ผมนำข้อความส่วนหนึ่ง ของ อ.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ซึ่งเป็นส่วนทิ้งท้ายของปาฐกถาสืบ นาคะเสถียร มาโพสต์ใน status ของผมบน Facebook
(ภาพจาก http://www.seub.or.th/)
ข้อความนั้นมีอยู่ว่า
มันจะมีประโยชน์ อะไรที่เราจะออกจากเมืองไปปลูกต้นไม้คนละ 2-3 ต้น
แล้วกลับมาเอารัดเอาเปรียบกันผ่านกลไกตลาด กลับมาเผาผลาญพลังงาน
เพิ่มภาวะโลกร้อนด้วยวิถีชีวิตแบบบริโภคนิยม
(อ่านปาฐกถาได้ที่นี่ครับ)
เพื่อนพ้องน้องพี่เข้ามาแสดงความคิดเห็น แม้ไม่มาก แต่ก็น่าสนใจ
Pu Maeklongcamp : โห พี่ เอางั้นเลยเหรอ
Kwang Pradhana อย่างน้อยก็อาจมีประโยชน์สำหรับคนที่เขาไปปลูก เพราะเขาสบายใจขึ้นที่ได้ช่วยนิดนึง เพราะยังไงชีวิตที่ไม่สร้างภาวะโลกร้อนทุกวันนี้มันจะมีอยู่สักกี่ชีวิตอ่ะ
Jatuporn Wisitchotiaungkoon ผมเห็นด้วยกับ อ.กวางนะครับ อย่างน้อยก็ดีที่ได้คิด เเละได้ทำ เเค่เพียงน้อยก็ยังดีเนาะ
Chadinladah Wetchagoon ดูไร้สาระแต่รู้สึกดีก้อทำไปเห้อะ
วีระพงษ์ กังวานนวกุล น่าคิดนะ ไปเป็นมลภาวะว่างั้น พูดถึงก็มีทางอื่นเยอะแยะนะว่ามั้ย คือต้องคิดขั้นตอนหลายๆชั้นน่ะ
Phrae Sirisakdamkoeng ปลูกต้นไม้แค่ต้นเดียวก็ดีมากพอแล้ว อย่างน้อยที่สุดก็เป็นความหวังว่าวันข้างหน้า เชวา และ แพรวา (หลานเกด) จะมีโอกาสได้เห็นความงดงามของธรรมชาติบ้างค่ะ
ท้ายที่สุดภรรยาผม ก็ทิ้งท้ายว่า
Kwang Pradhana ^^ คนตั้งสเตตัส ไม่ค่อยออกความเห็นน่ะ มาเกาให้คนอื่นเขาคัน แล้วไม่ยอมแลกเปลี่ยนความคิด มันน่า...
ผมจึงออกความเห็นมาดังนี้ครับ
ความเห็นนี้เมียสั่งมาให้เขียนครับ หลังจากเปิดประเด็นแล้วมีคนคันจำนวนไม่น้อย... ผมมีความเห็นอย่างนี้ครับ
ข้อความดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของปาฐกถาของ อ.เสกสรรค์ ซึ่งมีบริบทของข้อความจำนวนมากที่ผมมิได้ยกมากล่าวถึง
เป็นธรรมดาของปาฐกถาที่องค์ปาฐกต้องถ้อยคำมาสะกดคนฟัง กระตุ้นให้คนฟังได้ฉุกคิด ตั้งคำถามต่อสิ่งที่เป็นอยู่ ผมคิดว่านี่คือเบื้องหลังของข้อความส่วนหนึ่งในปาฐกถาของอาจารย์
เกี่ยวกับข้อความที่ยกมา ผมพิจารณาแล้วก็เห็นว่ามันเป็นจริงตามนั้น
ผมมองว่าโลกเรางดงามด้วยอุดมการณ์และอุดมคติบางอย่าง อย่างน้อยก็มากกว่าการอยู่กับความเป็นจริงและปล่อยปละละเลยให้มันเป็นไปตามครรลอง ผมคิดว่าอารยธรรมของโลกเกิดขึ้นได้ด้วยอุดมการณ์/อุดมคติบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการค้นพบและประกาศคำสอนของศาสดาต่าง ๆ การค้นพบยารักษาโรคที่ทำให้คนรอดพ้นจากความเจ็บป่วยและล้มตาย ฯลฯ
