วันหยุดนี้แป๋มตั้งโปรแกรมไว้ว่าจะไปสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องราวทางวิทยาศาสตร์ ที่หอสมุดของมหาวิทยาลัย พร้อมกับนัดเจอกับเพื่อนร่วมชั้นเรียนสมัยมัธยมศึกษา ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์คณะแพทย์ศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคอีสานนี่เองค่ะ.
หลังจากที่แป๋มได้สืบค้นข้อมูลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราทั้งคู่ได้พูดคุยเกี่ยวกับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีที่ก้าวรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันแป๋มก็อดคิดไม่ได้ว่าความก้าวหน้าดังกล่าวนั้นช่างสวนทางกับความสนใจของเด็กไทยเราไม่ใช่น้อย จากข้อมูลการเลือกแผนการเรียนขั้นพื้นฐาน หรือการเลือกคณะในระดับมหาวิทยาลัย สาขาวิทยาศาสตร์จะเป็นทางเลือกท้ายๆ ของนักเรียนที่มีผลการเรียนที่โดดเด่น ส่วนพวกที่เลือกนั้นเล่าก็จะเป็นผู้ที่มีผลการเรียนระดับปานกลางลงมาเป็นส่วนใหญ่ แม้แต่ที่มหาวิทยาลัยที่เพื่อนอยู่ก็เช่นเดียวกัน
จากที่เราสนทนากันแบบไม่เป็นทางการนัก ก็กลายเป็นหัวข้อที่เราเป็นห่วงกันขึ้นมา
จริงๆแล้วสิคะ ไม่รอช้า เราจึงไปเรียนปรึกษากับอาจารย์ที่เคยสอนวิทยาศาสตร์พวกเรา ตลอดจนขอทราบความคิดเห็นของคณาจารย์ในมหาวิทยาลัยที่สอนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหลายท่าน ซึ่งทุกท่านได้ให้ความเห็นราวกับว่าได้รอคอยเวลานี้มานานแสนนานเชียวค่ะ
ช่วงเย็นหลังจากที่เราได้ไปพบกับคณาจารย์ เท่าที่เวลาจะอำนวยอย่างไม่เป็นทางการ คำตอบที่รวบรวมได้ดูน่าสนใจค่ะ มีการบ่งถึงประเด็นที่เป็นสาเหตุเอาไว้ชัดเจน และผลที่เห็นในปัจจุบันนี้เล่า ย่อมจะเป็นผลพวงต่อไปในอนาคตของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับสังคมไทยซึ่งน่าเป็นห่วงมากๆ ด้วยเพราะความสนใจด้านวิทยาศาสตร์ของเด็กไทยลดลง การค้นคว้าเรื่องราวทางวิทยาศาสตร์ก็ไม่ค่อยมีคุณภาพเพราะไม่เห็นความสำคัญ ครูอาจารย์ตรวจงานแบบขอไปที สื่อที่ใช้ก็ไม่หลากหลาย และที่สำตัญครูผู้สอนนั่นเองที่ขาดการปลูกฝังจิตวิทยาศาสตร์ให้กับผู้เรียน..,อืม..น่าคิดค่ะ
ท้ายที่สุดหลังจากกล่าวลาทุกท่านแล้ว แป๋มได้นำแง่คิดที่คณาจารย์เหล่านั้นได้กรุณาฝากเป็นการบ้าน ให้แป๋มและครูวิทยาศาสตร์มาขบคิด ว่าจะทำอย่างไรที่จะให้เยาวชนไทยหันมาใส่ใจวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควบคู่ความเป็นไทยให้มากกว่านี้...หาไม่..สังคมไทยและประเทศไทย จะอยู่ได้ไหมกับกระแสโลกาภิวัฒน์ที่กำลังเชี่ยวกราก...นั่นสิคะ...ทำอย่างไรกันดี.
ครูแป๋ม.
