วิเคราะห์กาพย์กลอน การเมือง


บทกวีการเมือง (รางวัลรองชนะเลิศ) รางวัลพานแว่นฟ้า พ.ศ. 2548
( ไม่มีผู้ใดได้รางวัลชนะเลิศในปี 2548 ) 




นาฬิกาสงคราม : วิสุทธิ์ ขาวเนียม

นาฬิกาสงคราม                             นวัตกรรมของหื่นห่ามเหี้ยมกระหาย
เข็มเวลาจากกระดูกของคนตาย       แกว่งลูกตุ้มกะโหลกร่ายเพลงเปลวไฟ
เพียงหยดเลือดหยดแรกแตกดอกสี  ก็เริ่มต้นมิคสัญญียุคสมัย
สรวงสวรรค์รักละมุนอบอุ่นไอ           ล่มสู่ใจกลางเล่ห์อเวจี

บุปผชาติช้ำชอกทิ้งดอกหอม          ปวงผึ้งภู่อยู่ถนอมเตลิดหนี
พิราบรำพันพิราบอาบผงคลี            ธารภูทุ่งรุ้งสีสะท้านตรม
คู่ตาทารกสะทกตื่น                        หวาดแต่เสียงเปรี้ยงปืนระเบิดขรม
ละอองกลิ่นดินประสิวในพลิ้วลม       สะกดข่มอนาคตอันงดงาม

พลเมืองแห่งแดนดินคลุ้งกลิ่นศพ     เปลี่ยนวิถีสุขสงบมาแบกหาม-
แต่ซากชีพซีดซูบหลากรูปนาม        ฝังกลบดินก่อนย่ำยามหนอนเยี่ยมเยือน
โลกศานติตกแตกแหลกสลาย          โลกของเหตุการณ์ร้ายยิ่งกลายเคลื่อน
ประวัติศาสตร์ฉบับเลือดเดือดปีเดือน ถูกเขียนขึ้นบนสันเขื่อนหยาดน้ำตา

นาฬิกาสงครามกระดิกเข็ม              การต่อสู้ยิ่งข้นเข้มการเข่นฆ่า
ใจประเทศโบราณสะท้านชะตา        รอช่วงล่วงลาความเรืองไร
เมื่อสงคราม (งานฉลองของภูตผี)    นำมาซึ่งมิคสัญญียุคสมัย
พลเมืองกลางคาวกลิ่นศพสิ้นใจ       ก็เคว้งคว้างร้างไร้หวังตระการ

กลางเกลียวคลื่นขื่นทุกข์ที่รุกทบ      เพลงสงครามสนามรบอันเหี้ยมหาญ
กระหึ่มกลบเพลงบุปผาระย้าบาน      ทั้งกลบสิ้นแก่นสาร “ประชาธิปไตย”


กลอนบทนี้มีโวหารโดดเด่นอยู่สามประการ (หรือจะเรียกรวมๆว่า กวีสมัยใหม่มีเครื่องมือหากิน 3 อย่าง ก็ท่องยุทธจักรได้แล้ว) นั่นก็คือ

1.บุคคลาฐิษฐาน (Personification).
2.สัญลักษณ์ (SYMBOL)
3.อติพจน์ (hyperbole)


1. บุคลาธิษฐาน หรือ บุคคลวัต (Personification).
บุคลาธิษฐาน มาจาก คำว่า บุคคล+อธิษฐาน คืออธิษฐานให้กลายเป็นบุคคล หมายถึง ภาพพจน์ที่กล่าวถึงสิ่งไม่มีชีวิตกระทำกริยาอย่างมนุษย์ เช่น วรรคที่ว่า

"เข็มเวลาจากกระดูกของคนตาย แกว่งลูกตุ้มกะโหลกร่ายเพลงเปลวไฟ"


นาฬิกาสงคราม ซึ่งมีเข็มทำด้วยกระดูกคนตาย ก็คือ บุคลาธิษฐานของ ความเกลียดชัง ความโลภ ในจิตใจมนุษย์ นั่นเอง

บุคลาธิษฐาน ในสมัยก่อนกวีใช้ในวงแคบๆ ส่วนใหญ่เกี่ยวเนื่องกับศาสนาเช่น เมื่อจะกล่าวถึง พระพุทธเจ้ามีชัยชำนะเหนือพญามาร ก็กล่าว ไว้เป็น วสันตดิลกฉันท์ 14 ความว่า