สิ่งที่อาจารย์เสกสรรค์กล่าว แม้อาจจะไม่สอดคล้องกับความรู้สึกนึกคิดของผู้คนที่วนเวียนอยู่ในความเป็นไปของโลกแห่งความเป็นจริง แต่ผมมองว่าเป็นอุดมคติอย่างหนึ่ง แม้ว่ามันไม่มีโอกาสที่จะเป็นจริงได้ในชั่วชีวิตของเรา
ผมคิดว่า อ.เสกสรรค์ คงไม่ได้ตำหนิติติงคนที่ออกไปปลูกต้นไม้ เพียงแต่การปลูกต้นไม้อย่างเดียวแล้วยังวนเวียนอยู่ในกระแสการบริโภคที่ถูกยัดเยียดและครอบงำเช่นนี้มันไม่เพียงพอต่อการให้โลกอยู่รอดสำหรับลูกหลานของเราในภายหน้า
อย่างไรก็ตาม ผมเองคิดว่าการออกไปปลูกต้นไม้แล้วกลับมาใช้ชีวิตเยี่ยงเดิมก็ยังมีประโยชน์ อย่างน้อยก็มีคุณค่ามีประโยชน์กว่าการมิได้ลงไม้ลงมือทำอะไร และดีกว่าคนที่เข้าใจและพูดพล่ามโดยที่มิได้ทำอะไร หนำซ้ำยังมีชีวิตที่ซ้ำเติมความหายนะของโลก ดังที่นักวิชาการสิ่งแวดล้อมจำนวนมากกระทำอยู่
เพื่อนพ้องน้องพี่อ่านแล้วคิดอย่างไรกันบ้างครับ
แหะ แหะ อาจารย์ขอบคุณครับ...
ปัญหาปลูกแล้วไม่ดูแลเนี่ย บางทีถือเป็นการผลาญทรัพยากรของโลกเหมือนกันนะครับ
พี่ก็มีความคิดเช่นน้องเหมือนกันนะคะ..
ลงมือทำอะไรบ้างยังดีกว่าคนที่ไม่ทำอะไรเลยแล้วเอาแต่พูด...
ลองย้อนกลับไปดูตัวเองมั่งก็ได้นะคะว่าได้ทำอะไรเพื่อสภาพแวดล้อมบ้าง แล้วสิ่งที่ทำนั้นแตกต่างจากสิ่งที่คนอื่นกำลังพยายามทำหรือเปล่า??
สิ่งต่างๆเหล่านี้เราต้องช่วยกันคิดช่วยกันทำช่วยกันสนับสนุนหรือแนะแนวทางที่ดีกว่า ไม่ใช่เอาแต่ติงๆๆๆๆด้วยคำพูดหรือตัวอักษร
มันจะทำให้คนที่เขาลงมือปฏิบัติท้อ..รู้บ้างไหม??
สวัสดีครับพี่
อยากแนะนำให้อ่านปาฐกถา ที่แนบมาด้วยครับ
เป็นปาฐกถาที่เป็นข้อเสนอเกี่ยวกับการอนุรักษ์ธรรมชาติที่ดีที่สุดเท่าที่ผมได้อ่านมา
ตามไปอ่านที่ link
“วีรบุรุษนั้นเหมือนจะมาก่อนกาลเวลาเสมอ ทั้งนี้เพราะพวกเขาคือผลพวงจากความต่ำต้อยของผู้อื่น...สิ่งที่ชวนโศกสลดก็คือเมื่อวีรบุรุษล้มลงด้วยความเหนื่อยล้า โลกไม่อาจหามือผู้ใดไปประคองได้ นอกจากมือของผู้ต่ำต้อยที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ต่อจากนั้น...ทุกคนก็แบกร่างเขาไปบนเส้นทางที่ตนเองคุ้นเคย”
ช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ การได้ทำอะไรให้กับโลกที่เราอาศัยอยู่
จึงเป็นช่วงหนึ่งของชีวิต ที่ควรจดจำเลยทีเดียว นะครับคุณหนานเกียรติ
ต้นไม้ที่ได้ปลูก ลงไปบนผืนดินที่เราอยู่ จึงไม่ต้องตีกรอบว่า สักกี่ต้นดี แต่สิ่งที่ได้รับการปลูกลงไปนั้น ต้องเป็นจิตวิญญานของเราด้วย เพราะนี่คือชีวิตจิตใจของเรา
...
ขอบคุณ บันทึกนี้ นะครับ ที่ได้อ่าน
สวัสดีค่ะ พี่ได้ไปตามอ่านลิงค์ปาฐกถาแล้ว เห็นด้วยกับอาจารย์เสกสรรค์ค่ะ พี่ว่าต้องอ่านเนื้อความทั้งหมดจึงจะสามารถเข้าใจประโยคที่คัดมาเป็นส่งเร้าให้สนใจ
แน่นอนว่าการปลูกต้นไม้แม้ไม่ต้องคิดอะไรมากก็ดีอยู่แล้ว ที่ทำให้โลกมีต้นไม้เพิ่มขึ้น แต่ประเด็นของอาจารย์เสกสรรค์กล่าวก็คือ การพัฒนาที่ไม่สมดุลย์ในหลายๆมิติหรือแง่มุมและผู้ที่เดือดร้อนที่สุดเป็นชาวบ้านและโลก ดังนั้นหากเรามีการรณรงค์ให้ไปร่วมใจกันปลูกต้นไม้ทุกฝ่ายควรต้องสร้างความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงสิ่งที่กำลังทำ ต้องมองลึกลงไปถึงการ re-establish ความสัมพันธ์ระหว่างสรรพสิ่ง คนกับคน คนกับธรรมชาติ และคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ มิฉะนั้นมันก็ได้แค่ต้นไม้เพิ่มแต่ไม่ได้สร้างปัญญาในการช่วยกันกู้โลกใบนี้ ทำไปทำมาก็จะไปคล้ายๆกับการที่รู้สึกว่าเราได้ทำความดี(มีอัตตาในการทำความดี) ได้ปลูกต้นไม้ให้โลกแล้วพอ อยากขอยืมคำของท่านโชเกียม ตรุงปาที่ท่านใช้คำว่า Spiritual Materialism
สิ่งที่พี่คิดว่าอาจารย์เสกสรรค์กำลังสื่อก็คือ การยกระดับจิตให้มองกว้าง เห็นปัญหาในภาพใหญ่ และลงมือทำอย่างเข้าใจ ใช่ไหมคะ
..ตรงนี้กับ..การ..ปลูก..ปลูก..ฝัง..ถอน..ราก..ถอน...โคน...(วิธี..วิถี..มีค่่า..มีฆ่า..ค่ากับฆ่า ออกเสียงได้เสียงเดียวกัน...แต่บั่นทอนความรู้สึกได้อย่างแตกต่างโดยสิ้นเชิง...๕๕๕๕...)และแล้ว..ยายธีว่า..ลองซิ..ไม่ลองก็ไม่รู้...ปลูกแบบไม่ดูแลเดี๋ยวนี้ป่ายายธี..ต้นไม้ขึ้นเอง..เยอะแยะ..ไม่เชื่อไปดู..ซิ..อิอิ....(ขอบคุณกับสิ่งดีๆที่แบ่งปันในหน้านี้..ยายธีเจ้าค่ะ)
สวัสดีค่ะ
ยังไม่สามารถอ่านข้อความสาระสำคัญของปาฐกถาค่ะ เพราะสัญญาณเน็ตช้ามาก จึงยังไม่ออกความคิดเห็น
พอจะเข้าใจการพูดสื่อความของอาจารย์เสกสรรค์ ต้องการให้ทุกคนเปลี่ยนค่านิยม ความคิด พฤติกรรม การดำรงชีวิต ที่ต้องเน้นเรื่องการกินให้เป็น อยู่ให้พอ และช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน แต่ทั้งนี้ดัวยทุกมีอัตตาเป็นของตัวเอง ยากนะค่ะที่จะทำให้อัตตาทุกคนลดลงเท่าๆกัน
"ปลูกป่าในใจคน"...สร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนะคะ
อะไรๆวันนี้มีสองด้านทั้งนั้นนะคะ...ความทันสมัยแต่ไม่พัฒนานี่น่ากลัว
....บางคนเข้าถึงความจริงและความงามที่ใต้หรืออยู่หลังสิ่งที่ปรากฏ
...ขณะที่บางคนใฝ่หาแต่ข้อเท็จจริงและตัวเลข และไม่สามารถมองอะไรที่ลึกซึ้งได้ไปกว่านั้น...
