ภายในห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ซึ่งเป็นกุฏิที่พักของสามเณร ๕ รูป ที่พวกเขาอยู่ร่วมกันมากว่า ๒ ปี
เกือบเที่ยงคืนในขณะที่เพื่อน ๆ จำวัด (นอนหลับ) สามเณรบุญทอง ราตรีอำไพ ยังคงอาศัยแสงสว่างจากเทียนเล่มเล็กอ่านหนังสือโดยไม่ใช้แสงไฟจากหลอดนีออนภายในห้อง ด้วยเกรงว่าจะรบกวนการนอนของเพื่อนร่วมห้อง การอ่านหนังสือเกือบถึงเที่ยงคืนเป็นกิจวัตรของเขา ซึ่งส่งผลให้การเรียนค่อนข้างดี เทอมที่ผ่านมาเขาทำเกรดเฉลี่ยได้ถึง ๓.๐๕ เป็นอันดับต้น ๆ ของห้อง
สามเณรบุญทอง ราตรีอำไพ เป็นชาวปกาเกอะญอ อายุ ๑๘ ปี มาจากบ้านหนองแดง ต.วัดจันทร์ อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ มีพี่น้อง ๔ คน เขาเป็นคนที่สาม บรรพชาเป็นสามเณรเมื่อ ๒ ปีก่อน หลังจากจบชั้น ม.๓ จากโรงเรียนขยายโอกาส ในตำบลที่เขาอยู่ โดยการแนะนำของพระสงฆ์รูปหนึ่งที่จาริกเข้าไปเผยแพร่ธรรมในหมู่บ้าน
สามเณรบุญทอง มีชีวิตที่ค่อนข้างลำบากไม่ต่างจากสามเณรรูปอื่น ๆ ที่มาอาศัยใบบุญวัดศรีโสดา ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงเรียนสมเด็จพระพุทธชินวงศ์
“แม่ผมตายเมื่อหลายปีก่อน พ่อก็เพิ่งมาตายเมื่อปีที่แล้ว ผมจะบวชเรียนไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะจบปริญญาตรี เพราะถ้าสึกออกไปก็คงไม่มีใครส่งผมเรียน พี่สาวก็แต่งงานแล้ว พี่ชายยังไม่มีงานทำ...”
แม้ว่าวัดศรีโสดาที่เอื้อเฟื้อเป็นทั้งที่พักและที่เรียน แต่วัดก็ไม่มีกำลังพอที่จะให้ความช่วยเหลือทุกอย่างได้ เขาเองยังต้องพึ่งตัวเองในหลายเรื่อง ทั้งวัสดุอุปกรณ์การเรียนอย่างเช่นสมุด ปากกา ดินสอ รวมไปถึงข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวไม่ว่าจะเป็นสบู่ ยาสีฟัน ผงซักฟอก เขาต้องหาเอง ซึ่งแน่นอนว่าต้องใช้เงินจัดซื้อมาทั้งสิ้น
เนื่องจากพ่อแม่ไม่มี พี่สาวแต่งาน พี่ชายไม่มีงานทำ เขาจึงไม่ได้รับความช่วยเหลือจากใคร ดีที่ว่าการบิณฑบาตทุกเช้า บางครั้งญาติโยมนอกจากจะใส่อาหารแล้วก็ยังใส่เป็นเงินบ้าง
ช่วงปิดภาคเรียนในขณะที่เพื่อน ๆ สามเณรรูปอื่นกลับบ้าน เขาเลือกที่จะไม่กลับบ้านแต่จะอยู่ช่วยทางวัดจัดกิจกรรมบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อน ซึ่งหลังสิ้นสุดงานทางวัดก็จะมอบเงินให้จำนวนหนึ่งให้ แม้ไม่มากแต่ก็พอที่จะเป็นค่าใช้จ่ายในเรื่องที่จำเป็นได้เกือบทั้งปี
เนื่องจากวัดที่สามเณรบุญทองอาศัยอยู่ มีข้อจำกัดที่ไม่สามารถทำอาหารเช้าเลี้ยงพระ เณรที่มีเกือบ ๔๐๐ รูปได้ การบิณฑบาตจึงเป็นเพียงช่องทางเดียวของเขาจะได้อาหารเช้ามาขบฉัน อาหารที่ได้จากการบิณฑบาตก็ไม่แน่นอนบางวันก็ได้ บางวันก็ไม่ได้ วันไหนที่ไม่ได้ก็จะนำอาหารแห้งที่ได้จากการบิณฑบาตเก็บไว้นำมาฉัน หากไม่มีก็ไม่ได้ฉัน รอไว้ฉันเพลครั้งเดียวที่ทางวัดจัดเลี้ยง
หลายครั้งเขาต้องทนฉันอาหารบูดอย่างไม่มีทางเลือก ด้วยเส้นทางที่เขาไปบิณฑบาตนั้น จะมีแม่ค้านำอาหารใส่ถุงเป็นชุดแล้ววางจำหน่ายแก่ผู้มีจิตศรัทธาซื้อไปใส่บาตร ซึ่งบ่อยครั้งที่เขาได้อาหารบูดซึ่งเป็นอาหารที่เหลือจากการจำหน่ายในวันก่อน ๆ
สามเณรบุญทองยังมีน้องชายอีกหนึ่งอาศัยอยู่กับพี่สาวคนโต ขณะนี้เรียนหนังสืออยู่ในหมู่บ้าน เขาเคยฝากอาหารแห้งที่ได้จากการบิณฑบาตไปให้น้องบ่อย ๆ ปีหน้าจะจบ ม.๓ ก็จะชวนน้องมาบวชเรียนเช่นเดียวกับเขา เพราะหากไม่มาบวชเรียนเหมือนเขาก็คงไม่มีโอกาสได้เรียน
เขาเป็นคนตั้งใจและมุมานะในการเรียน เมื่อถามถึงอนาคต
“ผมอยากเป็นครู อยากมีฐานะดี จะได้ช่วยพี่ช่วยน้อง...”
..........
เสียงกริ่งดังจากอาคารสี่ชั้นภายในวัดสวนดอก อ.เมือง จ.เชียงใหม่ อาคารดังกล่าวเป็นอาคารเรียนของโรงเรียนบาลีสาธิต เปิดสอนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายแก่พระภิกษุสามเณร
สิ้นเสียงกริ่งสักครู่ภิกษุสามเณรทยอยเดินออกจากห้องเรียนลงมายังด้านล่างอาคาร บ้างก็เดินเข้าโรงอาหารที่อยู่ด้านหน้าทางด้านขวาของตัวอาคาร บ้างก็เลือกโต๊ะหินอ่อนใต้ร่มไม้ด้านหน้าอาคารด้านซ้าย เพื่อฉันภัตตาหารเพล
สามเณรบันเทิง กิจพูเฟื่อง สามเณรอุปการ ปูแป สามเณรอดิสร งามสกุลแก้ว และสามเณรปรีชา ปู่ไหม นักเรียนชั้น ม.๕ และ ม.๖ นั่งล้อมวงที่ม้าหินอ่อนฉันอาหารที่ได้จากบิณฑบาตเมื่อเช้า
สามเณรทั้ง ๔ รูป เป็นชาวปกาเกอะญอ อายุไล่เลี่ยกันมาจากบ้านเมืองน้อย ต.เวียงเหนือ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน ทุกรูปจบชั้น ม.๓ ซึ่งเป็นการศึกษาขั้นสูงสุดจากโรงเรียนในหมู่บ้าน
ทั้ง ๔ รูปเรียนอยู่ชั้น ม.๕ และ ม.๖ สายวิทย์ - คณิตฯ ผลการเรียนค่อนขางดี หากพวกเขาไม่มีโอกาสบวชเรียน ศักยภาพด้านการศึกษาก็จะสิ้นสุดลง
โชคดีที่พระสงฆ์ในหมู่บ้านเห็นศักยภาพนี้ จึงได้แนะนำให้มาบวชเรียนต่อ เดิมได้แนะนำให้ไปเรียนต่อที่วัดศรีโสดา แต่เนื่องจากพวกเขาต้องการเรียนสายวิทย์ฯ ซึ่งที่วัดศรีโสดาไม่ได้เปิดสอนสายนี้ จึงตัดสินใจมาเรียนที่โรงเรียนบาลีสาธิต วัดสวนดอก หลังจากมาสมัครแล้วทางโรงเรียนได้จัดให้ไปพักในวัดแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนมากนัก ใช้เวลาเดินเท้าราว ๔๐ นาที
“พวกผมเดินมาโรงเรียนทุกวัน ตอนเช้าเดินมา ตอนเย็นก็เดินกลับ ใช้เวลาเดินประมาณ ๔๐ นาที เดินในเมืองไม่เหมือนกับเดินบนดอย ต้องคอยระวังรถ ต้องเดินหลบคน”
วัดที่เขาอยู่เป็นวัดเล็ก ๆ แห่งหนึ่งอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รอบวัดเป็นชุมชนขนาดใหญ่ ชาวบ้านละแวกนี้มีกำลังเพียงพอที่จะอุปถัมภ์ปัจจัยสี่แก่พระภิกษุสามเณรที่จำพรรษาอยู่ราว ๑๐ รูปอย่างไม่ขัดสนนัก
เจ้าอาวาสเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่ ซึ่งตั้งอยู่ที่เดียวกันกับโรงเรียนบาลีสาธิตที่สามเณรทั้ง ๔ เล่าเรียนอยู่ จึงเป็นความโชคดีของเหล่าสามเณรที่เข้าอาวาสค่อนข้างเข้าใจและใส่ใจในการศึกษาเล่าเรียนของพระภิกษุสามเณรภายในวัด
แม้ว่าโรงเรียนจะไม่เรียกเก็บค่าเล่าเรียน แต่ก็ยังมีค่าใช้จ่ายบางอย่างที่พวกเขาต้องรับผิดชอบด้วยตนเองอีกหลายเรื่อง เช่น ค่าเรียนคอมพิวเตอร์ ที่นักเรียนจะต้องเสียเงินลงทะเบียนเทอมละ ๒๐๐ บาท
เงินที่นำมาใช้จ่ายในการศึกษาเล่าเรียนทั้ง ๔ รูป ไม่ได้รับจากทางบ้าน ด้วยความขัดสนของครอบครัว พวกเขาต้องเก็บเล็กผสมน้อยเงินที่ได้รับจากการบิณฑบาตบ้าง จากการไปสวดศพบ้าง ในช่วงที่ไม่มีจริง ๆ หลวงพ่อใจดีก็จะให้การช่วยเหลือเป็นครั้งคราว
“หลวงพ่อใจดี เวลาไม่มีของไปขอก็ให้ บางครั้งจะกลับบ้านไม่มีเงิน หลวงพ่อก็ให้เงินเป็นค่ารถ”
สำหรับการเรียนการสอนในโรงเรียน แม้ว่าครูบาอาจารย์จะเอาใจใส่อย่างดี แต่ด้วยความขัดสนหลายประการทำให้เขาได้เรียนรู้ไม่เต็มที่นัก
“อาจารย์เอาใจใส่นักเรียนดี แต่อุปกรณ์การเรียนไม่ค่อยมี บางครั้งก็เรียนแต่หนังสือ ไม่ค่อยได้ทดลอง เคยไปที่โรงเรียนอื่นที่เป็นฆราวาส เขามีเครื่องมือเยอะแยะ ได้ทดลองสิ่งที่เรียนหลายอย่าง...”
ต่อคำถามอนาคตของพวกเขา
“ผมอยากเรียนสูง ๆ ชีวิตจะได้ไม่ลำบากเหมือนที่ผ่านมา”
“ถ้าผมมีงานทำ พ่อแม่และน้อง ๆ ที่อยู่ทางบ้านก็จะได้สบาย”
..........
สวัสดีค่ะ แวะมาอ่านบทความดี ๆ
ปกติแอบอ่านอย่างเดียว เพิ่งจะมีโอกาสได้สมัครสมาชิกค่ะ
ชอบอ่านเรื่องเล่าของพี่หนานเกียรติ อ่านแล้วมองเห็นภาพได้ค่อนข้างชัดเจนเลยทีเดียว
สวัสดีครับ คุณวางแพลน
ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมชม
ขอบคุณที่ติดตามอ่านบันทึกของผมครับ
ขอบคุณอีกคร้ังสำหรับคำชมครับ
สวัสดีค่ะ แวะมาอ่านบทความดี ๆ
ปกติแอบอ่านอย่างเดียว เพิ่งจะมีโอกาสได้สมัครสมาชิกค่ะ
ชอบอ่านเรื่องเล่าของพี่หนานเกียรติ อ่านแล้วมองเห็นภาพได้ค่อนข้างชัดเจนเลยทีเดียว
* เนื้อเรื่องสะท้อนภาพของสังคมที่พึ่งพาวัดเป็นพื้นฐานสำคัญของชีวิตนะคะ
* จำได้ว่าหลายปีมาแล้วที่เคยขึ้นไปทำบุญที่วัดถ้ำตับเตาในอ.ร้องกวางจ.เชียงใหม่กับเพื่อนๆ..เจ้าอาวาสท่านบอกบุญเรื่องซ่อมอาคารที่ทรุดโทรมของโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนของสมเด็จย่า..เหตุผลของพระคือ อยากให้ชาวบ้านหันมาสนใจวัด..พระท่านต้องการอนุเคราะห์ช่วยเหลือทางศีลธรรมแก่เด็กๆลูกของชาวบ้านให้เป็นคนดี...ไม่ใช่อยู่กินกันไปวันๆๆ..