พาหุงสะหัสสะมะภินิม      มิตะสาวุธันตัง
ครีเมขะลัง อุทิตะโฆ        ระสะเสนะมารัง
ทานาทิธัมมะวิธินา          ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เม      ชะยะมังคะลานิ


ถอดความได้ว่า

เมื่อครั้ง พญามารเนรมิตแขน 1,000 แขน ถืออาวุธครบมือ
ขี่ช้างครีเมขละ สะพรึบพร้อมด้วยกองทัพอันน่าสะพรึงกลัว
พระจอมมุนีทรงชนะด้วยทานบารมีเป็นต้น
ด้วยพระเดชนั้น ขอชัยมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้า


พญามาร ในที่นี้ก็คือ กิเลส ความฟุ้งซ่าน ความท้อถอย ในจิตใจ ของพระพุทธองค์ แต่กวี ได้บรรยาย ถึง กิเลส ให้ดูประหนึ่งว่ามี ชีวิต จิตใจ ฉะนั้น พญามาร ในที่นี้ จึงเป็น บุคลาธิษฐาน ของกวีนั่นเอง คือบรรยาย ถึง กิเลส ความฟุ้งซ่าน ความท้อถอย (ใช้โวหารพูดถึงสิ่งไม่มีชีวิต ให้เหมือนว่ามีชีวิต) กิเลส เมื่อมีชีวิตจิตใจมีตัวมีตน เราจึงรู้จักในนาม พญามาร นั่นเอง 

ส่วนพระแม่ธรณี บีบมวยผม (แต่ใน ฉันท์ 14 มิได้กล่าวถึง) ผู้ซึ่งมาช่วย บำราบพญามาร ก็คือบุคคลาฐิษฐาน ของความหนักแน่นในจิตใจแห่งผู้ปฏิบัติธรรม เมื่อมีความหนักแน่น เฉกเช่น ผืนธรณี ก็ย่อมที่จะเอาชนะ กิเลส ในตัวในตนได้ในที่สุด


2.สัญลักษณ์ (SYMBOL)

"บุปผชาติช้ำชอกทิ้งดอกหอม ปวงผึ้งภู่อยู่ถนอมเตลิดหนี"

บุปผชาติ เป็นสัญลักษณ์ ของความสงบสุข
ปวงผึ้ง เป็นสัญลักษณ์ของประชาชน

เมื่อเกิดสงคราม ประชาชนก็ต่างเตลิดหนีตาย ความสุขความสงบก็สูญสิ้นไป


ถ้าเป็นลีลา เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ก็จะบรรยายทำนองว่า


ในหญ้ารกนั้นมีทาง             เปลี่ยวอ้างว้างไร้คนเดิน
ทากน้อยจึงทาเงิน              เป็นเงางามวะวามไว้
รอว่าสักวันหนึ่ง                  ซึ่งตะวันอันอำไพ
จะเกรี้ยวกราดและฟาดไฟ   ประลัยหญ้าลงย่อยยับ

เมื่อนั้นแหละเงินงาม            รวีวามจะตามจับ
เพชรผกายจะฉายวับ          ขับเงินยวงแห่งช่วงทาง
และทากน้อยจะถมเนื้อ        เพื่อภาวะแห่งผู้สร้าง
ระเหิดหายละลายร้าง          อย่างเคยเคยทุกคราวครั้ง

ทางนั้นจึ่งปรากฏ                ทอดไปจรดที่ใจหวัง
ตราบใดที่หญ้ายัง               ก็บังใจที่ไขว่คว้า
การเกิดต้องเจ็บปวด            ต้องร้าวรวดและทรมา
ในสายฝนมีสายฟ้า             ในผาทึบมีถ้ำทอง

มาเถิดมาทุกข์ยาก              มาบั่นบากกับเพื่อนพ้อง
อย่าหวังเลยรังรอง              จะเรืองไรในชีพนี้
ก้าวแรกที่เราย่าง                จะสร้างทางในทุกที่
ป่าเถื่อนในปฐพี                    ยังมีไว้รอให้เดิน


(ตัดตอนมาจาก บทกวี "เพียงความเคลื่อนไหว" :เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์)


