ภาพของเด็กนักเรียนลูกคนชั้นกลางในเมือง ที่ตื่นเช้าขึ้นมาแต่งตัวไปเรียน กลางวันเรียนหนังสือที่โรงเรียน ตกเย็นกวดวิชา วันเสาร์-อาทิตย์ไม่กวดวิชาก็เล่นเกมทีวี ปิดภาคเรียนเข้า Summer camp ชีวิตไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมากนักนอกจากเรียนและเล่น คงเป็นที่ชินตาของใครต่อใครหลายคน
ในขณะเดียวกัน ยังมีเด็กชายจำนวนหนึ่ง ที่ไม่มีโอกาสแม้จะเรียนหนังสือ และหากพวกเขาไม่ขวนขวายหาโอกาสนั้น ชีวิตเขาก็จะยิ่งตกขอบลงไปเรื่อย ๆ การเข้ามาบวชเป็น “สามเณร” เป็นช่องทางหนึ่งที่พวกเขาจะเข้าถึง “โอกาสทางการศึกษา” ได้มีโอกาสเล่าเรียนหนังสือเพื่อจะเลื่อนฐานะทางสังคมให้สูงขึ้น
ท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฏก (ปอ.ปยุตโต) กล่าวไว้ว่า
“...การศึกษาของคณะสงฆ์ในปัจจุบันนี้ ทำหน้าที่อยู่ ๒ ประการ ประการแรก การศึกษาของคณะสงฆ์ทำหน้าที่เป็นสถาบันฝึกอบรมศาสนทายาท คือ ให้การศึกษาแก่พระภิกษุสามเณรที่จะทำหน้าที่เป็นผู้สืบทอดพระพุทธศาสนาต่อไป เป็นที่รู้กันทั่วไปว่าหน้าที่นี้เป็นหน้าที่หลัก และประการที่สอง เป็นทางผ่านของผู้ด้อยโอกาสในการศึกษา บทบาทด้านนี้เด่นชัดมาก แต่เพราะไม่มีการทำความเข้าใจและยอมรับกัน จึงกลายเป็นเรื่องที่เป็นปัญหามาก...
...เพราะในสังคมไทยนั้น การศึกษามีความหมายสำคัญอย่างหนึ่ง คือเป็นเครื่องเลื่อนสถานะทางสังคม ชาวบ้านยากจน ลูกชาวไร่ชาวนาถิ่นห่างไกล ไม่มีโอกาสที่จะเลื่อนฐานะในสังคมด้วยการศึกษาของรัฐ อย่างคนที่มั่งมีและอยู่ในถิ่นกลาง เขาก็เลยต้องอาศัยวัด ฉะนั้นวัดก็เลยมีลูกชาวบ้านมาบวชกันมาก อย่างนี้เราจึงเรียกว่าวัดได้ทำหน้าที่เป็นช่องทางการศึกษาของผู้ด้อยโอกาส...”
แม้ว่าสิ่งที่ท่านเจ้าคุณฯ จะกล่าวไว้ตั้งแต่ต้นปี ๒๕๓๑ ในปัจจุบันปัญหาดังกล่าวก็ยังคงอยู่ในสังคมไทย การบวชเรียนยังคงเป็นช่องทางของผู้ด้อยโอกาสที่จะเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา
จากการสำรวจนักเรียนโรงเรียนบาลีสาธิต วัดสวนดอก อ.เมือง จ.เชียงใหม่ พบว่า อาชีพของผู้ปกครองของสามเณรเป็นเกษตรกร ร้อยละ ๕๐.๕๑ และรับจ้างร้อยละ ๓๐.๓๐ รายได้ของผู้ปกครองต่อเดือน ระหว่าง ๑,๐๐๐ – ๓,๐๐๐ บาท ร้อยละ ๔๙.๑๑ ระหว่าง ๓,๐๐๐ – ๕,๐๐๐ บาท ร้อยละ ๓๓.๗๓ ต่ำกว่า ๑,๐๐๐ บาทมีถึงร้อยละ ๑๐.๐๖ และสูงกว่า ๕,๐๐๐ บาท มีเพียงร้อยละ ๑๒ เท่านั้น
“ถ้าไม่ได้บวชผมคงไม่ได้เรียนหนังสือ”
เป็นคำพูดจากสามเณรหลายรูปที่มีโอกาสได้พูดคุย
โรงเรียนพระปริยัติธรรมจึงเป็นแหล่งเดียวที่สามเณรซึ่งเป็นเด็กชายที่จะไขว่คว้าหาโอกาสให้ได้เรียนหนังสือ
....................................................................................................................
บาทวิถียามเช้าตรู่เช่นนี้ชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำฝนที่ตกโปรยปรายต่อเนื่องมาตั้งแต่เมื่อคืน สามเณรหลายรูปกำลังเดินฝ่าสายฝนเพื่อออกรับอาหารบิณฑบาตจากญาติโยมผู้ใจบุญ ฝนตกเช่นนี้ภิกษุสามเณรออกบิณฑบาตไม่มาก ทำให้สามเณรแก้วชัย มั่นใจว่าแม้จะต้องเดินฝ่าสายฝนอันหนาวเหน็บ แต่น่าจะมีอาหารเพียงพอสำหรับการขบฉันในเช้านี้
กลับจากบิณฑบาต รีบเปลี่ยนสบง (ผ้านุ่ง) จีวร (ผ้าห่ม) ด้วยความหนาวเหน็บ ชุดที่นุ่งห่มออกบิณฑบาตเปียกแฉะไปด้วยน้ำฝนถูกนำไปซักแล้วนำมาผึ่งไว้ในที่โล่งภายในอาคาร ผ้าที่นำมาผลัดใหม่ก็ยังแห้งไม่สนิท ด้วยฝนที่ตกพรำติดต่อกันมาหลายวัน เขามีผ้าสบง จีวรไม่กี่ผืน การนุ่งห่มผ้าที่มีคราบเชื้อราในหน้าฝนเช่นนี้เป็นเรื่องปกติ
สามเณรแก้วชัย แซ่ท้าว วัย ๑๙ ปี ปัจจุบันเรียนอยู่ชั้นปี ๑ ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ วิทยาเขตเชียงใหม่ ซึ่งเป็นสถาบันอุดมศึกษาของคณะสงฆ์
เขาอาศัยและเรียนอยู่ในวัดแห่งหนึ่ง วัดที่ให้เขาพักพิงและเรียนหนังสือนั้นมีภิกษุสามเณรอยู่รวมกันกว่า ๔๐๐ รูป ทางวัดมีเพียงอาหารเพลเท่านั้นที่เลี้ยง ส่วนมื้อเช้าเป็นเรื่องที่เขาและภิกษุสามเณรรูปอื่นจะต้องช่วยตนเอง
“ฝนตกอย่างไรก็ต้องออกไปบิณฑบาต ถ้าไม่ไปก็ไม่รู้จะเอาที่ไหนฉัน วันไหนไม่ได้อาหารก็จะไม่มีฉัน รอฉันเพลครั้งเดียว”
สามเณรแก้วชัย แซ่ท้าว เดิมเป็นเด็กชายชาวม้ง ภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านมณีพฤกษ์ ต.งอบ อ.ทุ่งช้าง จ.น่าน อาศัยอยู่กับแม่และพี่สาว พ่อเขาเสียชีวิตตั้งแต่ยังจำความไม่ได้
ความลำบากของครอบครัวทำให้พี่สาวไม่ได้เรียนหนังสือ แม้ว่าในหมู่บ้านจะมีโรงเรียนประถมศึกษาตั้งอยู่ เพราะต้องออกไปทำไร่เป็นเพื่อนแม่ ในบรรดาพี่น้องสองคนเด็กชายแก้วชัยจึงเป็นคนเดียวที่ได้เรียนหนังสือ
เรียนยังไม่ทันจะจบชั้น ป.๖ ซึ่งเป็นการศึกษาขั้นสูงสุดของโรงเรียนในหมู่บ้าน ก็ตามเพื่อน ๆ ในหมู่บ้านที่ถูกชักชวนจากพระรูปหนึ่งไปบวชเป็นสามเณรเรียนที่โรงเรียนพระปริยัติธรรมแห่งหนึ่งในจังหวัดปทุมธานี
“ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไร เห็นเพื่อน ๆ ไปกันเยอะก็คิดสนุกตามเขาไป ตอนแรกแม่ไม่ให้ไปร้องห่มร้องให้ เพราะเป็นลูกชายคนเดียว แต่ก็ทนรบเร้าไม่ไหวจึงยอมให้ไป”
อยู่ที่นี่ชีวิตไม่ลำบากนัก เช้ามีรถมารับไปบิณฑบาต นอกจากได้อาหารมาฉันแล้วก็ยังได้อาหารแห้งและเงินไว้จับจ่ายใช้สอย และเมื่อได้กลับบ้านปีละครั้งก็จะนำอาหารแห้งและเงินที่ได้จากการบิณฑบาตกลับไปให้แม่ที่อยู่บ้าน เขาเคยให้เงินแม่ถึง ๘๐๐ บาท เมื่อกลับไปบ้าน