* เมื่อโรงเรียนซ่อมแซมเสร็จ หลายเดือนต่อมา พระท่านมีหนังสือมารายงานโยมว่า พ่อแม่พาเด็กๆมาเข้าวัดมากขึ้น..และทุกวันปีใหม่ เด็กๆและครูส่งบัตรอวยพรมาให้โยมทางกรุงเทพอย่างสม่ำเสมอค่ะ..
พี่นงนาท ครับ
ผมเคยสอนหนังสืออยู่ในโรงเรียนพระปริยัติธรรมเกือบสองปีครับ
จริง ๆ แล้ว โรงเรียนแบบนี้มีศีกยภาพเยอะเลย เช่น ขยายโอกาส/สร้างความเท่าเทียมทางด้านการศึกษา, การสร้างศาสนทายาทที่เข้มแข็ง ฯลฯ
แต่โรงเรียนเหล่านี้ก็ไม่ได้รับความเหลียวแลทั้งจากรัฐและคณะสงฆ์
น่าเห็นใจมากครับ
สวัสดีค่ะ
ค่าเรียนคอมพิวเตอร์เทอมละ 200 บาทเรียกว่าอยากให้ได้เรียนจริงๆค่ะ..สังคมเราขาดความสมดุลยเสมอเลย..คนมีฐานะก็ไม่อยากจะเรียน..คนไม่มีก็อยากจะศึกษาเล่าเรียนคนเรียนดีทำไมต้องลำบากก่อนด้วยก็ไม่รู้..หรือว่ากำลังถูกทดสอบจากธรรมชาติในเรื่องของความอดทน..รอดตรงนี้ไปได้ถือว่าสอบผ่านความเป็นผู้ใฝ่รู้ใฝ่เรียนหรืออย่างไร..
สวัสดีครับ ครู อิงจันทร์
ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมเยียนครับ
อาจเป็นอย่างที่พี่อ้อยบอกก็ได้ครับว่านั่นอาจเป็นบทพิสูจน์...
ผมเพียงคิดว่า โรงเรียนเช่นนี้มีศักยภาพมากมายที่จะทำประโยชน์ให้สังคมดดยลงทุนอีกไม่มาก
.....
สวัสดีครับ พี่ อ้อยเล็ก
เป็นจริงอย่างที่พี่ว่าครับ ...
และพยายามคิดเข้าข้างว่าสามเณรเหล่านั้นกำลังถูกพิสูจน์
แต่อีกใจนึงก็คิดว่าพิสูจน์กันแรงไปหรือเปล่า มีคนหล่นหายไปเพราะไม่ไหวก็มาก
เจริญพรคุณโยมหนานเกียรติและผู้อ่านทุกท่าน
เจริญพร
นมัสการครับพระอาจารย์
ผมมีความรู้สึกว่าพระก็อึดอัดใจไม่น้อยที่จะพูดคุยเรื่องนี้กับญาติโยม
ไม่ใช่แค่เรื่องอาหารใส่บาตร รวมไปถึงถังสังฆทานที่ใช้อะไรแทบไม่ได้เลย
เห็นด้วยกับท่านอาจารย์อย่างยิ่งเลยครับว่าชาวบ้านชาวช่องไม่ค่อยเห็นความสำคัญในการสนับสนุนการศึกษาของพระเณร ญาติโยมบริจาคส่วนใหญ่ก็ด้วยวัตถุประสงค์การสร้างวัตถุ ไม่สนใจเรื่องสร้างคน บ้านเราจึงมีวัดร้างเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ครับ
ขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่เข้ามาแลกเปลี่ยนครับ
อาจารย์ธนิตย์ สุวรรณเจริญ ครับ
เห็นด้วยกับที่อาจารย์เสนอมาครับ
เรื่องการศึกษาเรื่องสาธารณสุข ซึ่งเป็นเรื่องคุณภาพชีวิตของประชาชน ที่รัฐควรต้องเร่งดำเนินการ
แต่สองเรื่องนี้ผลประโยชน์น้อยครับอาจารย์ เขาเลยไม่ค่อยจะสนใจ
ไปทำในเรื่องไร้สาระแต่มีผลประโยชน์มาก ๆ ดีกว่า
เดี๋ยวไม่มีทุนเลือกต้ังสมัยหน้า