...คนหากมองลึกลงไปในสิ่งต่างๆจะเห็นคุณค่าที่แท้จริง..
ไปประชุมมาสองวัน เพิ้งเข้ามา
ผมมองอย่างนี้ครับ
ปลูกต้นไม้คนละ 2 - 3 ต้น จัมีประโยชน์อะไร
อาจารย์เสกสรรค์ มองลึกไปกว่าการปลูกต้นไม้ครับ
ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมองแบบใหน
ถ้ามองแบบตื้นๆ ง่ายๆ ก็จะมีเหคุผลมารองรับได้ว่า ก็ดีแล้ว ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย อย่างน้อย ค่อยเป็น ค่อยไป ค่อยจุดกระแสไป
ถ้ามองอย่างอาจารย์เสกสรรค์ ก็เหมือนการสร้างภาพครับ
ขึ้นอยู่กับว่าจะมองมุมไหน
สวัสดีครับ
"คนเราถ้าทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์ (พูดจริง ทำจริง) ประเสริฐสุดแล้วครับ"
แต่ทุกวันนี้...ส่วนมากมีแต่ประเภท "ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่" นะครับ
..เมื่อเคยชวนคนรุ่นหลาน..ปลูกต้นไม้..เขาย้อนถามยายธีว่า..ปลูกแล้วได้อะไร..(คิดหาคำตอบจนหัวโต..ก็ยังไม่แจ้งชัด..ที่เห็นมา..ถ้าตัดต้นไม้...ก็ได้ค่าตอบแทนจากผู้ว่าจ้าง..แต่ถ้าคิดปลูกต้นไม้..ชาวบ้านเขาออดกันว่า...เอาเงิน(ธนบัตร)ไปฝังดิน...อ้ะะๆๆๆ..คุณหนานเกียรติเจ้าคะช่วย..หาคำตอบหน่อย..ปลูกต้นไม้กันคนละต้นสองต้น...น่ะจะได้อะไร....(ถ้าเราหาคำตอบที่ออกจากตัวเองไม่ได้...ก็ลองปลูกดู..เอง..และซักวัน...ก็คงได้คำตอบที่ไม่ต้องไปถามใครๆให้เมื่อยปากแลแหงนคอรอคำตอบ..๕๕๖๖)...ปัญหานี้ใหญ่โตขึ้นทุกวัน..สำหรับโลกแคบๆใบนี้...บ้านเราต้นไม้โหลนหมดแล้ว...ป่าที่มีอยู่แค่สิบเปอร์เซ็น..ป่าที่ว่าสงวนๆก็ถูกปู้ยี่ปู้ยำ..มรดกโลกก็เหลือแต่ชื่อ..๕๕๖...ไปเห็นภาพที่เขาฉายให้ดู...ต้นไม้ที่เขาตัดกันในแคนาดา...ต้นซุงลอยเป็แพสุดลูกหูลูกตา..เพราะเครื่องมือทันสมัย..เลื่อยยนต์..อ้ะๆๆ..คนตัด..ก็ไม่เห็นจะได้อะไร..นอกจากกินอยู่ไปวันๆ..ไม่ได้แตกต่าง..จากคนตัดต้นไม้บ้านเรา..(และเนียะเป็นสิ่งที่เคยเห็นและเคยทำ..)...ที่รู้แน่ๆอยู่แก่ใจ..หัวโตแน่ๆหากคิดๆๆๆๆอย่างเดียวว่าปลูกต้นไม้แล้วได้อะไร๕๕๕๕...ยายธีเจ้าค่ะ