใช้สมมติ

อยู่ในสังคมที่เขาชอบใช้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์กัน ก็ต้องใช้กับเขาหน่อย

กว่าที่ใครจะสักคนศรัทธาอะไรสักอย่างได้ ก็ต้องใช้ "หลักฐานเชิงจริต" ให้ถูกต้อง เหมาะสม

ไอ้เรามันมีศรัทธาอยู่แล้วก็ไม่มีปัญหา แต่คนที่เขายังไม่ศรัทธาก็ต้อง "เสียสละ" ทำให้เขาหน่อย...

ก็ต้องย้อนกลับไปที่คำถามที่ท่าน Kapoom เคยถามว่า ทำอย่างไรที่จะทำให้คนที่เดินทางผิดกลับมาเดินทางถูกได้

ก็ต้องดูว่าเขาเชื่ออะไรอยู่ แล้วก็ต้องให้เขาพิสูจน์ได้ เห็นได้ตามสิ่งที่เขาเชื่อ

หมากเกมส์นี้นี่ไม่ธรรมดานะ ต้องใช้ "วิชา" กันหลายแขนงเลยทีเดียว

ถ้าเราเอาตัวเองสบายได้ก็ดีอยู่ แต่ก็ต้อง "เสียสละ" ทำให้คนอื่นบ้าง โดนด่าบ้าง "โง่" บ้าง

ชีวิตนี้ถึงจะได้เรียกว่าเกิดมาเพื่อทำความดี ใช้จิต ใช้ร่างกายนี้ "เสียสละ..."

เราอยู่รอดได้ก็ดีแล้ว แต่จะปล่อยให้คนอื่นตายไปโดยไร้ "ศรัทธา" เราก็ไม่ปรารถนาให้เป็นอย่างนั้น

ต้องช่วยกัน ช่วยกันตามแรงที่มี

เรารู้ ก็ต้องให้คนอื่นเขารู้ด้วย

ต้องผสม ประสมกันให้ "เนียน" เลยแหละ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท