สวัสดีค่ะ ดิฉันชื่อ นางสาวมณียา สาริบุตร เป็นนักเรียนชั้น ม.6/6 โรงเรียนสุรธรรมพิทักษ์ .... ช่วงปิดเทอมที่ผ่านมาเพื่อนๆ และน้องๆ ทำอะไรกันบ้างคะ.. สำหรับดิฉันมีโอกาสได้ใช้ช่วงเวลาปิดเทอมฤดูร้อนแบกเป้ไปเยี่ยมเพื่อนเก่าถึงแคนาดากว่า 1 เดือนค่ะ เพื่อนเก่าของดิฉันคือ Miss Joanie Roy หรือชื่อไทยว่า “นิด”อดีตนักเรียนแลกเปลี่ยนโครงการ AFS ซึ่งเคยมาเรียนร่วมกันกับเราชาวเทาฟ้า เมื่อสองปีก่อน ซึ่งการท่องเที่ยวครั้งนี้ให้ประสบการณ์กับดิฉันมากมายเลยทีเดียว
เริ่มตั้งแต่การรวบรวมเอกสารเพื่อไปขอ Visa ที่สถานทูตด้วยตนเองครั้งแรกในชีวิต เมื่อได้วีซ่าก็ต้องวางแผนเรื่องอื่นๆ เช่นงบการใช้จ่าย การซื้อของ จัดกระเป๋า ด้วยตัวเอง ทำเอาหัวหมุนไปเลย เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยก็มาทำการบ้านเกี่ยวกับสถานที่ที่จะไป รัฐที่ดิฉันจะไปมีชื่อว่า Quebec ค่ะตั้งอยู่ทางตอนตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศแคนาดา ถ้านั่งรถไปถึงนิวยอร์ก ประเทศอเมริกาก็ประมาณ 10 ชั่วโมงค่ะ เมืองหลวงของรัฐคือ Montreal ส่วนเมืองที่นิดอาศัยอยู่ชื่อว่าเมือง Quebec อยู่ห่างจากเมืองหลวงรัฐประมาณ 3 ชั่วโมงหากเดินทางโดยรถยนต์ และนอกจากนี้ความพิเศษคือรัฐนี้เป็นรัฐที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาราชการค่ะ!!! แต่ที่ควิเบคสำเนียงจะเป็นฝรั่งเศสดั้งเดิมนะคะ ตายล่ะ ดิฉันพูดได้แต่ภาษาอังกฤษฮ่าๆๆๆ สนุกแน่ๆ.... อ้อคำขวัญของเมืองคือ “Je me Souviens” แปลเป็นอังกฤษว่า “I remember” และแปลเป็นไทยว่าฉันยังรำลึกค่ะ นอกจากนี้ของขึ้นชื่อที่ห้ามพลาดคือ melpel syrup ค่ะอร่อยขึ้นชื่อประจำเมืองเลยล่ะ
และแล้วก็ถึงวันเดินทาง ตื้นเต้นสุดๆค่ะ เพราะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เดินทางคนเดียวโดยเครื่องบิน แถมครั้งแรกจุดหมายไกลค่ะต้องเปลี่ยนเครื่องคนเดียวตั้ง 3 ที่เลย แต่ไม่น่ามีปัญหาเพราะเราสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ก็เลยไม่กลัวเท่าไร หลังจากร่ำลากับคุณแม่และญาติๆ เดินหายวับไปในโซนผู้โดยสารใจก็ตุ่มๆต่อมๆ เลยทีเดียว พอผ่านด่านตรวจ passport แล้วก็นั่งรอเครื่องค่ะ พอถึงเวลาก็เดินขึ้นเครื่องตามปรกติ จุดหมายแรกคือประเทศไต้หวันใช้เวลาเดินทางจากประเทศไทยก็ 3 ชั่วโมง จากนั้นจึงเปลี่ยนเครื่อง มุ่งหน้าสู่เมือง Vancouver ประเทศแคนาดา ใช้เวลา 10 ชั่วโมง พอถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง เจอคุณตำรวจถามคำถามเล็กน้อย เนื่องจากเป็นผู้หญิงไทยอายุแค่สิบเจ็ด เดินทางคนเดียวแถมวีซ่าท่องเที่ยวอีก ฮ่าๆๆ ซึ่งพอเห็นว่าเราตอบคำถามได้อย่างชัดเจนและไม่มีปัญหาเขาก็ปล่อยเราเข้าแคนาดา พนักงานสนามบินที่นั่นเป็นมิตรมากค่ะ จากนั้นนั่งต่อไปจนถึงเมือง Montreal ข้ามประเทศไปอีก 7 ชั่วโมง เบ็ดเสร็จก็ 20 ชั่วโมงบนเครื่องบินค่ะ อุณหภูมิที่ไปถึงขณะนั้นก็ไม่หนาวค่ะแค่ -4 เอง แหมก็หน้าหนาวปรกติที่นี้เขาติดลบกันถึงขั้น -45 องศาเลยล่ะค่ะ พอไปถึงรับกระเป๋าเรียบร้อยก็เจอนิดมาถือป้ายรอรับดิฉันตั้งแต่ไกล “Welcome Bienvenue Ray!” แปลว่ายินดีตอนรับเรย์ แน่นอนค่ะดิฉันแทบกระโดดกอดเพื่อนผู้น่ารักของฉันคนนี้เลยล่ะ ไม่อยากเชื่อว่าเราจะไม่เจอกันมาเกือบสองปีแล้ว หลังจากนั้นนิดก็แนะนำให้รู้จักคุณแม่ของเธอ ที่ชื่อ“Marie” ถ้าอ่านตาม French accent จะอ่านว่า “มาฮิ” ค่ะ ซึ่งคุณแม่ก็ให้การตอนรับเป็นอย่างดีโดยการหอมแก้มทั้งสองข้างตามวัฒนธรรมบ้านเขาค่ะ หลังจากนั้นเราก็ไปเที่ยวกันในเมือง Montreal โดยนั่งรถไฟใต้ดิน และเดินชมเมืองรอบๆ สถาปัตยกรรมของเมืองเป็นแบบร่วมสมัย บ้านเรือนต่ามีทั้งแบบสไตล์อังกฤษ และแบบฝรั่งเศส มองไปทางไหนก็สวยงามไปหมด แม้จะยังไม่คุ้นกับสำเนียงภาษาฝรั่งเศสของคนที่นี่แต่ก็เรียกได้ว่าไพเราะดีค่ะ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นหิมะค่ะ สุดยอดมากๆ หลังจากเดินชมเมืองเสร็จเราก็เดินทางต่อโดยรถยนต์อีกสามชั่วโมงเพื่อไปยังเมือง Quebec ค่ะ พอถึงบ้านก็ได้เจอคุณพ่อของนิดชื่อของท่านคือ “Martin” อ่านตาม French accent ว่า “มาแตงค์” และพี่ชายของนิดมีชื่อว่า “Jean-Thomas” อ่านตามแบบ Fremch accent ว่า “จอห์น โตม่ะ” ค่ะ ตอนแรกก็หนักใจเหมือนกันว่าจะสื่อสารกับครอบครัวได้รู้เรื่องหรือไม่ เพราะแน่นอนว่าดิฉันพูดภาษาฝรั่งเศสไม่ได้ แต่ก็เบาใจเพราะทั้งครอบครัวพูดภาษาอังกฤษภาษาที่สองได้ ซึ่งทั้งคุณพ่อ คุณแม่ พี่ชาย และนิด น่ารักมากๆ เป็นกันเองและดูแลเราเหมือนเป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัว หลังจากนั้นก็รับประทานอาหารเย็นร่วมกัน(คุณพ่อ คุณแม่ และพี่ชายนิดทำอาหารเก่งกันทุกคนเลยค่ะ ไม่ว่าคาวหวานจัดได้หมดดิฉันจึงอยู่ในโหมดenjoy eating ตลอดทริปเลยทีเดียว) คืนแรกนอนไม่หลับเลยค่ะ เพราะยังไม่ชินกันอาการหลงเวลา (ที่นั่นช้ากว่าที่ไทย 12 ชั่วโมง)