ทาก เป็น สัญลักษณ์ ของนักศึกษาที่เข้าป่าเป็นคอมมิวนิสต์ ในสมัยนั้น
หญ้า เป็น สัญลักษณ์ ของ อำนาจเผด็จการ

"การเกิดต้องเจ็บปวด ต้องร้าวรวดและทรมา"

การเกิดต้องเจ็บปวด เป็นสัญลักษณ์ ของลัทธิคอมมิวนิสต์

หมายความว่า การเกิดขึ้นของลัทธิคอมมิวนิสต์ เหมือนดั่ง ผู้หญิงคลอดลูก ต้องเสียเลือดเสียเนื้อ ต้องเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสเป็นตายเท่ากัน แต่เมื่อ ลูกคลอด แล้วอยู่รอดเป็นทารก เมื่อใด ผู้เป็นแม่ก็จะพบแต่ความสุข ลัทธิคอมมิวนิสต์เกิดขึ้นเพื่อปลดปล่อยมวลชนผู้ทุกข์ยากให้เท่าเทียมเป็นอิสระเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็จะพบแต่ความสุขแต่ก่อนที่จะคลอดลัทธิคอมมิวนิสต์จำต้องแลกมาด้วยการเสียเลือดเนื้อของคนในชาติ นั่นเอง



อัศนี พลจันทร หรือที่เรารู้จักท่านในนามปากกาว่า นายผี ก็เป็นอีกท่านหนึ่งที่ชอบใช้สัญลักษณ์


ฟังอะไร (โคลงดั้นวิวิธมาลี)

สงฆ์ชราเรืองพรตพริ้ง              เพรางาม
ขึ้นสู่หอระฆังขาน-                   ย่ำแล้ว
เสียงระฆังคั่งอาราม                 ไพเราะ  เรื่อยแฮ
หมาหมู่หอนเจื้อยแจ้ว               สอดจริง


สงฆ์ชรามีพรตปฏิบัติพริ้งเพรางดงาม
ขึ้นสู่หอระฆัง เพื่อย่ำระฆัง (ตีระฆัง)
เสียงระฆังคั่งค้างไปทั่ววัด เสียงไพเราะ เรื่อยริน
หมาในวัด หอนเจื้อยแจ้ว ช่างสอดเสียจริงๆ หมาหนอหมา

สามเณรหนุ่มน้อยขึ้น(คึ่น)         หอระฆัง
ยามค่ำย่ำคือลิง                       ย่ำล้อ
ระฆังลูกเดียวดัง                      ด้อยลูก..ลั่นฮา
หมาหมู่หอนเจื้อยฮ้อ                 เห่าแถม

วันต่อมาหลวงพ่อ (สงฆ์ชรา) ไม่อยู่สงสัยติดกิจนิมนต์แต่เช้าตรู่ สามเณรน้อยจึงเป็นผู้ย่ำระฆัง
สามเณร ซนเหมือนลิง พยามจะตีระฆังล้อเลียน เลียนแบบ ลีลาการตีของหลวงพ่อ
เสียงระฆังที่สามเณรตี ให้เสียงไพเราะด้อยกว่าเมื่อวาน ทั้งที่เป็นระฆังใบเดียวกัน 
แต่หมาก็ยังเห่าอยู่ เห่าแถม ด้วย ฮา...

ภิกษุซึมเซ่อขึ้น                       ดั่งเขา
ย่ำระฆังดั่งแกม                      เก่งบ้า
ฟังเสียงระฆังเดา                    ดูออก..ไฉนเฮย
หมาหมู่หอนเจื้อยฮ้า                น่าหวัว

วันต่อมาหลวงพ่อใช้ให้ภิกษุหนุ่ม(เซ่อๆซ่าๆ)ขึ้นย่ำระฆัง ดังเช่นคนอื่นเขาบ้าง
ทำท่าทะมัดทะแมง เหมือนจะย่ำระฆังเป็น ดูบ้าๆบอๆ ชอบกล
ท่านผู้อ่านคงพอจะเดาได้ว่า เสียงของระฆังจะดังเป็นเช่นไฉน ละเฮย
แต่หมาก็ยังเห่าหอนอยู่...น่าหัวเราะ เยาะหมาจริงๆ



ใคร่รู้ใครขึ้นย่ำ                       ค่ำยาม..นี้ฤา
ผิบ่แลเห็นตัว                          ตรึกไซร้
ฟังเสียงหมู่หมางาม                ละพ่อ
ฟังระฆังคุ้นให้                        แจ่มเห็น

หากใคร่ที่จะรู้ว่าใครขึ้นย่ำระฆังบอกค่ำยาม
ผิว่าไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง ก็ตาม ลอง ตรึกตรอง จากเสียงระฆังก็ได้
เสียงหมาหอนตอนตีระฆัง นั้นบอกอะไรไม่ได้เลย เป็นเรื่อง งามหน้า เอามากๆ
ฟังเสียงระฆังที่ไพเราะไว้ให้คุ้นเคยเถิด แม้นไม่ได้เห็นว่าใครตีระฆังแต่ก็จะสามารถบอกว่าใครตีระฆังได้เหมือนตาเห็น


สัญลักขณ์ ที่ใช้

คนย่ำระฆัง=ผู้นำประเทศ
การย่ำระฆัง=รูปแบบ/วิธีการปกครอง
เสียงระฆัง=ผลแห่งการปกครอง
หมา=สภากาแฟ/นักวิชาการ/NGO ฯลฯ

ไม่ว่าใครขึ้นตีระฆัง แรกๆ หมาก็มักจะหอนรับทั้งนั้น หรือหอนขับไล่ก็ไม่รู้ เพราะหมามันปวดหู เสียงระฆังที่ไพเราะ สะท้อนถึงคุณธรรมจริยธรรม และพรตปฏิบัติของผู้ตีระฆังนั้นด้วย

ในโคลงดั้นของนายผี มีผู้ ย่ำระฆังสาม ท่านคือ สงฆ์ชรา สามเณร พระภิกษุหนุ่มเซ่อๆซ่าๆ
ฉะนั้นเราผู้เป็นประชาชนต้องหัด ฟังเสียงระฆังที่ไพเราะไว้ให้คุ้นหู จนสามารถบอกได้ว่า ลีลาและท่วงทำนองการตีระฆังแบบนี้ผู้ตี เป็นคนอย่างไร จะมัวมาฟังแต่เสียงหมาหอน ไม่ได้



3.อติพจน์ (hyperbole) แปลว่าพูดโม้เกินจริง

จากกลอนนาฬิกาสงคราม วิสุทธิ์ ขาวเนียม ได้ใช้อติพจน์ ไว้ความว่า


"ประวัติศาสตร์ฉบับเลือดเดือดปีเดือน ถูกเขียนขึ้นบนสันเขื่อนหยาดน้ำตา"


สันเขื่อนหยาดน้ำตา จัดเป็นอติพจน์ เพราะน้ำตาคนเราคงไม่มากมายอะไรขนาดที่จะต้องใช้เขื่อนมากักเก็บไว้  จับใจความได้ว่า วิสุทธิ์ ขาวเนียม พูดโม้ในกลอนไว้นั่นเอง ฮา...

หรือใน โคลงนิราศนรินทร์ ใช้อติพจน์แสดงถึง ความรักของกวีไม่มีวันจืด จาง แม้ทุกสิ่งในโลกนี้ จะสูญสลายไปหมด ดังความว่า


เอียงอกเทออกอ้าง        อวดองค์ อรเอย
เมรุชุบสมุทรดินลง        เลขแต้ม
อากาศจักจารผจง        จารึก พอฤา
โฉมแม่หยาดฟ้าแย้ม     อยู่ร้อนฤาเห็น

ตราบขุนคิริข้น             ขาดสลาย แลแม่
รักบ่หายตราบหาย       หกฟ้า
สุริยจันทรขจาย           จากโลก ไปฤา
ไฟแล่นล้างสี่หล้า          ห่อนล้างอาลัย



เป็นการพูดโม้ว่า จะเทหัวใจออกมาให้ดูบ้างล่ะ (เอียงอก เท ออกอ้าง)
เอาเขาพระสุเมรุเป็นปากกา เอาน้ำในมหาสมุทร+แผ่นดิน ผสมเป็นน้ำหมึก เขียนลง อักขรเลขา แต้มลงในห้วงอากาศ (ใช้อากาศแทนกระดาษ) บ้างล่ะ ก็ยังเขียนบรรยายความรักที่มีต่อนางได้ไม่หมดสิ้น

