การดูแลผู้ป่วยที่มาตรวจ CT Angiography
Nursing Cares for CT Angiography patient
พรรณี สมจิตประเสริฐ พย.บ.
แผนกเอกซเรย์ รพ.เจ้าพระยา
พรรณี สมจิตประเสริฐ. การดูแลผู้ป่วยที่มาตรวจ CT Angiography. วารสารชมรมรังสีเทคนิคและพยาบาลเฉพาะทางรังสีวิทยาหลอดเลือดและรังสีร่วมรักษาไทย, 2553; 4(1) : 6-8
การตรวจหาความผิดปรกติของหลอดเลือดในร่างกาย มีการตรวจได้หลายวิธี ได้แก่ การตรวจด้วยเครื่อง ultrasound (color doppler), การตรวจ angiography, การตรวจ MRA การตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Angiography) หรือการตรวจดูหลอดเลือดหัวใจของสาขาวิชาเวชศาสตร์นิวเคลียร์ที่เรียกว่า ธัลเลี่ยม เพอร์ฟิวชั่น ซึ่งแต่ละการตรวจสามารถสร้างภาพเพื่อดูหลอดเลือดได้ดีใกล้เคียงกัน แต่ก็มีข้อดี และข้อจำกัดในการตรวจแต่ละชนิดไม่เหมือนกัน
การตรวจหลอดเลือดด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Angiography ) เป็นวิธีการตรวจหนึ่งที่สามารถวินิจฉัยโรคของหลอดเลือดได้ทุกส่วนของร่างกายได้แก่ Cerebral artery, Aorta, Coronary artery, Pulmonary artery, hepatic artery, Renal artery และหลอดเลือดของแขน ขา เป็นต้น การตรวจด้วยวิธีนี้สามารถสร้างภาพและวินิจฉัยโรคได้ดีและแม่นยำไม่แพ้การตรวจด้วยวิธีอื่นๆ แต่อัตราการเสี่ยงต่ำกว่าการตรวจโดยการสวน catheter เข้าหลอดเลือดโดยตรง (Angiography) หลังการตรวจผู้ป่วยไม่ต้องนอนโรงพยาบาล สามารถกลับบ้านได้ ดังนั้นการตรวจด้วยวิธีจึงเป็นที่นิยมของแพทย์ทั่วไป
ผู้ป่วยที่จะตรวจด้วยวิธีนี้ต้องได้รับการนัดหมายล่วงหน้า เพื่อเตรียมความพร้อม ได้แก่ การงดอาหารและน้ำทางปากก่อนการตรวจ 4-6 ชั่วโมง เจาะเลือดส่งห้องปฏิบัติการทางเคมีเพื่อหาค่าของ BUN และ Creatinine ผู้ป่วยต้องเซนยินยอมรับการตรวจ ถ้าผู้ป่วยเซนเองไม่ได้ต้องให้ผู้ปกครองที่มีสิทธิ์ตามกฎหมายเซนต์แทน
พยาบาลที่ปฏิบัติงานห้อง CT scan เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการเตรียมตรวจ การดูแลและให้การพยาบาลผู้ป่วยก่อน ขณะ และภายหลังการตรวจ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการตรวจวินิจฉัยที่ถูกต้อง รวดเร็ว ไม่มีภาวะแทรกซ้อน ดังนั้นผู้ที่ปฏิบัติงานห้องนี้ต้องได้รับการฝึกฝนความรู้และทักษะเป็นอย่างดี เกี่ยวกับโรคและการพยาบาลเฉพาะทาง การประเมิน การคัดกรองผู้ป่วยถึงความเร่งด่วนในการเข้ารับการตรวจวินิจฉัย มีความรู้เกี่ยวกับ สารทึบรังสี การช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีการแพ้สารทึบรังสี ที่มีอาการเล็กน้อยจนถึงผู้มีอาการแพ้รุนแรง รวมทั้งการเตรียมยา และอุปกรณ์ในการช่วยชีวิตผู้ป่วยให้ครบและพร้อมใช้ตลอดเวลา ควรมีแผนการช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีการแพ้สารทึบรังสีติดให้ผู้ปฏิบัติงานทุกคนเห็นชัดเจน รวมทั้งการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจที่มีอัตราการเต้นของหัวใจเร็วผิดปรกติ ที่มารับการตรวจหลอดเลือดหัวใจด้วยเครื่อง CT scan เป็นต้น