ชิวิตประจำวันที่โน่น ในวันธรรมดาดิฉันก็จะไปโรงเรียนกับนิดค่ะ เดินทางไปโรงเรียนโดยรถโดยสารประมาณ 30 นาที เพราะบ้านอยู่แถวชานเมือง (เขต Charlebourg อ่านว่า ชาลาบู)และโรงเรียนก็อยู่ในเมือง ขออธิบายถึงระบบการศึกษาของรัฐนี้สักนิดนะค่ะ ระดับประถมก็เหมือนเรา จากนั้นก็เรียนมัธยมอีก 4 ปี และจากนั้นก็จะเข้า pre-university collage (Post secondary education) หรือเขาเรียกกันว่า “Cégep” (ซีเจ็บ) อีก 2-3 ปี ถึงจะเข้ามหาวิทยาลัย และนิดของเราก็เรียนในระดับนี้ค่ะ Cegep มีชื่อว่า Francoise-Xavier-Garneau(ฟรองซัว ซาเวียร์ กาคนู) ดิฉันได้เข้าเรียนหลายคลาสเลยทีเดียว ได้แก่ คลาสภาษาฝรั่งเศสกับเพื่อนๆชาวเม็กซิโก คลาสภาษาอังกฤษกับนิด และคลาส Criminology เรียนเกี่ยวกับพวกอาชญากรรม ปัญหาสังคมน่ะค่ะกับเพื่อนๆนักเรียนที่เรียนเป็นตำรวจ (ทั้งคลาสภาษาอังกฤษกับคลาสอาชญากรรม คุณครูได้มอบหมายให้ดิฉันนำสนอpower point เกี่ยวกับประเทศไทยด้วย ดิฉันรู้สึกภูมิใจมากค่ะที่ทำให้เพื่อนในคลาสได้รู้จักประเทศไทยและเข้าใจเรามากขึ้น)และคลาสสังคม แต่ล่ะคลาสก็สนุกกันคนละแบบ และต้องใช้ความพยายามในการฟังเพราะเป็นภาษาฝรั่งเศสกันหมด แต่ล่ะคลาสก็เรียนครั้งล่ะ 3 ชั่วโมง ชั่วโมงครึ่งก็พักกันที ดังนั้นวันหนึ่งช่วงเช้าเขาก็เรียนกันวิชาเดียว บางวันมีเวลาว่างตอนเช้าประมาณ 2 ชั่วโมงก็จะมีนักเรียนไปนั่งอ่านหนังสือทำการบ้านในห้องสมุดกัน จากนั้นพักเที่ยงอีกชั่วโมงถึงเรียนตอนบ่ายอีกวิชา เนื้อหาการเรียนหลังจากที่ดิฉันมีโอกาสได้ไปนั่งกับนิดในวิชาเคมี ฟิสิกส์ และคณิตศาสตร์เขาจะเรียนเหมือนเราเลยค่ะ แต่จะใช้ความเข้าใจไม่เน้นให้จำสูตร คือพวกสูตรนี่จะมีรวมเล่มให้ค่ะ อ้อที่นี่เด็กจะห่อข้าวกันค่ะเพราะข้าวที่โรงอาหารแพงค่ะจานนึงก็ประมาณ 5 ดอลลาร์ ฟังดูน้อย ลองแปลค่าเป็นเงินไทยก็ 150 กว่าค่ะ ดังนั้นห่อข้าวและพวกขนมมาจากบ้านก็ช่วยประหยัดได้มากมายเลยค่ะ ซึ่งที่โรงเรียนก็จะมีไมโครเวฟและเครื่องอุ่นขนมปังตั้งไว้ตามโรงอาหารให้นักเรียนได้อุ่นข้าวกล่องกัน สิ่งที่ประทับใจคือนักเรียนที่นี่เขาเรียนกันสนุกสนานและจริงจังกันมากๆค่ะ ที่สนุกสนานคือได้เรียนสิ่งที่เขาสนใจกันจริงๆ ส่วนจริงจังก็อ่านหนังสือปั่นงานกันเอาเป็นเอาตาย ไม่ว่ายังไงก็ไปห้องสมุดกันอย่างเดียว
แต่ไม่ใช่ว่าทักษะทางด้านสังคมพวกเขาจะไม่ได้เรื่องนะค่ะ ทักษะทางด้านการสื่อสารทางสังคมก็ไม่ต่างจากเราๆนั่นล่ะค่ะ จัดปาร์ตี้ชิวๆกันก็ได้ ไม่ใช่ว่าจะเรียนกันเป็นเทพอย่างเดียวจนสื่อสารกับชาวบ้านไม่รู้เรื่อง หรือที่เราเรียกว่าเด็กเนิร์สนั่นล่ะ บางคนเห็นแต่งตัวซะเปรี้ยวยังกะหลุดมาจากแคทวอล์ค แต่เรื่องเรียนก็ไม่เป็นรองใครเลยเช่นกัน (ที่นี่ไม่มีเครื่องแบบค่ะ) และที่นี่ส่วนมากเพื่อนๆจะพูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่วกันแทบทุกคนเลยค่ะ ดังนั้นดิฉันจึงสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนใหม่ได้เร็วขึ้นเยอะ เพื่อนทุกคนก็น่ารักมากๆค่ะเป็นตัวของตัวเอง เป็นกันเอง และก็ดูแลดิฉันดีมากๆ ทั้งที่รุ่นเดียวกันแต่ดิฉันกลับรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นน้องเล็กที่มีพี่ๆดูแลซะอย่างงั้นไปฮ่าๆๆ... อ้อ!!!...วัยรุ่นที่นี่เขาเล่นกีฬากันเป็นประจำเลยค่ะ ไม่ว่าวัยรุ่นทั้งหญิงและชายเลย นอกจากนี้ยังไม่มีการแบ่งเพศว่ากีฬาอันนี้เหมาะกับชายหรือหญิง คือเล่นได้ทั้งหมด และเขาเล่นกันเพื่อความสนุกไม่ใช่เพื่อการเอาชนะค่ะ อย่างน้อยคือทุกคนมีกีฬาโปรดอยู่อย่างนึงเช่น ว่ายน้ำ วิ่ง ปั่นจักรยาน สกี รักบี้ ฟุตบอล ฯลฯ
อยากขอชมเชยเพื่อนสาวคนเก่งของดิฉันไปด้วยซะเลย นิดของดิฉันเรียน Natural science program (ก็เหมือนกับสายวิทย์ คณิตบ้านเรานั่นเอง) แถมยังเรียนหลักสูตร I.B. (world school)เรียนยากกว่าเด็กโปรแกรมปรกติหลายเท่าเลย แต่เธอไม่ใช่เด็กที่เอาแต่เรียนซะอย่างเดียวนะค่ะ เธอยังเป็นนักวิ่งซะด้วย (ตระเวนแข่งวิ่งหลายที่เลยร่วมทั้ง Cross country ด้วย) ทุกเย็นวันพุธและศุกร์เธอก็มีซ้อม เย็นวันอังคารก็ไปทำงานพิเศษเป็นครูสอนกายบริหารในน้ำ (งานพิเศษสำหรับเด็กที่นี่ไม่ได้มีแค่เด็กเสริฟอาหารเท่านั้นนะค่ะ คุณสามารถเป็นทั้งครูสอนว่ายน้ำ คนดูแลสโมสรกีฬา ครูสอนเล่นสกี ขึ้นอยู่กับความสามารถของคุณค่ะ)ทั้งเรียนหนัก เป็นนักกีฬา ก็ยังสามารถเข้านอนสามทุ่มได้ทุกวัน แถมการบ้านเสร็จด้วย แถมยังเป็นนักปาร์ตี้ตัวยง เธอเป็นยอดมนุษย์มากค่ะ แบ่งเวลาได้ยอดเยี่ยมมาก