เรื่องนี้ก็น่าเป็นห่วง ระบบการศึกษาของบ้านเราจริง ๆ นะครับ ทุกระดับชั้นจะเห้นได้ว่าสัดส่วนของเด็กหรือนักศึกษาที่สนใจเรียน ว และ ท จะน้อยลงทุกที โดยเฉพาะ pure science หากยากขึ้นทุกปี คงต้องร่วมกัยระหว่างกระทรวงศึกษา กับกระทรวงวิทย์ฯ ในส่วของกระทรวงวิทย์ฯ ก็มีกลยุทธ์หลาย ๆ ด้านที่ออกมา เช่น การให้ทุนการศึกษาด้าน ว และ ท การ จัดตั้งห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน การจัดตั้ง สภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อดูแลวิชาชีพทางด้าน ว และ ท
สวัสดีค่ะน้องคูแป๋ม
อิ..อิ..พิมพ์เร็วดีนัก เลยตก ร อ่ะค่ะ ขออภัยนะคะ
คุณครูแป๋ม
เข้ามาเยี่ยมครับครูแป๋ม วันหยุดคงได้พักผ่อนหายเหนื่อยนะครับ
ตามมาขอบคุณ ครูแป๋มที่แวะมาเยี่ยมกันค่ะ
ด้วยความระลึกถึงเสมอค่ะคุณ berger0123
สวัสดีค่ะ ตามมาอ่านค่ะ.... ได้เคยมีผลการทดสอบเด็กไทยไว้ในหลายรายการด้วย เมือ ปี 2548 ผลของ TIMSS มีดังนี้ • ในด้านคณิตศาสตร์ นักเรียนชั้น ป. 4 ของไทยเข้ามาลำดับที่ 22 ในบรรดา 26 ประเทศ และชั้น ม. 2 เข้ามาลำดับที่ 21 ในบรรดา 41 ประเทศ • ในด้านวิทยาศาสตร์ นักเรียนชั้น ป.4 ของไทยเข้ามาลำดับที่ 24 และชั้น ม.2 เข้ามาลำดับที่ 22 ผลการทดสอบของ PISA บ่งว่า เด็กไทยได้ลำดับที่ 33-36 ในด้านคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ การอ่านและการแก้ปัญหาเมื่อเทียบกับการทดสอบนักเรียนใน 41 ประเทศ รายงานการทดสอบของทั้ง TIMSS และ PISA มีรายละเอียดอีกมาก ผู้สนใจอาจติดต่อ Boston College ในสหรัฐ หรืออ่านจากเวบไซต์ของเขาที่ http://timss.bc.edu และ OECD ในกรุงปารีส หรืออ่านจากเวบไซต์ของเขาที่ www.pisa.oecd.org ในรายละเอียดมากมายนั้น มีข้อน่าสังเกตหลายอย่าง เช่น TIMSS ชี้ว่า • ในด้านคณิตศาสตร์ การทดสอบนักเรียน ป.4 และ ม. 2 พบว่า เด็กที่มาลำดับ 1-4 ได้แก่ เด็กสิงคโปร์ เกาหลี ญี่ปุ่นและฮ่องกง • ในด้านวิทยาศาสตร์ การทดสอบนักเรียน ป.4 พบว่า เด็กเกาหลีมาที่ 1 เด็กญี่ปุ่นมาที่ 2 เด็กสิงคโปร์มาที่ 10 และเด็กฮ่องกงมาที่ 14 การทดสอบเด็ก ม.2 พบว่า เด็กสิงคโปร์มาที่ 1 เด็กญี่ปุ่นมาที่ 2 เด็กเกาหลีมาที่ 3 และเด็กฮ่องกงมาที่ 24 PISA ชี้ว่า ในด้านคณิตศาสตร์ ฟินแลนด์ แทรกเข้ามาเป็นอันดับ 1 ส่วนประเทศที่กล่าวถึงได้คะแนนลดหลั่นกันลงไป แต่จะไม่เปลี่ยนภาพที่ชี้ว่า เด็กจากเกาหลี ญี่ปุ่น และสิงคโปร์มักมาในอันดับต้นเสมอไม่ว่าจะทดสอบอะไรและในระดับไหน เป็นการตอกย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า เมืองไทยล้าหลังอย่างน่าวิตกในยุคโลกไร้พรมแดน ซึ่งต้องการคนทางปัญญา และมีความสามารถทางเทคโนโลยีสูง ปัญญาและความสามารถนั้นต้องมาจากฐานความรู้อันแข็งแกร่งทางคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ค่ะ
หน่วยงานที่ทดสอบความรู้คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์TIMSS
ถ้าว่างเชิญที่บันทึกนี้นะคะ
อ่านBlog และความเห็นต่างๆ ...สอดคล้องทิศทางเดียวกันค่ะ....ในฐานะครูผู้สอนวิทยาศาสตร์...ก็เป็นห่วง...ในส่วนตนเองก็ปรับวิธีสอน..พยายามสอนให้เขารู้จัก How to learn....แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายด้วยหลายเงื่อนไข....ในความคิดตนเอง...วิชาโครงงานวิทยาศาสตร์นะค่ะ เป็นจุดเริ่มที่ดี ครูต้องกระตุ้น สร้างความตระหนักนักเรียนต่อวิชานี้ให้ได้...เป็นก้าวหนึ่งในหลายก้าวที่ผู้เกี่ยวข้องทั้งครู หน่วยงาน ผู้ปกครองและนักเรียนต้องร่วมกันผลักดัน
สวัสดียามเช้าตรู่คุณครูแป๋ม
ทำอย่างไรที่จะให้เยาวชนไทยหันมาใส่ใจวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ปํญหามา ปัญญามี
มารบ่มี บารมีบ่เกิด
ปัญหา จะเป็นตัวสร้างปัญญา ครับ
สู้ๆ ครับ ความสำเร็จอยู่ข้างหน้า
สวัสดีค่ะครูแป๋ม
ดีใจจังเลยที่ให้ความสนใจกับวิชานี้...
ชาติจะพัฒนา...กระบวนการเรียนรู้วิจัยทางวิทย์
อยากให้เยาวชนสนใจมากๆ...
ดูครูมีความสุขดีนะครับกับเด็กๆ แต่ปัญหาความไม่ใส่ใจวิทยาศาสตร์ก็ช่างเป็นเรื่องหนักใจตลอดมา เป็นกำลังใจให้ครับผม
ขอเป็นกำลังใจให้ครูแป๋มสู้ๆคะ
เพื่อเด็กไทยก้าวสู่โลกสากล
^^>'
มาทักทายตอนสายๆ กับคุณครูวิทยาศาสตร์คนนี้ครับ
สวัสดีค่ะ คุณพชร
ผมขอส่งลิงก์นี้มาให้ครับ
สวัสดีคะ คุณพชร
สวัสดีค่ะ