ในระหว่างนี้ฉันปฏิบัติภารกิจครอบครัวอยู่ที่กรุงเทพมหานครค่ะ ภารกิจพรากผู้เยาว์ออกไปจากสายตาตัวเอง... แต่น่าคิดนะคะ เหมือนเป็นวัฏจักร ที่ตัวฉันเองเคยกระทำ จึงถูกกระทำ แต่คิดอีกแง่มุมที่งดงาม นั่นคือการกระทำที่ดี เพียงแค่อดทนสักนิด เชื่อมั่นกันไว้ ทุกอย่างจะผ่านพ้นไปด้วยดี
ย้อนรอยกลับไปเมื่อยี่สิบเก้าปีที่แล้ว ฉันเองก็เคยเลือกที่จะห่างไกลจากอ้อมกอดอบอุ่นของพ่อและแม่ ปีนี้เหตุการณ์นั้นกลับมาเกิดซ้ำรอย แต่เปลี่ยนที่ตัวบุคคลค่ะ
สาวน้อยของฉัน ได้เวลาที่จะเป็นนกหัดบินสูงขึ้นไปอีกระดับชั้นบรรยากาศแล้วค่ะ ในที่สุดก็ได้เวลา "ใจหาย" แม้จะทำใจมาหลายเดือนแล้ว
ใช่ค่ะ ลูกสาวฉันหนีไปเรียนจุฬา...ฉันเอง ก็เคยหนีแม่ไปเรียนที่นี่เหมือนกัน เพียงแค่ต่างคณะเท่านั้น
เมื่อถึงเวลา ฉันไม่ลืมชวนคุณยายไปส่งหลานสาวด้วย เหมือนเช่นที่เคยไปส่งลูกสาว วันนี้ปีนี้เป็นภารกิจของฉันแล้วค่ะ
ในระหว่างการปฏิบัติภารกิจ ฉันคิดถึงเหตุการณ์ในอดีตไปด้วย นั่นหมายถึงว่า แม่ฉันเคยต้องทำอะไรบ้าง วันนี้ฉันกำลังเดินตามรอยนั้นค่ะ และฉันคงไม่ควรบ่นในสิ่งที่ฉันต้องเผชิญ เพราะแม่ฉันเคยผ่านมันมาแล้ว
สภาพแวดล้อมในปีนี้แตกต่างจากเมื่อเกือบสามสิบปีก่อนโน้น ฉันทบทวนความทรงจำเดิมๆ ว่า จะต้องทำอะไรบ้าง ก่อนที่จะทิ้งสาวน้อยเอาไว้ตามลำพัง การเดินทางจากบ้านญาติผู้ใหญ่ไปยังมหาวิทยาลัย เปลี่ยนจากรถประจำทางเป็นรถไฟฟ้า อาหารการกินจากโรงอาหารธรรมดาเป็นโรงอาหารมีระดับ หรือศูนย์การค้าในยุคก่อนที่มีเบาบาง แต่วันนี้ผุดพรายราวดอกเห็ด
บรรยากาศเดิมๆ จากการตะรอนส่งลูกรายงานตัว สอบสัมภาษณ์ ตรวจร่างกาย วันนี้สิ่งหล่านี้ได้ทับรอยเดิมๆ ไปบ้างแล้วค่ะ คงเหลือภารกิจเรื่องเครื่องแต่งกาย รองเท้าเปบเปอร์มิ้นต์ (โอมายก็อด) การลุ้นสัมภาษณ์เข้าหอพักยูเซ็นเตอร์ ที่ใครๆ ก็บอกว่ายากนักยากหนา...
แต่ตรงนี้ เป็นการตัดสินใจของพ่อและแม่คือ ฉันและพี่ผมคนโสตฯครับ ว่า ให้สาวน้อยอยู่หอพัก เพื่อลดความห่วงใยเรื่องการเดินทางไปกลับระหว่างมหาวิทยาลัยและบ้านญาติ ซึ่งยุคนี้และยุคก่อนมันแตกต่างอันตรายกว่ามากถึงมากๆ มาภาวนาให้ฉันลุ้นได้อีกครั้งนะคะ
ค่ะ สาวน้อยสอบข้อเขียนผ่านเข้า คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี แล้วค่ะ เหลือก็แต่การได้รับรหัสประจำตัวนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย...
แต่ดูเหมือนว่าชีวิตนี้มีแต่เรื่องต้องลุ้น ลุ้นตลอดเลยนะคะ
หลังจากนี้...เรื่องสำคัญของลูกสาวฉันก็คงจะคล้ายกับภาพข้างบนนี้ค่ะ