ในขณะทำการตรวจผู้ป่วยส่วนมากจะมีความกลัว มีความวิตกกังวล พยาบาลที่ปฏิบัติงานด้านนี้ควรเข้าใจ อธิบายวิธีการตรวจที่เข้าใจง่าย และการปฏิบัติตัวขณะรับการตรวจให้ผู้ป่วยทราบ เพื่อให้ผู้ป่วยให้ความร่วมมือในการตรวจ การดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด การพูดคุยขณะให้การพยาบาล จะทำให้ผู้ป่วยมีความอุ่นใจ และคลายความกลัว ความวิตกกังวลลงได้ .ในขณะทำการตรวจพยาบาลต้องเฝ้าระวัง ประเมินอาการและการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นได้แก่ การเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพ การหายใจ หรือภาวะที่มีการแพ้สารทึบรังสีหรือสารทึบรังสีอยู่นอกหลอดเลือด (leakage of contrast media) ถ้าพบเห็นอาการไม่พึ่งประสงค์ใดๆเกิดขึ้นจะได้ให้ความช่วยเหลือ และรีบให้การพยาบาลได้รวดเร็ว ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยปลอดภัยจากภาวะแทรกซ้อนเป็นต้น
ภายหลังการตรวจควร observe ดูอาการผู้ป่วย 15-30 นาที และตรวจเชคสัญญาณชีพ เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ป่วยไม่มีอาการแพ้สารทึบรังสี และอาการไม่พึงประสงค์อื่นๆ ก่อนออกจากห้องตรวจ และแนะนำให้ผู้ป่วยดื่มน้ำมากๆ เพื่อขับสารทึบรังสีออกทางปัสสาวะโดยเร็ว
การเขียนบันทึกทางการพยาบาลเป็นสิ่งสำคัญ พยาบาลที่ปฏิบัติงานในห้องนี้ต้องเขียนบันทึกทางการพยาบาลโดยละเอียดเพื่อส่งต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆให้ทราบ และเป็นหลักฐานสำคัญที่บอกว่าผู้ป่วยปลอดภัยดีไม่มีภาวะ
แทรกซ้อนใดๆ ขณะมารับการตรวจ หรือมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ได้แก่มีการแพ้สารทึบรังสีรุนแรง รวมทั้งได้รับการรักษา แก้ไขภาวะฉุกเฉินอย่างไรบ้าง ยาที่ผู้ป่วยได้รับมีอะไร ขนาดเท่าไรเป็นต้น
บรรณานุกรม
1. กฤษฎี ประภาสะวัต, วลัยลักษณ์ ชัยสูตร, อภิญญา เจริญศักดิ์. รังสีวินิจฉัย Diagnostic Radiology. ทีซีจี พรินติ้ง, กรุงเทพฯ; 2546.
2. นรา แววศร. รังสีร่วมรักษา. เรือนแก้วการพิมพ์, กรุงเทพฯ ; 2530.
3. ร่มไทร สุวรรณิก,ฤดี ปลีหจินดา.ความสำเร็จใน 50 ปี ของเวชศาสตร์นิวเคลียร์. ใน Excellent Medical practices For Better Quality of Live. คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล.ชวนพิมพ์, กรุงเทพฯ ;2548
4. สมจิต หนุเจริญกุล และ อรสา พันธ์ภักดี.( 2553) การปฏิบัติการพยาบาลขั้นสูง : บูรณาการสู่การปฏิบัติ. สำนักพิมพ์จุดทอง, กรุงเทพฯ ; 2553
ไม่มีความเห็น