ต่อให้ขุนเขาถล่ม
สวรรค์ชั้นฟ้าทั้ง หก ในฟากฟ้า (ฉกามาพจร) มลายหายไป
ไม่มีดวงอาทิตย์ดวงจันทร์
ไฟประลัยกัลป์ เผามอดหมดทั้ง อบายภูมิสี่ ก็ไม่มีวันหมดความคิดถึง โม้เก่งจริงๆ อิๆ



ทว่าจากการสังเกตของผู้เขียนพบว่า กลอนสมัยใหม่พยามใช้คำง่ายๆ แต่เรียงลำดับประโยคให้มันแปลกๆ ใช้บุพบท และสันธาน อย่างฟุ่มเฟือย
เช่น

นวัตกรรมของหื่นห่ามเหี้ยมกระหาย
ละอองกลิ่นดินประสิวในพลิ้วลม
ก็เคว้งคว้างร้างไร้หวังตระการ


นี่ละกระมังที่เขาเรียกว่าว่าภาษากวีสมัยใหม่ นอกจากนี้กวีสมัยใหม่ยังลบปมด้อย ว่าด้วยเรื่อง อักขรวิธี วจีวิภาค วากยสัมพันธ์ และฉันทลักษณ์ โดยเสริมปมเด่น ว่าด้วยเรื่อง บุคคลาฐิษฐาน (Personification) สัญลักษณ์ (SYMBOL) และอติพจน์ (hyperbole) ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการหากิน เอ้ยใช้เป็นเครื่องมือในการประพันธ์บทกวีอันแสน....จะไพเราะ

พอเขียนมาถึงตอนนี้ข้าพเจ้ากำลังสงสัยว่าทุกอย่างล้วนมีเหตุที่มา กลอนลีลาสมัยใหม่ แบบนี้มันคุ้นๆ ตา พิกลๆ โอ้ อ้า คิด ออกและและแล้วข้าพเจ้าก็ได้ข้อสมมติฐานที่ว่า กวีสมัยใหม่ ต้องมีกลอนเรื่อง พระมะเหลเถไถ ของคุณสุวรรณ เป็น Idol แน่ๆเลยเชียว เพราะลีลา ภาษา คล้ายกันมั่กๆ ยกตัวอย่างเช่น

บทละครเรื่อง พระมะเหลเถไถ ผู้แต่ง คุณสุวรรณ

๏ ช้าปี่
เมื่อนั้น พระมะเหลเถไถมะไหลถา
สถิตย์ยังแท่นทองกะโปลา
ศุขาปาลากะเปเล
วันหนึ่งพระจึงมะหลึกตึก
มะเหลไถไพรพรึกมะรึกเข
แล้วจะไปเที่ยวชมมะลมเต
มะโลโตโปเปมะลูตู
ตริแล้วพระมะเหลจึงเป๋ปะ
มะเลไตไคลคละมะหรูจู๋
จรจรัลตันตัดพลัดพลู
ไปสู่ปราสาทท้าวโปลา
ฯ๖คำฯ เพลงช้า

 อ่านเพิ่มได้ที่ เวป http://www.arts.chula.ac.th/~complit/etext/maley.htm


คำสำคัญ (Tags): #what the fuck ,thai poets are suck!
หมายเลขบันทึก: 181753เขียนเมื่อ 11 พฤษภาคม 2008 16:17 น. ()แก้ไขเมื่อ 20 มิถุนายน 2012 20:09 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (25)

ขอบคุณค่ะ คุณครูกวิน หนูจะแอบมาเป็นนักเรียนกลอนบ่อยๆค่ะ

ดีจังเลยค่ะ ขอบคุณค่ะครู

 

  • สวัสดีครับท่าน ผอ.ประจักษ์ มาให้กำลังใจคนแรกเลยนะครับ
  • แถวๆที่เวปพันธ์ทิพย์  เรียกว่ามาเจิม ..กระทู้..อิๆๆ
  • สวัสดีครับคุณหมออ๋อทิงนองนอย
  • ขอบคุณครับ ..มันไม่ค่อยมีสาระอะไรเท่าไรนะครับ มั่วๆ ก็เยอะ..

