- นมัสการพระคุณเจ้า BM.chaiwut
- ยายของกระผมสวดมนต์บทนี้บ่อยๆ ผมจำได้ครับ พึ่งสังเกตว่าเป็น ฉันท์ 11
- ยันทุนนิ มิตตังอะ วะมังคะ ลัญจะ
- โยจามะ นาโปสะ กุณัสสะ สัทโท
- ประเด็นเรื่อง อำ นี้จำได้ลางเลือนเต็มที (สัญญาไม่เที่ยง) แต่จำได้ว่า อำ=อัม
- เสียง สระอำ เหมือนมี ม. สะกด เป็นครุ ก็ได้ ลหุ ก็ได้ ไม่ค่อยมีเณฑ์ตายตัว
- ขึ้นอยู่กับว่า สระอำ จะอยู่ตรงไหนของประโยค
- เพราะคำครุบางคำเวลาพูดในประโยค เสียงก็กลายเป็นลหุได้ ขึ้นอยู่กับกระสวนเสียง ของแต่ละชาติ แต่ละท้องถิ่น (มีอ้างไว้ในหนังสือชื่อ ภาษาศาสตร์เบื้องต้น : ศ.ดร.อุดม วิโรตม์สิกขดิตถ์ อรรถาธิบาย เรื่องกระสวนเสียง/การออกเสียง )
- ในสมัยอยุธยา กวีแต่ง ฉันท์โดยยึดเสียงหนักเบาเป็นเกณฑ์ โดยอ่านออกเสียงแล้วใช้หูฟัง คำบางคำเป็นคำ ครุ แต่เมื่ออ่านออกเสียงทำนองเสนาะแล้ว เสียงแผ่วลงเป็น ลหุ ฉะนั้นฉันท์ ไทย กับฉันท์ของอินเดีย ก็ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว ของอินเดีย ยากกว่า
- สมัย ร.6 ท่านทรงมีพระราชดำริให้ มีเกณฑ์ที่แน่ชัดในการแต่งฉันท์ จึงทรงให้ยึด รูปพยัญชนะ เป็นเกณฑ์ (สมัยโบราณยึดเสียงพยัญชนะเป็นเกณฑ์) ในการแต่งฉันท์ ฉะนั้นความไพเราะของคำฉันท์ ยุคหลังสมัย ร.6 จึงขาดความไพเราะลงไปมาก
- สาเหตุเพราะคำลหุบางคำ เมื่ออยู่ในประโยค เวลาอ่านออกเสียงก็กลายเป็นเสียงครุไปก็มี
- หากนำ อินทรวิเชียรฉันท์ 11 ที่แต่งในสมัยอยุธยามาให้นักเรียนสมัยนี้ดู นักเรียนสมัยนี้ก็ต้องบอกว่าเป็น กาพย์ยานี 11 แน่ๆ เพราะนักเรียนสมัยนี้ ถูกฝึกมาให้ดูรูปพยัญชนะเป็นเกณฑ์ในการแต่งฉันท์ ยกตัวอย่างเช่น สมุทรโฆษคำฉันท์
พระสมุทรโฆษรำพันถึงนางพินทุมดี
๏อ้าแม่ผู้มีหน้า...............คือศศิอันเรืองรอง
ราษตรีตระการสอง..........สุข(ะ)เล่นฤดีศรี
๏คิดเอวลำเภาเยา-...........พ(ะ)ดิพาล(ะ)พันลี
คิดนมกรรพุมนี-...............รช(ะ)รัตน(ะ)เรียมผจง
๏คิดคิ้วคำนวณนวย..........คือธนูอันก่งยง
ตรูตาตระบอก บง.............บมิแล้วและติดใจ
๏คิดท้องสร(ะ)แทบพาง......นพ(ะ)โรม(ะ)เรืองไร
คิดแก้มสร(ะ)แหล้มใส........และตระศักดิ์สมบูรณ์ปราง
๏บุญใดนี้โททำ..................และมานำไปสมนาง
บาปใดนี้หนอปาง...............มาบำราส พงางาม
๏สุดท้าย ธ เที่ยวหา...........ทุกตำบลพนาราม
บ พบ พธูทราม..................รักษ(ะ)ท้าว นิราสา
- คำตัวเขียว สันนิษฐานว่า โบราณท่านถือว่าเป็น คำลหุ ครับ
- คือศศิอันเรืองรอง ถ้าสมัยนี้คำว่าคือ นั้นเป็น คำครุ ส่วน ศศิ เป็นลหุ แต่ คำฉันท์โบราณนี้ ยึดเสียงเป็นเกณฑ์ ลองอ่านออกเสียงก็จะพบว่า คำว่า "คือศ(ะ)" เสียงเบากว่า ศิ และกระสวนเสียงถูกเน้นเสียงหนักที่คำว่า "ศิ" ไปแผ่วเผาอีกทีที่คำว่า "อัน"
- คำว่า ผจง = ปทันตครุ
- คำว่า รัตน(ะ) ต้องอ่าน รัด-นะ เพื่อให้ได้คณะฉันท์
- เทคนิคและลีลาแบบนี้นายผี เลียนแบบมาจาก ของโบราณ ครับ จึงทำให้ คำฉันท์ของนายผี มีลีลาแบบ อยุธยา ครับ