สิ่งที่ประทับใจกับทริปครั้งนี้ แน่นอนค่ะมาเมืองหนาวทั้งทีต้องลองกีฬาแบบฤดูหนาวดูนั่นคือ สกีค่ะ เป็นครั้งแรกเลยที่ได้เล่น บอกตรงๆว่ายากมากๆ ถึงมากที่สุด หิมะมันลื่นมากๆ โดยได้เรียนกับคุณครูตัวต่อตัวเลย คุณครูเป็นชาวอังกฤษเลยสื่อสารกันง่าย เขาสอนตั้งแต่การหยุด การหมุน และท่าเบสิคต่างๆ ซึ่งไม่ง่ายเลยที่จะทำตาม ก็ผลคือชนต้นไม้สามที หน้ากระแทกหิมะเลือดออกจมูกนิดหน่อยค่ะ แต่ว่าเป็นประสบการณ์ที่สนุกมากปวดตัวไม่กี่วันฮ่าๆ นอกจากนี้เมืองเก่าของเมือง Quebec ก็สวยมากๆ สถาปัตยกรรมในเมืองเป็นแบบฝรั่งเศสศตวรรษที่ 18 ค่ะ สวยและโรแมนติกมากๆ สถานที่ขึ้นชื่อของเมืองเก่าคือโรงแรม Le Chateau Frontunac (เลอ ชาตูว์ ฟองตูนัค) เป็นโรงแรมที่ติดอันดับโลกนะค่ะ นอกจากไม่ว่าจะมองมุมไหนก็สวยมากๆ ไปซะทุกมัน ซึ่งตัวโรงแรมตั้งติดกับแม่น้ำ St.Lawrence นอกจากนี้ยังมีร้านรวงเรียกตังค์ในกระเป๋าเพียบ และสถานที่สำหรับเติมความรู้เช่นพวกพิพิธภัณฑ์ แกลลอรี่รูปวาดก็เยอะค่ะ ดังนั้นเมืองเก่าจึงเป็นที่ที่ดิฉันชอบแวะเวียนไปเสมอในยามว่างเพราะไม่ไกลจากชาลาบูมากนักและจากซีเจ็บก็เช่นกัน
ช่วงวันอีสเตอร์ดิฉันก็มีโอกาสได้ไปเยี่ยมคุณตาคุณยายกับนิดที่ต่างเมือง ท่านอาศัยอยู่ที่เมือง Sharebrooke ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองควิเบคสามชั่วโมงค่ะ(อ้อ ค่าตั๋วรถบัสทางไกลที่นี้แพงมากค่ะขนาดแต่ Sharebrooke ตั๋วรถไปกลับราคาเต็มก็ ประมาณเกือบ 1600 บาท) และได้รับประทานอาหารร่วมกับญาติๆของนิด ซึ่งทุกท่านน่ารักและให้การต้อนรับเราเป็นอีกหนึ่งในสมาชิกครอบครัวเลยค่ะร่วมทั้งเป็นครั้งแรกที่ได้เล่นเกมส์หาช็อคโกแลตครั้งแรกในวันอีสเตอร์ซึ่งผู้ใหญ่จะเอาช็อคโกแลตไปซ่อนแล้วให้เด็กหากันอย่างสนุกสนาน ซึ่งอาหารฝีมือคุณยายนิดอร่อยเหาะเลย เมือง Sharebrooke ก็สวยและเงียบสงบมากค่ะนอกจากนี้ยังได้มีโอกาสไปเที่ยวฟาร์มแกะอีกด้วย แกะน่ารักสุดๆ และมีอยู่วันนึงดิฉันได้มีโอกาสร่วมเล่นฟุตบอลร่วมกับเพื่อนๆของนิดทั้งชายและหญิงเลยบอกตรงๆ ว่าเป็นครั้งแรกที่ได้เล่น สนุกมากๆค่ะอาจมีเจ็บตัวบ้างแต่ว่าสนุกมากค่ะ เป็นการเล่นกีฬาที่ผ่อนคลายจริงๆ นอกจากนี้ก็นิสัยของชาวคิวเบคเกอร์ค่ะ(ชาวควิเบคเรียกตัวเองว่าคิวเบคเกอร์ค่ะ ไม่ใช่ชาวแคนาเดี้ยนอย่างที่เข้าใจกัน)หลังจากที่ได้คลุกคลีกับเพื่อนๆ สิ่งที่ดิฉันชื่นชอบคือเวลาที่มีคนทำอะไรผิดพลาด เช่นหกล้ม หรือตกเก้าอี้ หรือทำเรื่องน่าอายโดยไม่ตั้งใจอะไรทำนองนั้น เขาจะไม่หัวเราะเยาะกันค่ะ แต่จะเฉยหรือไม่ก็ถามว่าโอเคหรือเปล่า และเวลาเราทำอะไรก็ตามเพื่อนๆจะให้กำลังใจซึ่งกันและกันเสมอ และเขาจะไม่เอาข้อด้อยของคู่สนทนาขึ้นมาพูดแต่จะพูดข้อดีค่ะ วัฒนธรรมที่เป็นกันเองและการให้โอกาสคนอื่นๆ อ้อขอบอกว่าทางเดินเท้าที่นี่ปลอดภัยมากค่ะรถไม่มีทางชนเพราะเขาขับรถระวังมาก ถ้าเราเดินๆ อยู่ตรงทางที่รถจะเลี้ยวเข้าร้านเขาก็จะให้คนเดินผ่านไปก่อนอย่างใจเย็นปลื้มค่ะ
สิ่งที่ได้จากการเดินทางท่องเที่ยวครั้งนี้คือประสบการณ์นอกห้องเรียน การพึ่งพาตนเอง การเคารพในตนเอง ความเชื่อมั่นในตนเอง เพื่อนใหม่อีกเป็นโหล การรู้จักปรับตัวให้เข้ากับสังคมใหม่วัฒนธรรมใหม่ ทักษะในการใช้ภาษาอังกฤษเพิ่มมากขึ้นเพราะพูดทุกวันจนคล่องกว่าภาษาแม่ซะแล้วฮ่าๆ และได้ภาษาฝรั่งเศสติดตัวกลับมาอีกนิดหน่อย ได้รู้ว่าโลกมันกว้างขนาดไหน ปัญหาที่เราเคยเจอในชีวิตที่คิดว่าใหญ่นั่นเพราะเราอยู่ในสังคมเพียงสังคมเดียว ซึ่งพอไปเจอโลกกว้างยามกลับมามองสิ่งเหล่านั้นคิดว่ามันช่างเป็นปัญหาที่เล็กจริงๆ แถมเราไม่ได้เป็นวัยรุ่นคนเดียวที่ต้องเผชิญเรื่องแบบนั้นกว่าที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว วัยรุ่นชาติไหนเขาก็เป็นกันทั้งนั้น
สุดท้ายขอขอบคุณ คุณแม่ค่ะที่ไว้ใจในการตัดสินใจของดิฉันครั้งนี้กับการเดินทางไปคนเดียวอีกซีกโลก คุณครูสอนผู้ภาษาอังกฤษทุกท่านที่ทำให้ดิฉันสามารถนำทักษะภาษาอังกฤษไปใช้ในชิวิตประจำวันได้ ครอบครัวของ Joanie Roy ที่ดูแลดิฉันในทุกๆเรื่องตลอดที่อยู่ที่แคนาดา และขอขอบคุณ คุณครูแป๋มมากๆ ค่ะ ที่เปิดโอกาสให้ดิฉันได้มาเล่าเรื่องราวการผจญภัยในโลกกว้างใบนี้ของดิฉัน รวมทั้งเพื่อนๆใหม่ที่ได้พบเจอที่โน่นที่ช่วยนิดดูแลดิฉันอีกที หวังว่าดิฉันจะได้กลับไป ณ เมืองที่สวยงามแห่งนี้อีก “Je me souviens et j’taim Quebec!!”