คุณกวินทรากร วิเคราะห์ บทความการเมือง ของหมอ๋อทิงนองนอยหน่อย กำลังร้อนแรง

มารางานตัวอ่านแล้วค่ะ :)

กลอนที่นี่เพราะจริงๆค่ะ ไม่มีเบื่อเลย

  • มาลงทะเบียนอ่านค่ะ
  • กาพย์กลอน ยังแต่งเองไม่เป็น ขอทำความเข้าใจไปก่อนนะคะคุณครู

P

กวิน

 

  • เรื่องตีระฆัง น่าสนใจ

เจริญพร

อ๋อคิดว่าอ๋อมั่วเยอะกว่านี้อีกนะ

สวัสดีค่ะ ท่านกวิน

- ชอบกลอนและเพลงประกอบมาก

- ขอบคุณค่ะ

มาเยี่ยม...

เข้ามาได้หอมกลิ่นไอของกาพย์กลอน และเสียงเพลงเลยนะ ชอบจัง ฮิ ฮิ ฮิ

สวัสดีค่ะคุณกวิน

  • แวะมาฟังเพลงและมาขอบคุณค่ะ
  • สำหรับกลอนที่เขียนในอนุทิน
  • อ่านแล้วมีกำลังใจค่ะ ของคนไม่มีรากอ่านแล้วเลยแปร่ง ๆ ก็คนไม่เคยแต่งกลอน (เอาแต่ลอกของคนอื่น) ก็อย่างนี้ละ
  • รักษาสุขภาพนะคะ

 

สวัสดีค่ะ

*แวะมาอ่านบทกวีการเมือง

***พอเขียนมาถึงตอนนี้ข้าพเจ้ากำลังสงสัยว่าทุกอย่างล้วนมีเหตุที่มา กลอนลีลาสมัยใหม่ แบบนี้มันคุ้นๆ ตา พิกลๆ โอ้ อ้า คิด ออกและและแล้วข้าพเจ้าก็ได้ข้อสมมติฐานที่ว่า กวีสมัยใหม่ ต้องมีกลอนเรื่อง พระมะเหลเถไถ ของคุณสุวรรณ เป็น Idol แน่ๆเลยเชียว เพราะลีลา ภาษา คล้ายกันมั่กๆ ยกตัวอย่างเช่น บทละครเรื่อง พระมะเหลเถไถ ผู้แต่ง คุณสุวรรณ

*  กวีนิพนธ์ของคุณกวินทรากร  มี  Idol  จากไหนคะ.....แหะ ..อยากรู้ประดับสมองไว้ค่ะ

  • สวัสดีครับบอส ( คนโรงงาน ) อิๆ
  •  โห..ยุ..ให้วิเคราะห์บทความคุณหมอ อ๋อทิงนองนอย  
  • มิบังอาจๆ  ความรู้หนูยังด้อยเร่งศึกษา.. นะกั๊บ
  • คุณ jaewjingjing ขอบคุณครับ คิดถึงนะครับ ขอบคุณครับ ;)
  •  สวัสดีครับคุณ  Sasinanda ขอบคุณครับ ดีใจจังมีนักอักษรศาสตร์มาเยือน
  • สวัสดีครับพี่ กัญญา  เป็นการ เอามะพร้าวห้าวมาขายสวน นะครับ  อ่านเอาสนุกพอได้ อาจเป็นแนวทางในการศึกษาค้นคว้าสำหรับผู้ที่สนใจ ขอบคุณนะครับ
  • นมัสการพระคุณเจ้า BM.chaiwut  ขอบพระคุณขอรับ พระอาจารย์
  • สวัสดีอีกครั้งครับคุณหมอ อ๋อทิงนองนอย อืมอยากชวนให้เขียนเรื่องสั้นการเมืองส่งประกวดรางวัลพานแว่นฟ้า ครับเดี๋ยวหารายระเอียดให้ (ป๋าดัน)
  • สวัสดีครับอาจารย์ จตุรัส  ขอบพระคุณมากๆครับ
  • สวัสดีครับอาจารย์ ดร.umi ขอบคุณครับ อาจารย์พูดถูกต้องใช่เลยครับ กวีนิพนธ์เหมือนดั่งดอกไม้มีกลิ่นหอม กวีเป็นผู้ร้อยกรองดอกไม้หอมนั้น เป็นพวงมาลัยอักษร...
  •  สวัสดี คนไม่มีราก  ตั้งใจแต่งให้เลยนะเนี่ย...
    กาพย์กลอนนอกจากจะเหมือนดอกไม้หอมแล้ว กาพย์กลอนยังเสมือนกระจกเงาที่คอยสะท้อนอารมณ์ ของผู้ประพันธ์ ความสุข-ทุกข์ล้วนแฝงเล้นอยู่ในกาพย์กลอน นั้นๆ .. รักษาสุขภาพเช่นกันครับ
  • สวัสดีครับอาจารย์คุณพี่ พรรณา กวินทรากร  มี  Idol  ......
  • Idol ของกวินทรากร เหมือน นกฟินิกซ์  (Phoenix)ที่ถูกความความร้อนรุ่ม(ในจิตใจ) แผดเผา จนมอดไหม้ ไปแล้วล่ะครับ  ฮาๆเอิ๊กๆๆ

