นานา อเนกน้าว
เดิมกัลป์
:จะขอกล่าวถึงเรื่องต่างๆ นานา เมื่อครั้ง ปฐมกัป
(เดิมกัลป์)
จักร่ำ จักราพาฬ
เมื่อไหม้ :
จะกล่าวร่ำร้อง บอกถึงคราวเมื่อ จักรวาล ถูกไฟไหม้
กล่าวถึง ตระวันเจ็ด อันพลุ่ง :จะกล่าวถึง ดวงตะวัน
อันลุกพลุ่ง มีเจ็ดดวง
น้ำแล้งไข้ ขอดหาย
ฯ :
น้ำแห้งแล้ง แห้งขอด เหือดหายไปจากโลก
เจ็ดปลา มันพุ่งหล้า
เป็นไฟ :
ปลาใหญ่เจ็ดตัวต้องตาย ไขมันของปลาลุกเป็นไฟ
วะวาบ จัตุราบาย แผ่นขว้ำ :
ไฟไหม้ลุกวาบๆ ไปถึง จตุระ+อบาย
(อบายภูมิทั้งสี่)
ชักไตรตรึงษ์ เป็นเผ้า
: ไฟทำลายสวรรค์ชั้น ไตรตรึงษ์/ดาวดึงส์ เป็นผงเผ้า
แลบ่ล้ำ สีลอง
ฯ
: แสงแห่งไฟนั้นเรืองลอง บ่มีแสงไฟใด สีสว่างล้ำกว่าแสงนี้
สามรรถญาณ
: ผู้มีญาณอันสามารถ (พระพรหม)
ครอบเกล้าครองพรหม
: ผู้คุ้ม(ครอบ-คลุม)เกล้า(ชาวเทวดา)ครองสวรรค์ชั้นพรหม
ฝูงเทพนองบนปานเบียดแป้ง :
เทวดาจากสวรรค์ชั้นล่างๆ หนีตาย ขึ้นมาอาศัย บนพรหมโลก
สรลมเต็มพระสุธาวาสแห่งหั้น :
เทวดาเบียดเสียดเหมือนผงแป้งสระหลมสลอนเต็มพรหมชั้นสุธาวาส
ฟ้าแจ้งจอดนิโรโธ
ฯ
: ฟ้าเริ่มสว่างแจ้ง(ไม่มีควันไฟแล้วไฟที่เคยไหม้) ดับ (นิโรธ)
ลง
กล่าวถึงน้ำฟ้าฟาดฟองหาว
: กล่าวถึง ฝนตก เป็นละอองฟาดฟอง ไปทั่วฟากฟ้า
ดับเดโชฉ่ำหล้า
: ดับ ความร้อน (เดโช) ชื่นฉ่ำทั่วหล้า
ปลากินดาวเดือนแอ่น :
ฝนตกทำให้น้ำท่วมปลาว่ายกินดาวและเดือน(จนพุง)แอ่น
ลมกล้าป่วนไปมา
ฯ
: ลมพัด (อย่างแกร่งกล้า) ไปมา
แลเป็นแผ่นเมืองอินทร์
: แผ่นดินเริ่ม คุมรูป เกิดขึ้น
(เมืองอินทร์=เมืองอันยิ่งใหญ่)
เมืองธาดาแรกตั้ง
: เมืองอัน พระพรหม (ธาดา) ก่อตั้งขึ้น
ขุนแผนแรกเอาดินดูที่
: เทวดาวิศวกร(ขุนแผน)ตนแรกออกดูทำเลสร้างเมือง
ทุกยั้งฟ้าก่อคืน
ฯ
:
ทั่วทุกผืนดินและพื้นฟ้าก็ก่อร่างสร้างรูปกลับคืนเหมือนเดิม
แลเป็นสี่ปวงดิน :
แลเกิดเป็นทวีปทั้งสี่
เป็นเขายืนทรง้ำหล้า
: บังเกิดภูเขา สูงทระง้ำ ค้ำแผ่นดิน
เป็นเรือนอินทร์ถาเถือก
: บังเกิดเมืองสวรรค์ขึ้นมาใหม่(เมืองอินทร์)จนดารดาษ
เป็นสร้อยฟ้าคลี่จึ่งบาน
ฯ :
วิมานคลี่คลายเรียงรายเหมือนสร้อยประดับฟากฟ้าชวนเบิกบาน
จึ่งเจ้าตั้งผาเผือกผาเยอ
: พระพรหมสร้าง เขาไกรลาส
เขาพระสุเมรุ
ผาหอมหวานจึ่งขึ้น
: สร้างเขาคันธมาส ขึ้น
หอมอายดินเลอก่อน
:
กลิ่นดินที่ถูกย่างไฟช่างมีกลิ่นอายอันเลอเลิศกว่ากลิ่นดินสมัยก่อน
สรดึ้นหมู่แมนมา
ฯ
: เทวดาจากเมืองแมนก็สระดิ้นกันลงมา(จะกินดิน)
ตนเขาเรืองร่อนหล้าเลอหาว :
เทวดา มีตัวตนเรืองรองบินร่อนลงมาจากฟากฟ้า
หาวันคืนไป่ได้
: ไม่ตาย (อยู่เหนือเวลาหาวันคืนไป่ได้)
จ้าวชิมดินแสงหล่น
: พอเทวดา ชิม/กิน ดิน แสงสว่างที่มีในร่างก็หล่นหาย
เพียงดับไต้มืดมูล
ฯ
: มืดเหมือนใครดับคบไฟ(คบไฟเรียกว่า ไต้ เช่น
จุดไต้ตำตอ)
ลิลิตโองการแช่งน้ำ
กล่าวถึงเหตุการณ์ โลกประลัยด้วยไฟ เพราะมี ตระวันเจ็ด(ดวง) อัน
(ลุกไหม้) พลุ่ง (พล่าน) ดังนั้น น้ำ จึง แล้ง ไข้ ขอดหาย
(น้ำแล้งและเป็นไข้ เพราะน้ำมีความร้อนสูง น้ำจึงแห้งขอดหายไป)
สวัสดีค่ะ
-ทบ. ไร้ระเบียบ
นานา อเนกน้าว เดิมกัลป์
จักร่ำ จักราพาฬ เมื่อไหม้
กล่าวถึง ตระวันเจ็ด อันพลุ่ง
น้ำแล้งไข้ ขอดหาย ฯ
เจ็ดปลา มันพุ่งหล้า เป็นไฟ
วะวาบ จัตุราบาย แผ่นขว้ำ
ชักไตรตรึงษ์ เป็นเผ้า
แลบ่ล้ำ สีลอง ฯ
- ตัวอย่างจากาพย์พระไชยสุริยา
พาราสาวัตถี ไม่มีใครปราณีใคร
ดุดื้อถือแต่ใจ.........
- ท่านท้าวพันตา .... ดวงตาเป็นต้อหินแล้วค่ะ...ใช้งานมากเกินไป
สวัสดีจ้า
-แก่แล้วเลยเพี้ยนๆ ไป...สาเหตุมาจากข่าวเหตุการณ์รายวัน...หมอถูกฆ่า..เหตุก่อกวนชาวบ้าน...พระเมา..หญิง..แล้ว..ยา..ผู้ใหญ่ในพารา.....
- ขโมย ( คาดเดา ) เข้าไปในเขตบ้านพักครู ๒ - ๓ คืนแล้ว ไม่ต้องหลับต้องนอนกัน...เช้ามาเจอเด็กเวร...งานไม่ส่ง..พูดจาไม่เข้าท่าอีก...มึนตึ๊บเลย
- แล้วเลยไปเก็บหนังสือเรื่องกาพย์พระไชยสุริยา..ของม.๑ เข้า
เลยเอามาฝากแบบมึนๆ
www.geocities.com/thailiterature/prachaisuriya.htm - 52k
จะร่ำคำต่ไป | ภฬ่ใจกุมารา |
ธระณีมีราชา | เจ้าภาราสาวะถี |
ชื่พระไชยสุริยา | มีสุดามะเหษี |
ชื่ว่าสุมาลี | อยู่บูรีไม่มีไภย |
ข้าเฝ้าเหล่าเสนา | มีกิริยาอะฌาไศรย |
พ่ค้ามาแต่ไกล | ได้อาไศรยในภารา |
ไพร่ฟ้าประชาชี | เชาบุรีก็ปรีดา |
ทำไร่เขาไถนา | ได้เข้าปลาแลสาลี |
อยู่มาหมู่ข้าเฝ้า | ก็หาเยาวะนารี |
ที่หน้าตาดีดี | ทำมะโหรีที่เคหา |
ค่ำเช้าเฝ้าสีซ | เข้าแต่หฬ่กามา |
หาได้ให้ภะริยา | โลโภพาให้บ้าใจ |
ไม่จำคำพระเจ้า | เหไปเข้าภาษาไสย |
ถือดีมีข้าไท | ฉ้แต่ไพร่ใส่ขื่คา |
คะดีที่มีคู่ | คืไก่หมูเจ้าสูภา |
ใครเอาเข้าปลามา | ให้สุภาก็ว่าดี |
ที่แพ้แก้ชะนะ | ไม่ถืพระประเวณี |
ขี้ฉันก็ได้ดี | ไล่ด่าตีมีอาญา |
ที่ซื่ถือพระเจ้า | ว่าโง่เง่าเต่าปูปลา |
ผู้เฒ่าเหล่าเมธา | ว่าใบ้บ้าสาระยำ |
ภิก์ษุสะมะณะ | เล่าก็ละพระสะธำม์ |