แม้ความเป็นอยู่จะไม่ลำบาก เนื่องจากมีญาติโยมคอยให้ความอุปถัมภ์ปัจจัยสี่ แต่ในด้านการเรียนการสอนค่อนข้างมีปัญหา วัสดุการเรียนการสอนต่อนข้างขาดแคลน รวมทั้งห้องเรียนก็ไม่เพียงพอ ต้องไปนั่งเรียนใต้ต้นไม้บ่อยครั้ง ครูก็มีน้อยมาสอนบ้างไม่มาบ้าง
เรียนจนจบ ม.๓ สามเณรแก้วชัย ไม่ได้คิดจะลาสิกขาเหมือนเพื่อนคนอื่น เนื่องจากเขายังอยากจะเรียน แต่ฐานะทางบ้านไม่อำนวย หลังจากเขาไปเรียนไม่นานนักแม่ก็แต่งงานใหม่แล้วย้ายไปอยู่กับสามี พี่สาวที่มีคนเดียวก็แต่งงานแล้วย้ายไปอยู่จังหวัดตาก ระยะหลังเมื่อเขากลับไปบ้านก็ไปอาศัยอยู่กับลุง ซึ่งก็ไม่ได้ช่วยเหลือเขามากนัก
“ผมไม่อยากกลับบ้าน กลับไปก็ไม่มีใคร”
เขาย้ายมาอยู่ในวัดศรีโสดา ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ เพื่อเรียนต่อชั้น ม.๔ ตามคำแนะนำของพระรูปเดิมที่พาเขาไปเรียนที่ จ.ปทุมธานี วัดแห่งใหม่แม้ความเป็นอยู่จะไม่สะดวกสบายเหมือนที่เดิม แต่สิ่งที่ชดเชยกันได้คือคุณภาพการเรียนการสอนที่ดีกว่าแห่งเดิม ความเอาใจใส่ในด้านการศึกษาของเจ้าอาวาสและครูบาอาจารย์ ทำให้เขาเรียนจนจบ ม.๖ และได้เรียนต่อระดับอุดมศึกษาในที่สุด
“ถ้าไม่ได้บวชคงไม่มีโอกาสได้เรียน คงจบอย่างมากแค่ ป.๖ และคงไม่มีใครส่งผมเรียนได้”
....................................................................................................................
โรงเรียนพระปริยัติธรรม เป็นการ "ขยายโอกาส" หรือการ "สร้างโอกาส" ทางการศึกษา อีกรูปแบบหนึ่ง
ที่คุ้มค่า และ แก้ปัญหาการศึกษาได้อย่างดี และ ตรงจุด ครับ
เจ้าตัวอ้วนที่บ้าน เช้าขึ้นมาก็ถามแม่ วันนี้มีอะไรกิน
อยากให้บวชเณรบ้างจัง จะได้รับรู้รสชาติการต้องพึ่งตัวเอง
คนที่มานะเรียนด้วยตัวเอง เมื่อเติบใหญ่มักเป็นคนที่มีคุณภาพ ไม่เหมือนคนที่พ่อ-แม่บังคับให้เรียน ออกนอกลู่นอกทางเสียเยอะ
เช่นเดียวกันครับหนานเกียรติ ถ้าไม่ได้เรียน ปอเนาะ คงไม่ได้เรียนหนังสือ (โรงเรียน ฟัรดูอีน)
อาจารย์ ขจิต ฝอยทอง ครับ
มายืนยันคล้ายกับว่าได้ผ่านประสบการณ์บวชเรียนมา ???
คนที่ผ่านการบวชเรียนในบ้านเรามีเยอะเลยนะครับที่ทำคุณประโยชน์ให้สังคม คงไม่ต้องเอ่ยชื่อ...
รัฐได้ประโยชน์เต็ม ๆ แต่ลงทุนน้อยมาก
สามเณรในรูปนอกจากน่าตาดีแล้วดูท่าทางมีแวว...ด้วยนะครับ
หน้าตาคุ้น ๆ นะนี่...
ขอบคุณที่เข้ามาทักทายและแสดงความเห็นครับ
.....
สวัสดีครับ อ. small man
ถูกต้องที่สุดครับ โรงเรียนพระปริยัติธรรมเป็นการ "ขยาย/สร้างโอกาส" ทางการศึกษา อีกรูปแบบหนึ่ง
สร้างคนให้สังคมให้ประเทศโดยไม่ได้รับการเหลียวแลทั้งรัฐและคณะสงฆ์
ดูผิวเผินเหมือนว่าคณะสงฆ์จะใส่ใจนะครับ แต่ไม่จริงเลย ทรัพยากรของสงฆ์ถูกนำมาใช้เรื่องการจัดการศึกษาน้อยมาก
วงการพระยังนิยมสร้างโบสถ์มากกว่าสร้างคนครับ
.....
สวัสดีครับ พี่ ครู ป.1
เจ้าตัวอ้วนที่บ้าน หากได้มีโอกาสบวชเณรเพียงแค่ภาคฤดูร้อนสักปีละคร้ัง...จะเป็นการฝึกฝนพัฒนาตนที่หาไม่ได้จากระบบการศึกษาในปกติ
เพียงแต่ต้องเลือกสถานที่ที่จะส่งไป...
ถ้าต้องการคำแนะนำ เอ่ยปากมาเลยนะครับมิต้องเกรงใจ
พอจะมีความรู้เรื่องนี้อยู่บ้าง พอที่จะให้คำปรึกษาได้ครับ
.....
สวัสดีครับ พี่ วอญ่า-ผู้เฒ่า-natachoei--
ผมมีเพื่อนและรุ่นพี่หลายคนที่จบการศึกษาจากโรงเรียนสอนศาสนา แต่ละคนศาสนาอยู่ในหัวใจจริง ๆ ครับ
ผมสนใจการเรียนรู้ศาสนาของพี่น้องมุสลิมมาก ว่าทำไมจึงสามารถถ่ายทอดให้ศาสนาเข้าไปอยู่ในหัวใจคนได้อย่างแนบแน่น
ย่อรูปภาพ
http://gotoknow.org/blog/katti/255954
ตกแต่งบล็อก
http://gotoknow.org/blog/katti/199894
ย่อรูปแต่งรูปพี่ดาวคนสวยใจดี
· ไปที่เมนูของ muangmit
· ไปที่ไฟล์อัลบัม
· กดนำไฟล์ขึ้น
· browse หาภาพจากเครื่อง
· กดบันทึก
· ไปที่บันทึก
· กดแก้ไขบันทึก
· ข้างล่างมีเขียนว่า
· แทรกรูปภาพ
· กดที่แทรกภาพ
· จะเห็นภาพปรากฏ
· กดที่ภาพ
· ภาพจะไปอยู่ที่บันทึก
· กดบันทึกเก็บ
· เดี๋ยวจะตามมาดูนะครับ
ขอบคุณครับ
เป็นแล้วครับ เยี่ยมชมภาพเฌวาได้เลยครับ
เจริญพรคุณโยมหนานเกียรติและผู้อ่านทุกท่าน
เจริญพร
นมัสการครับท่านอาจารย์
ความเป็นอยู่ของพระเณรทุกวันนี้ดีขึ้นกว่าเดิมเยอะครับ
ญาติโยมนิยม/ให้ความสนใจทำบุญกับพระเณรที่ศึกษาเล่าเรียนมากขึ้น
แต่เท่าที่ผมสังเกตุมาระยะห้าหกปีหลังนี้จำนวนพระเณรที่บวชเรียนลดลงอย่างเห็นได้ชัด
การบวชสามเณรภาคฤดูร้อนที่เคยมีนักเรียนเข้าสู่ ร.ร.พระปริยัติก็ลดลง โรงเรียนพระปริยัติธรรมต้องส่งคนขึ้นไปหาเด็กชาวเขาในพื้นที่ห่างไกลมาบวชเรียน
มหาวิทยาลัยสงฆ์ต้องปรับตัว เริ่มรับฆราวาสเข้ามาเรียน
แหะ แหะ ที่ท่านอาจารย์ถามเรื่องเด็กชายเด็กหญิงนี้คงหยอกกันเล่นใช่ไหมครับ
ขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่แวะเข้ามาเยี่ยมชมและแสดงความเห็นครับ