อ่านแล้วนึกถึงเมื่อไปเรียนต่อตอนวัยรุ่น..อะไรๆก็มีความสุขไปหมดค่ะ..
เป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจนะคะ
น้องมณียาเป็นคนกล้าและเก่งมากค่ะ
สวัสดีค่ะ พี่ใหญ่ นงนาจ
สวัสดีค่ะ พี่นาง
สวัสดีค่ะ
ขอบคุณป้านงนาจเป็นอย่างสูงค่ะ ที่แวะมาอ่านประสบการ์ณการเดินทางครั้งนี้ของหนู
และขอขอบคุณคุณน้านางเช่นกันค่ะ สำหรับคำชมเชย หนูจะนำคำชมนี้มาเป็นส่วนหนึ่งในและใช้ในการดำเนินชีวิตค่ะ
และขอขอบคุณครูแป๋มอีกครั้งนะค่ะ ที่ได้ให้โอกาสหนูมาแบ่งปันประสบการ์ณ ณ ที่แห่งนี้ รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งค่ะ
สวัสดีค่ะ ครูแป๋ม
- อ่านแล้วอิ่มเอม จากประสบการณ์ของหนูเร..มณียา สาริบุตร.. ที่กล้า เข้มแข็ง และเรียนรู้การใช้ชีวิตในต่างแดน.... เป็นประสบการณ์ที่มีคุณค่าควรแก่การจดจำ....
- ชื่มชมลูกศิษย์ครูแป๋มจากใจจริงค่ะ
- มีความสุขทุกๆ วันนะคะ
สวัสดีจ๊ะ หนูเร คนเก่ง..
ขอบพระคุณค่ะ พี่มหา...ผู้ใจดี ที่มาอ่านและเป็นกำลังใจให้เยาวชนคนทำดี ขอบพระคุณอีกครั้งค่ะ
ขอบพระคุณนะคะ คุณบุษรา ที่มาอ่านบันทึกจากการเดินทางของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง
จะว่าไป.. ศิษย์เก่ง ครูเองก็เป็นปลื้ม... อยากส่งเสริมให้เขาทำดีแบบนี้ให้ยั่งยืน ดังนั้น สิ่งที่ต้องทำให้เด็กอันดับแรก คือ ต้องให้กำลังใจค่ะ
แป๋มเองก็ต้องขอบพระคุณ คุณครูใจดี ด้วยนะคะ ที่มาอ่านและให้กำลังใจอยู่เสมอๆ .... การกระทำใดๆก็ตาม หากได้รับกำลังใจที่ดี จากคนดีๆ... รับรอง สู้ตายค่า... สู้ๆๆๆ..
สวัสดีค่ะ คุณberger0123
สวัสดีคะ แรกๆที่เค้าบอกว่าจะไป จริงๆแล้วแบเป็นห่วง(มาก)เหมือนกันว่าจะรอดมั้ย
เพราะว่าเค้าไปต่างถิ่นต่างแดนแล้วอีกอย่าก็เป็นผู้หญิง ยิ่งไปคนเดียวยิ่งอันตราย
แต่ก่อนจะไปจำได้ว่าดิฉันถักผ้าพันคอให้เค้าผืนหนึ่ง เพราะเค้าบอกว่าช่วงนั้นอากาศหนาวมากๆ
นอกจากนั้นก็ไปเลือกซื้อของใช้ที่กัน ระหว่างที่เค้าอยู่นั่นก็โทรมาเล่าอะไรมากมายให้ฟัง
ทีแรกบอกจะไปเดือนเดียว แต่ไปๆมาๆกลับว่าไปเกือบสามเดือน
ช่วงที่เค้ากลับมา ก็เป็นช่วงไข้หวัด 2009 ระบาดพอดี โชคดีที่เค้าไม่เป็นอะไร
ก็ยอมรับว่าเค้าเก่งมากๆแต่อยากขอให้เรย์แข้มแข็งมากๆนะไม่ว่าจะเจออุปสรรคอะไรก็ตามที