คาถาว่าลำนำ | ไปเร่ร่ำทำเฉโก |
ไม่จำคำผู้ใหญ่ | ศีศะไม้ใจโยโส |
ที่ดีมีอะโข | ข้าขโมทะนาไป |
ภาราสาวะถี | ใครไม่มีปรานีใคร |
ดุดื้ถือแต่ใจ | ที่ใคได้ใส่เอาภ |
ผู้ที่มีฝีมื | ทำดถดื้ไม่ซื้ข |
ไล่คว้าผ้าที่ค | อะไรฬ่ก็เอาไป |
ข้าเฝ้าเหล่าเสนา | มิได้ว่าหมู่ข้าไทย์ |
ถืน้ำร่ำเข้าไป | แต่น้ำใจไม่นำภา |
หาได้ใครหาเอา | ไพร่ฟ้าเศร้าเปล่าอุรา |
ผู้ที่มีอาญา | ไล่ตีด่าไม่ปราณี |
ฝีป่ามากระทำ | มระณะกำม์เชาบุรี |
น้ำป่าเข้าธานี | ก็ไม่มีที่อาไศรย |
ข้าเฝ้าเหล่าเสนา | หนีไปหาภาราไกล |
ชีบาล่าลี้ไป | ไม่มีใครในธานี |
ขอบคุณสำหรับกาพย์พระไชยสุริยา ที่คงรูปอักขรวิธีโบราณๆไว้นะครับ
สวัสดีค่ะ
- คุณครูของคุณทำถูกค่ะที่... ตบหัวแล้วลูบหลัง....ถ้าลูบหลังแล้วตบหัว...คะมำ...จะเป็นอย่างไร
-ครูพรรณาชอบคบ... คนตบหัวแล้วลูบหลัง...มากกว่าลูบหลังแล้วตบหัว...เพราะโดนมาแล้ว ....อยากให้เพลงในบันทึกคานทองล้อมเพชร ...แสดงอาการเลยแหละ
- กาพย์พระไชสุริยาที่คงรูปไว้ต้องขอบคุณ www.geocities.com/thailiterature/prachaisuriya.htm - 52k
-ครั้งแรกทำการเปลี่ยนให้เป็นปัจุจบัน แต่เขาจัดรูปแบบไว้...พอแก้แล้วยิ่งสับสน...เอาตามเดิม...เลยเป็นดี...ขอบคุณนะคะ
สวัสดีค่ะ
-เป็นเรื่องของวัฒนธรรม
- ไปอยู่อีสานใหม่ ๆ ครูจะเอาแส้ตอกดากนักเรียน...ครูพรรณา บอกว่าหยาบคาย...รับไม่ได้
- ถ้าครูพรรณา เอาไม้ตีตูดนักเรียน...ครูอีสานก็ว่าหยาบคาย...รับไม่ได้
- เข้าเมือตาหลิ่วก็ถือตะหลิวไปทำกับข้าวด้วย...ไปโน่นเลย
krutoi ตามมาหาความรู้เรื่องทฤษฎีไม่มีคุณระเบียบ เอ้ย! ทฤษฏีไร้ระเบียบคะ ขอบคุณที่มีให้อ่านก็เลยมาดูคุณครูพรรณาเอาแส้ตอกดา..นักเรียน จริงๆนะคะ เคยไปดูเด็กลาวแถวน้านเขาเล่นวิ่งแข่งกัน เจ้าคนโตในกลุ่ม ร้องสั่งน้องๆให้เข้าที่ ดังนี้ เข้าซอง โก่งดา.. แจว....แล้วทุกคนก็วิ่ง
ขอบคุณครูต้อยครับ
ตนเขาเรืองร่อนหล้าเลอหาว
หาวันคืนไป่ได้
เข้าใจว่า เป็นการอธิบายว่า แสงที่สว่างรุ่งเรืองจากกายของเทวดาหรือพรหมที่สัญจรไปในอากาศนั้น สว่างรุ่งเรืองกว่าแสงของดวงสุริยา จนนับวันคืนไป่ได้ หรือเปล่า !!!
จริงๆ ก็อาจจะแปลได้เช่นนั้น เพราะว่า กายของเทวดา สว่าง จนไม่มี หรือไม่รู้จัก กลางคืน ก็เลย หาได้รู้จัก กลางวันและกลางคืน (ไม่มีความมืดของกลางคืนให้รู้จัก เพราะตัวเองสว่างไสวจนไม่รู้จักความมืดของยามคำคืน)