อ่านแล้วก็ได้ทั้งอรรถรสและความรู้ แม้จะรู้สึกว่ายาวไปสักหน่อย สงสัยใบไม้จะกลายเป็นคนสมาธิสั้นไปแล้ว แหะ..แหะ..

อย่างไรก็ตาม.. ขอคารวะผู้เขียนบันทึกนี้ด้วยน้ำชาร้อน ๆ หนึ่งกาเจ้าค่ะ ^_^

มาเยี่ยมคุณกวินค่ะ

 

  • ใบไม้ย้อนแสง อ่านมากๆ สายตาจะสั้น ได้นะครับ
  • หากสมาธิสั้น ไหนฤาเลยจะอ่านจนจบ ได้
  • ข้าน้อยขอน้อมรับน้ำชาร้อนๆ 1 กา จากแม่นางใบไม้ย้อนแสง  ระระร้อนจัง...
  • เจี๊ยะเต้ๆๆ ด้วยกัน..เชิญๆ
  • ครูมิม เชิญ เจี๊ยะเต้ ด้วยกัน คุณใบไม้ชงมาให้ตั้งกาแน่ะถ้ากินคนเดียวพุงกางแน่ๆ
  • เอ ครูมิม ภาพนี้แฝงนัยยะ อะไรหรือเปล่านี่..ครูมิมนี่เนาะ หรือเราคิดมากเหว่..

คุณกวินค่ะ...เรื่องราวทุกอย่างมีที่มาที่ไป ภาพทุกภาพก็มีความหมายอยู่ในตัวของมัน คนให้ก็ให้อย่างมีความหมาย มีนัยยะในภาพนั้น แต่เป็นอะไรนั้นไม่บอกค่ะ คิดเอาเองคะ  ..อิอิ (รู้อยู่แล้วถามทำไมค่ะ ฮา..)

  • อะจึ๋ย...ครูมิม เห็นผมเป็น กามนิตหนุ่ม หรืองัย 
  • ฮาๆเอิ๊กๆ

สวัสดีครับ ท่านกวิน

  • แวะมาทักทายและรายงานตัวครับ
  • รักษาสุขภาพด้วยนะครับ
  • ขอบคุณ ครูโย่ง มากนะครับ เรียกผมว่าน้อง กวิน ก็ได้นะครับ ฮา..
  • ดูเด็ก ดี แต่ ดูเด็กไม่ได้นักฟุตบอลนะครับ
  • รักษาสุขภาพเช่นกันนะครับ 

โอเค น้องกวิน

  • เรียกน้องกวิน
  • อยากเด็ก ๆ ว่างั้น
  • โอเคครับ ยอมเรียกน้องแล้วกัน
  • ถึงแม้ ผมจะเด็กกว่า แต่ไม่เป็นไร เรียกน้องได้ อิอิ
  • เอิ๊กๆๆๆ
  • คุณพี่ครูโย่ง ..นี่ ...เอิ๊กๆๆๆ
  • ยิ้มๆครับ

ชอบมุมวิเคราะห์บทกวีของนายผีครับ

...

ขอบคุณอาจารย์สิวกานต์ ที่มาเยี่ยมชม รู้สึกเป็นเกีรติมากๆ ครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท