เมื่อคุณครูเยือนแดนมังกร


คุณครูโรงเรียนเมืองชุมพรบ้านเขาถล่มได้ร่วมเดินทางกับคณะพิเศษมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ศึกษา ดูงาน ณ เมืองเฉิงตู - เสฉวน ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่าง วันที่ 27 พฤศจิกายน - 2 ธันวาคม 2550

วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2550คณะศึกษาดูงานฯ พร้อมกันหน้าศาลหลักเมืองชุมพร เพื่อเดินทางไปสนามบินสุวรรณภูมิโดยรถทัวร์ จำนวน 4 คันเรานั่งคันที่ 3 รถออกจากชุมพรเวลา22.00 น การเดินทางในครั้งนี้เป็นการไปศึกษาดูงานของคณะนักศึกษาปริญญาโทของมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา รวมทั้งผู้ร่วมเดินทาง จำนวน 123 คน ซึ่งทั้งหมดเป็นนักศึกษาในจังหวัดชุมพร และจังหวัดระนอง

วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน 2550 (1) กรุงเทพฯ - เฉิงตู - ศึกษา ดูงาน ณ มหาวิทยาลัยเสฉวน - ง๊อไบ๊

เวลา 07.30 น. คณะฯพร้อมกัน ณ สนามบินสุวรรณ อาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ ชั้น 4 ประตูที่ 3 เคาน์เตอร์ D สายการ บินไทยที่ TG 618 การเดินทางในครั้งนี้ได้รับการบริการจากบริษัท เฟิร์สท เวิล์ด ทัวร์จำกัด คอยต้อนรับและอำนวยความสะดวกให้กับ ทุก ๆ คน ซึ่งก็ไม่มีปัญหาอะไร ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี

เวลา 10.05 น. ออกเดินทางสู่ เมืองเฉิงตู คณะเดินทางถึงสนามบินซวนหลิวเวลา 14.00 น. สนามบินซวนหลิวเป็นสนามบิน พอ ๆ กับสนามบินดอนเมือง ห่างกันมากกับสนามบินสุวรรณภูมิ เห็นแล้วเราภูมิใจแทนคนไทยที่มีสนามบินเชิดหน้าชูตาประเทศไทย แต่คนอื่นเขาจะคิดเหมือนเราหรือเปล่าก็ไม่ทราบนะ ผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง และศุลกากรเรียบร้อยแล้ว เดินทางโดยรถบัสซึ่งคณะทัวร์จัดไว้สี่คัน คันที่ 1 พวกเรียนปริญญาโท เอกหลักสูตรและการสอน คันที่ 2 ปริญญาโทเอกบริหารการศึกษา คันที่ 3 - 4 ปริญญาโทรัฐประศาสนศาสตร์และผู้ร่วมเดินทาง เรานั่งคันที่ 3 ในรถบัสจะมีเจ้าหน้าที่ทัวร์ประจำรถตลอดเวลาที่อยู่ประเทศจีนมี 2 คน ได้แก่ คุณทวิช กาญจนพฤกษ์ และคุณ ธานินทร์ คงอินทร์ นอกจากนี้ยังมีไกด์ท้องถิ่นซึ่งมีชื่อภาษาไทยว่า สมาน พูดและ ใช้ภาษาไทยได้ ดีมาก เข้าใจภาษาไทยอย่างลึกซึ้ง ขณะอยู่บน รถบัสคุณสมาน (ไกด์ท้องถิ่น) ได้แนะนำ เมืองเฉิงตูซึ่งเป็นเมืองหลวงของ มณฑลเสฉวน เมืองเฉิงตูเป็นเมืองที่มีรถติดพอ ๆ กับกรุงเทพฯ บ้านเราดูงานวันแรกมหาวิทยาลัยเสฉวน ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดในมณฑลเสฉวน มีอายุครบ 101 ปี ในปี 2550 นี้ มีนักศึกษาและบุคลากรประมาณห้าหมื่นคน ภายในมหาวิทยาลัยมีห้องต่าง ๆ ซึ่งจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ ให้บุคคลภายนอก เข้าชม แต่ต้องเสียเงินในการเข้าชม ซึ่งคณะฯของเราบริษัททัวร์ เขาเหมาจ่าย แต่ไม่ได้ถาม ราคาเขา ไกด์ท้องถิ่นได้นำเข้าชมห้องต่าง ๆ ซึ่งจัดแสดงวัตถุโบราณของชนกลุ่มน้อย ซึ่งในประเทศจีนมีอยู่หลายกลุ่ม ที่น่าสนใจคือชาว ธิเบต นับถือพุทธศาสนา และชาวเผ่าแม้ว เป็นต้น ห้องต่อไปเป็นห้องแสดงเครื่องแต่งกายของขุนนางและราชวงศ์สมัยต่าง ๆ ที่เราสนใจมีชุดแต่งกายของสูสีไทเฮา และรองเท้าสตรีสมัยก่อนซึ่ง เล็กมาก เหมือนรองเท้าเด็ก ๆ สตรีสมัยก่อนเมื่อเกิดมาเขาจะทำเท้าให้เล็กโดยยัดใส่ในรองเท้าคู่เล็ก ๆ เมื่อโตขึ้นเขาก็จะมัดเท้าให้เล็กและอยู่ในรองเท้าคู่เดิม เพราะความเชื่อที่ว่าสตรีเท้าเล็กเป็นผู้ดีและสวย แต่ในความคิดของเรานะเขาคงกลัวสตรีเหล่านั้นจะเดินสะดวกและออกไปเที่ยวนอกบ้านเสียล่ะมากกว่า เป็นการกำจัดสิทธิของสตรี ห้องต่อไป ชมการตกแต่งเกี้ยวของเจ้าสาวสวยงามมาก ๆ นอกจากนี้ยังมีสิ่งอื่น ๆ ให้ชมอีก นั่นย่อมแสดงว่าประเทศจีนมีความเจริญทางด้านวัฒนธรรมมาแต่โบราณแล้ว กลับออกมาจากมหาวิทยาลัยเสฉวน เวลาประมาณ 16.30 น. คณะฯ ได้ไปซื้อของในตลาดใต้ดิน คนขายที่นี่พอจะสื่อสารภาษาไทยได้เป็นบางคำ ก็ย่อมแสดงว่าคนไทยมาช้อปปิ้งกันบ่อยมาก และเรายังเจอกลุ่มคนไทยอีกหลายกลุ่มที่มาช้อปปิ้ง ของในตลาดใต้ดินคนขายบอกผ่านมาก เป็นสินค้าเลียนแบบยี่ห้อดัง ๆ ต้องเลือกเก่ง ๆ และต่อรองราคาเก่งมาก ๆ เมื่อซื้อมาแล้วกลับขึ้นรถไม่ต้องถามเรื่องราคากัน เพราะถ้าได้ฟังแล้วจะเจ็บปวดหัวใจมาก เราได้ของฝากเพื่อนครูพอสมควร ต่อรองราคาแทบตาย เมื่อต่อรองราคาแล้วเขาไม่ลดให้ เราก็เดินออกจากร้าน เดินอยู่ตกใจใครสะกิดข้างหลังหันไปดูคนขายที่เราต่อรองราคาของนั่นเอง เขาจะบอกโอเค ๆ เราก็กลับไปเอาของจ่ายเงินแล้วก็ได้ของตามต้องการ เหลือบไปเห็นป้ายหน้าร้านใกล้ ๆ เขียนภาษาไทยตัวโต ๆ บนกระดาษแข็งว่า "รับรองของปลอม 100% ไม่มีของแท้เข้ามาซื้อได้" คนไทยงง!! แฮะ เมื่อได้เวลานัดหมาย 18.30 น.กลับขึ้นรถบัสไปภัตตาคารเพื่อรับประทานอาหารเย็นมื้อแรกบนผืนแผ่นดินจีนแห่งนี้ อาหารเย็นมื้อนี้เป็นอาหารกวางตุ้ง ทัวร์ได้นำน้ำพริกนรกมาเพิ่มให้ที่โต๊ะทุกโต๊ะ ทำให้เพิ่มรสชาติอาหารได้อร่อยยิ่งนัก การทานอาหารที่นี่ไม่มีน้ำเย็นและน้ำบริสุทธิ์ดื่ม เขาให้ดื่มแต่น้ำชา คนไทยเมืองร้อนไม่ชื่นใจเอาเสียเลย กลับขึ้นรถบัสเจ้าหน้าที่ทัวร์แจกน้ำให้คนละขวด ดื่มแล้ว สดชื่น เดินทางไปที่ง๊อไบ๊ใช้เวลา 2 ชั่วโมง เข้าพักที่โรงแรม HUA SHENG HOTEL พักห้องละ 2 คน เจ้าหน้าที่ทัวร์นัดพร้อมกันที่ห้องอาหารเวลา 6.30 น. การเดินทางเป็นหมู่คณะกำหนดเวลาเป็นเรื่องสำคัญที่สุด




มณฑลเสฉวนไม่มีโรงงานผลิตน้ำแข็ง อาหารทุกมื้อมีแต่ไออุ่น ไม่มีไอเย็น ถ้าจะใช้น้ำแข็งต้องทำในตู้เย็นเฉพาะแขกที่ต้องการพิเศษเท่านั้น และจะเป็นแขจากต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศในเขตร้อน เช่น ไทย เป็นต้น

วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน 2550 (2) ง๊อไบ๊ (กระเช้า) - เฉิงตู - โชว์เปลี่ยนหน้ากาก

5.00 น.เสียงโทรศัพท์ในห้องพักดังขึ้นเพื่อปลุกคณะฯทุกคนให้ตื่นอาบน้ำแต่งตัว 6.30 น. ทุกคนพร้อมที่ห้องอาหารของโรงแรม HUA SHENG HOTEL อากาศหนาว ทุกคนต้องสวมเสื้อกันหนาว ทานอาหารเช้าซึ่งมีทั้งข้าวต้ม กาแฟ หมั่นโถ และอาหารฝรั่ง เลือกทานตามความพอใจ ทุกคนต้องทำเวลาเพราะจะต้องเดินทางไปเขาง้อไบ๊ ซึ่งต้องใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาที เวลา 07.30 น.รถบัสทั้ง 4 คัน นำคณะฯ ออกเดินทางจากโรงแรมสู่เขาง้อไบ๊ ประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที รถบัสมาถึงสถานีที่จะต้องเปลี่ยนจากรถบัสใหญ่เป็นรถบัสเล็ก 25 ที่นั่ง ขึ้นสู่เขาง้อไบ๊ ทำไม ? ต้องเปลี่ยนรถ เหตุผลของเขาน่าฟังมาก เพราะว่ารถบัสใหญ่การเผาพลาญของเครื่องยนต์ใช้น้ำมัน ทำให้มีมลพิษเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ ส่วนรถบัสเล็กใช้แก๊ซเป็นเชื้อเพลิง เขาง้อไบ๊ ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกสถานที่สำคัญทางพุทธศาสนา จากรถบัสต้องเปลี่ยนเป็นกระเช้าซึ่ง จุคนได้เป็นร้อย เพื่อขึ้นไปชมความงามของเขาง้อไบ๊ หรือเอ๋อเหมยซาน สัมผัสอากาศยามเช้าของขุนเขา และพันธุ์ไม้ เมืองหนาว และเป็นสถานที่แสดงธรรมของพระโพธิสัตว์ ผู่เสียน ขึ้นกระเช้าถึงยอดเขาจินติ่ง อากาศหนาวมากมีหิมะตกตั้งแต่เมื่อวาน ยอดเขานี้ อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 3,099 เมตรชมยอดเขาสลับแนวสนเมืองหนาวอยู่เหนือเมฆดังวิมานแดนสวรรค์ และได้สักการะพระโพธิสัตว์ ผู่เสียนซึ่งทรงช้าง ด้านบนทำด้วยทองคำแท้ ส่วนด้านล่างด้านฐานทำด้วยทองเหลือง การขึ้นสู่ยอดเขานี้เหนื่อยมากเพราะสูงอ๊อกซิเจนเบาบาง ถ้าหากเราเดินเร็ว ๆ จะเหนื่อยมาก อากาศก็หนาวจับใจ เหมือนดังสุภาษิตที่เขาบอกว่า "ยิ่งสูงยิ่งหนาว" คราวนี้เจอของจริงเข้าจึงรู้ว่าเป็นอย่างสุภาษิตเขาว่าไว้จริง ๆ เที่ยงลงจากยอดเขาด้วยกระเช้าเช่นตอนขาขึ้น ทานอาหารกลางวันที่ภัตตาคารบนยอดเขา อาหารก็ทานได้อร่อยพอสมควร อิ่มแล้วก็ขึ้นรถบัสเล็กลงมาเปลี่ยนเป็นรถบัสใหญ่ที่สถานีเช่นเดิม ออกเดินทางสู่เมืองเล่อซานเพื่อไปล่องเรือชม พระใหญ่เล่อซาน เมื่อไปถึงเล่อซานก็ลงเรือไปชม พระใหญ่เล่อซาน การลงเรือไปชมพระใหญ่เล่อซานนั้นเขาบังคับให้สวมเสื้อชูชีพด้วย เหตุผลของเขาถ้าไม่สวมผิดกฎหมาย เราจึงต้องสวม แม่น้ำสวยงามมากเมื่อเรือล่องไปตามแม่น้ำจะเห็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ซึ่งเป็นผลงานสลักหน้าผาของพระสงฆ์แห่งพุทธศาสนา ใน ศรรตวรรษที่ 8 โดยใช้เวลาในการสลักถึง 90 ปี มีความสูง 71 เมตรและกว้าง 10 เมตร ความอลังการขององค์พระจึงได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอีกแห่งหนึ่ง จากนั้นก็กลับขึ้นรถบัสเดินทางกลับเมืองเฉิงตู ค่ำรับประทานอาหาร ณ ภัตาคาร อาหารเริ่มลดความอร่อยลง เขาบอกมาเมืองจีนมื้อแรก มื้อที่สอง อาหารยังอร่อยอยู่ แต่เมื่อเริ่มมื้อต่อ ๆ ไป อาหารจะลดความอร่อยลง คงจริงนะเพราะเอียนและเลี่ยนมาก ทานอาหารเสร็จก็ไปชมการแสดงโชว์ในเมือง เฉิงตู เขาเรียก โชว์เปลี่ยนหน้ากาก ซึ่งเป็นการแสดงที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเมืองจีนและต้นฉบับอยู่ที่เมืองเฉิงตู และมีเพียงครอบครัวนี้เพียงครอบครัวเดียวที่สามารถแสดงได้ และถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของเมืองจีน ตื่นตาตื่นใจตามคำเล่าลือจริง ๆ สงสัยอยู่นะว่าเขาทำได้อย่างไร แปลกจริง ๆ การแสดงจบลงประมาณ 4 ทุ่ม กลับ ที่พักโรงแรม DYNASTY HOTEL

29 พฤศจิกายน 2550 (3) จิ่วจ้ายโกว........ดินแดนแห่งเทพนิยาย

เช้านี้โรงแรมปลุกเวลา 05.30 น. อาบน้ำแต่งตัว เวลา 06.30 น. ลงมารับประทานอาหารเช้าในห้องอาหารของโรงแรม อาหารก็มีข้าวต้ม อาหารฝรั่ง หมั่นโถ และกาแฟ เหมือนกับโรงแรมที่ผ่านมา แต่ทุก ๆ มื้อที่ผ่านมาก็จะไม่มีน้ำเย็นหรือน้ำบริสุทธิ์ดื่มอีกเช่นเคย มีแต่ น้ำชา น้ำผลไม้ก็ไม่เย็น เรียบร้อยแล้วรถบัสก็นำคณะฯเดินทางสู่ อุทยานจิ่วจ้ายโกว มรดกธรรมชาติของโลก ที่องค์กร UNESCO ได้ขึ้นทะเบียนรับรองในปี ค.ศ. 1992 เป็นอุทยานธารสวรรค์ ที่ซ่อนตัวอยู่ในขุนเขาซึ่งมีความสูงถึง 2,140 - 4,588 เมตร ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของมณฑลเสฉวน ชมอุทยานแห่งชาติจิ่วจ้ายโกว ความงามของธรรมชาติอันยิ่งใหญ่และยังไม่ถูกมนุษย์ทำลาย จึงมีความงดงามดั่งดินแดนที่ถูกเนรมิตให้เป็นเหมือนสวรรค์ สัมผัสกับพื้นน้ำในทะเลสาบที่มีสีฟ้าและเขียว ให้ทุกคนได้ ชื่นชมความงามของธรรมชาติ หัวหน้าทัวร์บอกให้ทุกคนเตรียมชุด กันหนาวหลาย ๆ ชั้น หรือไม่ก็ต้องสวมลอนจอนกันหนาว ถุงมือ หมวก เพราะเมื่อคืนที่ผ่านมาอุณหภูมิลดต่ำมาก หิมะตกหนา ประมาณ 10 เซ็นติเมตร ออกจากโรงแรมที่พักเวลา 07.30 น. รถวิ่งไปได้ประมาณ 2 ชั่วโมง แวะให้คณะฯ เข้าห้องน้ำ หัวหน้าทัวร์บอกให้ทำใจ เวลาเข้าห้องน้ำให้หลับตาเสีย จะได้ไม่เห็นเขา และเห็นเราหลาย ๆ คนก็ไปเข้าห้องน้ำแต่เราไม่ได้ไป เพราะทำใจยอมรับไม่ได้ ทุกคนกลับมาขึ้นรถด้วยอาการน่าสงสารพร้อมทั้งต้องเสียเงิน 1 หยวน (ประมาณ 5 บาท ไทย) เขาบอกว่าสกปรกและล้าหลังที่สุดยากที่บรรยาย ไม่เคยพบเห็นที่ใดมาก่อน จากนั้นก็เดินทางต่อไป ตลอดเส้นทางมีภูเขาและแม่น้ำสวย งามมาก บริเวณแถบนี้เป็นที่อยู่อาศัยของหมู่บ้านชาวธิเบต กระจัดกระจาย ชาวธิเบตเป็นชนกลุ่มน้อย (แต่เป็นกลุ่มใหญ่ที่จีนยังมีปัญหาในการสู้รบอยู่) ปัจจุบันรัฐบาลจีน ได้สร้างโรงเรียนสำหรับนักเรียนอยู่ประจำเรียนฟรี (ไกด์เน้นว่าเรียนฟรี ฟรีจริง ๆ ) เมื่อให้เด็กธิเบตที่ยากจนได้เข้าเรียนและรัฐบาลจะปลูกฝังความเป็นชนชาติจีน เพื่อไม่ให้เด็กธิเบตเหล่านี้เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่จะกระด้างกระเดื่อง รัฐบาลต้องปราบปรามอีกซึ่งก็ถือว่าเป็นการวางแผนที่ฉลาดของรัฐบาลจีน บริเวณแถบนี้พื้นดินมีค่า ทุกตารางนิ้วที่มีดินเขาจะปลูกผัก เขาใช้ผืนดินคุ้มค่ามาก เพราะดินหายากมีแต่หินและภูเขา รถวิ่งไปอีกประมาณ 2 ชั่วโมง แวะพักให้คณะฯเข้าห้องน้ำ ดีกว่าห้องน้ำที่ ผ่านมา แต่ก็ต้องเสียเงิน 1 หยวน เราก็เข้าไปใช้บริการกลั้นหายใจหลับหูหลับตา ใครถามก็ตอบไม่ได้ เพราะไม่ได้ลืมตา บริเวณนี้มีผลไม้สด ๆ เช่นพุทรา แอปเปิ้ล หัวหน้าทัวร์ซื้อมาให้ทานรองท้อง ไว้ก่อนเพราะอีกประมาณ 1ชั่วโมง 30 นาที จึงจะถึงภัตตาคาร ผลไม้หวานกรอบ อยากจะซื้อกลับมาฝากเพื่อน ๆ แต่ก็ลำบากในการหอบหิ้วเพราะหนัก เวลา 13.30 น. มาถึงภัตตาคารทานอาหาร อาหารมื้อนี้ อร่อยดี เพราะมีผักสด ๆ ผัดน้ำมันหวานกรอบ ทานกับน้ำ พริกนรกที่ทัวร์นำมาเสริม ทุกคนก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าอร่อย หลังจากนั้นก็เดินทางต่อ เพราะต้องใช้เวลาถึง 12 ชั่วโมง จึงจะถึงที่พักที่ใกล้ จิ่วจ้ายโกว ตลอดทางที่ผ่านจะมีแต่ภูเขาสูง ซึ่งเป็นภูเขาแนวเดียวกันกับเทือกเขาหิมาลัย บนยอดเขาจะมีหิมะปกคลุม รถแล่นผ่านถนนซึ่งสร้างเลียบภูเขาสูงมองลงไปน่ากลัวมาก ถ้าหากเขาตัดถนนเลียบภูเขาไม่ได้ เขาก็จะเจาะอุโมงค์ทะลุภูเขาเพื่อให้รถผ่าน ไปได้ ตลอดระยะทางมีประมาณ 5 - 6 แห่ง เขาเก่งมาก บริเวณเชิงเขาจะเห็นฝูงแกะ แพะ จามรี วัว ม้า และล่อ ตลอดทาง ชาว ธิเบตมีชีวิตอยู่ได้ก็ต้องอาศัยสัตว์เหล่านี้ ในการดำรงชีวิต นอกจากนี้เมื่อรถวิ่งผ่านเราจะพบเห็นธงยาว ๆ โบกสะบัดตลอดทาง ไกด์บอกว่าที่มีธงนั่นแสดงว่าเป็นหมู่บ้านของชาวธิเบต บริเวณนี้นอกจากชาว ธิเบตแล้วยังมีชนกลุ่มน้อยพวกแม้ว มุสลิม และกลุ่มอื่น ๆ กระจัดกระจายปะปนอยู่อีก ทุกบ้านมีจานดาวเทียม ไม่ว่าบ้านเล็ก บ้านน้อย หรือมีฝาด้านเดียว เพราะรัฐจัดให้ ชนกลุ่มน้อยทั้งหลายไม่มีสีสันตอนกลางคืนต้องอาศัยดูโทรทัศน์ซึ่งมีทั้งหมด 200 ช่อง รถวิ่งผ่านทะเลสาบ เตี๋ยซี สวยมากน้ำเป็น สีเขียวมรกตแปลกตา รถแวะพักอีกครั้งหนึ่ง คณะฯเข้าห้องน้ำเหม็นมาก กลิ่นติดตัวติดเสื้อผ้า แต่เราไม่ได้เข้าหรอกพะอืดพะอมบริเวณนี้ได้เห็นจามรีสีขาว และอูฐ ตัวเป็น ๆ ใกล้ ๆ หลาย ๆ คนบอกว่าไม่ใช่อูฐเป็นตัวลามา สัตว์ตระกูลเดียวกับอูฐ กลิ่นแรงมาก ที่นี่มีสินค้าพื้นเมืองหลายอย่างเราซื้อถั่วแมคคาดิเมี่ยร์ มา 2 แพค ราคาค่อนข้างแพง แพคละ 35 หยวน แกะยากมากแต่เนื้อข้างในอร่อย (เราเรียกว่าถั่วเอาใจภรรยา เพราะสามีต้องแกะให้ภรรยาไม่มีปัญญาแกะ) กลับขึ้นรถคราวนี้รถวิ่งไม่มีแวะพักแล้วเพราะต้องทำเวลา รถไต่ระดับความสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ แต่ต้องวิ่งช้า ๆ เพราะบนถนนมีหิมะถนนลื่น อากาศสลัว ๆ เพราะหิมะปกคลุมบริเวณที่รถผ่านไป ตลอดทาง การที่ขึ้นไประดับสูง ที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 3,000 เมตร บางคนมีอาการเวียนศีรษะ ไม่ค่อยสบาย มีอาจารย์จากราชภัฏฯท่านหนึ่งเลือดกำเดาซึมออกมา แต่บนรถมีพยาบาลซึ่งเป็นนักศึกษาระดับปริญญาโทหลายคน ช่วยดูแล เขารอบคอบเตรียมยา มาด้วย พาราเซตตามอลถูกเรียกหามากที่สุด เวลา 19.30 น. รถถึงโรงแรมที่พัก GRAND JIUZHAIGOU HOTEL ทุกคนเข้าห้องอาหารของโรงแรม ทานอาหารก่อน อาหารไม่อร่อยเลยแย่กว่าที่ผ่านมา ทุกมื้อ ทัวร์ต้องยำปลากระป๋องที่เขาเตรียมมาเสริมให้ นอกจากนี้ยังมี ต้มยำมาม่า จึงรอดชีวิตมาได้ กลิ่นเครื่องเทศของจีนชาวธิเบตทำเอาแสบจมูกมาก พริกเขาก็เผ็ดแปลก ๆ ทานเข้าไปแล้ว ปลายลิ้นและปากจะชา ทานอาหารเรียบร้อยแล้วเก็บของเข้าห้องพัก หลังจากนั้นก็ออกไปเดินดูสินค้าพื้นเมืองไกด์เขาบอกจะเป็นของแท้และราคาถูก เลือกได้กำไลหยกสีเขียว 2 วง สีม่วงอ่อน ๆ 1 วง และสีส้ม 1 วง ราคาพอสมควรรับได้ ผ่านการทดสอบจนพอใจแล้วว่าเป็นของแท้แต่ไม่ใช่เกรดเอ ตั้งใจเอามาฝากเพื่อน ๆ สินค้าส่วนมากจะเป็นผลิตภัณฑ์ จากสัตว์ โดยเฉพาะจามรี หวีที่ทำจากเขาจามรีเขาบอกเมื่อนำมาหวีผมจะทำให้ผมดกดำเป็นเงางาม เราไม่ได้ซื้อเพราะไม่ชอบกลิ่นเหม็นกลิ่นน้ำมันจามรี กลับที่พักอาบน้ำอุ่น ๆ นอน เตียงนอนของเขามีปุ่มไฟฟ้าเพื่อทำให้ผ้าห่มอุ่น แต่เราไม่ได้ใช้ ในห้องเขาก็เปิด ฮีตเตอร์แล้ว กลัวไฟฟ้าดูดเอา ไม่ต้องใช้หรอกแค่สอดตัวเข้าในผ้าห่มก็ หลับแล้ว ตื่นก็เมื่อได้ยินโทรศัพท์ที่โรงแรมปลุกนั่นแหละ





ประเทศจีนมีการพัฒนาก้าวไกลในหลาย ๆ ด้าน แต่สิ่งที่เขาพัฒนาไม่ได้คือห้องน้ำในชนบท เหตุผลที่เขาทำไม่ได้ เพราะชาวบ้านมีความเคยชินเช่นนั้น พวกเขาไม่ยอมเปลี่ยนแปลง แปลกดีนะ ในเมืองทันสมัย บ้านนอกต่างกันราวฟ้ากับเหว

วันที่ 30 พฤศจิกายน 2550 (4) อุทยานจิ่วจ้ายโกวทั้งวัน - (โชว์ธิเบต)

ตื่นตามเสียงโทรศัพท์ของโรงแรมปลุกเมื่อเวลา 06.00 น. อาบน้ำแต่งตัวแล้วลงไปห้องอาหารของโรงแรม เวลา 07.00 น. รับประทานอาหารเช้า มีข้าวต้ม หมั่นโถ อาหารฝรั่ง แต่ไม่มีกาแฟ ไม่มีแม้กระทั่งชุดกาแฟ หัวหน้าทัวร์เขาอธิบายให้ทราบว่าที่นี่เขาไม่ดื่มกาแฟ เขาไม่รู้จัก เขาดื่มแต่ชา ชาธิเบต ทัวร์เขาเตรียมกาแฟสำเร็จรูปมาให้ชงกับ แก้วกระดาษ และเตรียมกับข้าวทานกับข้าวต้มมาให้ มีไข่เค็ม หมูหยอง และผักกาดกระป๋องมาให้ทุกคนทาน เพราะเขาทราบดีว่าคณะฯ จากเมืองไทยที่ผ่านมารับอาหารเหล่านี้ไม่ได้ ตัวเราก็ได้กาแฟกับเค้กรอดตัวไป 8.00 น. ขึ้นประจำรถบัสออกจากโรงแรม สู่อุทยาน จิ่วจ้ายโกว ประมาณ 15 นาที ก็ถึงจิ่วจ้ายโกว เปลี่ยนรถเป็นรถบัสเล็กของอุทยาน ต้องใช้รถบัสเล็กถึง 7 คัน เพราะขึ้นที่สูงซึ่งสูงกว่าน้ำทะเล 3,100 เมตร เมื่อถึงอุทยาน ต้องเสียค่าผ่านประตู คนละ 120 หยวน ทัวร์เขาจัดการให้ทั้งหมด ในแต่ละวันอุทยานจะรับคนเข้าชมเพียง 30,000 คนเท่านั้น โดยการจองผ่านทางอินเทอร์เน็ต แต่ช่วงนี้เป็น Low Season นักท่องเที่ยวจะน้อยเพราะอากาศหนาวมากหิมะตกหนาประมาณ 10 เซ็นติเมตร เมื่อเสียค่าผ่านประตูเรียบร้อยแล้ว กลับขึ้นรถบัสคันเดิมพาไปชมน้ำตก อู้หลาน สวยงามมาก อากาศหนาวเย็นบนถนนมีแต่หิมะ มีคนงานกวาดหิมะบนถนนเป็นระยะ ๆ เพื่อให้รถผ่านได้สะดวกต่อจากนั้นก็ไปชมทะเลสาบ 5 สี มีนักท่องเที่ยวเยอะมากแทบไม่มีที่ที่จะยืนถ่ายภาพ สวยมาก ทะเลสาบนี้ถ้าดูจากด้านบนเหมือนนกยูง แพนหาง จึงมีชื่ออีกอย่างว่าทะเลสาบนกยูง จากนั้นก็ไปชมน้ำตกธารไข่มุก ทำไมถึงเรียกน้ำตกธารไข่มุกเพราะน้ำตกที่กระเซ็นไปถูก กิ่งไม้หรือใบไม้กระกลายเป็นน้ำแข็งเป็นลูกเล็ก ๆ สวยงามมากเหมือนไข่มุก สวยมาก แต่บนทางเดินจะมีหิมะเวลาเดินต้องระมัดระวังเพราะหิมะเมื่อแปรสภาพเป็นน้ำแข็งแล้วจะลื่นมาก มาที่นี่แทบจะไม่พบแสงแดดเอาเสียเลย กลางวันทานอาหารจากภัตตาคารบนอุทยาน ก็ต้องมีอาหารเสริมจากทัวร์อีกเช่นเคย เสร็จแล้วก็ขึ้นรถบัสออกจาก จิ่วจ้ายโกวไปชมหมู่บ้านฟู่เจิง เป็นหมู่บ้านของชาวธิเบต ในการเข้าไปในอุทยานจิ่วจ้ายโกว รถบัสทั้ง7 คัน จะมีไกด์ชาวธิเบตคันละ 1 คน เป็นนโยบายของรัฐบาลจีนที่ต้องการจ้างงานให้ชาวธิเบตมีงานทำและ มีรายได้ เพราะบริเวณนี้ทั้งหมดมีหมู่บ้านของชาวธิเบตอยู่ถึง 9 หมู่บ้าน ชาวธิเบตผู้หญิงก็สวย ผู้ชายก็หล่อ แต่เขาไม่ค่อยจะอาบน้ำกันหรอกเพราะอากาศหนาวเย็น และยังมีความเป็นคนเถื่อนหลงเหลืออยู่ในนิสัย เพราะเขาไม่มีการศึกษา บ้านแต่ละหลังเข้าใกล้จะมีกลิ่นควันซึ่งในความรู้สึกของเราเหม็นมาก ถามไกด์เขาบอกว่าเขาจุดไว้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเขาจุดทิ้งไว้ทั้งวัน ชมหมู่บ้านธิเบตแล้วกลับที่พัก ทานอาหารที่โรงแรมก็เหมือนเดิมคือไม่อร่อยต้องทานอาหารเสริมจากทัวร์ตามที่เขาเตรียมมา จากนั้นทัวร์ก็พาไปชม โชว์ธิเบต ซึ่งห่างจากโรงแรมพอประมาณ โชว์เริ่ม 2 ทุ่ม เสียดายที่ไม่ได้บันทึกภาพไว้เพราะลืมกล้องไว้บนรถ แต่ก็ไม่มีอะไรมาก มีการร้อง ๆ เต้น ๆ ส่งเสียงดัง ๆ เหมือนคนป่า แต่ที่หน้าสังเกตเสียงของเขาจะดังก้องกังวาน เพราะปอดเขาใหญ่ และแข็งแรงตามสภาพภูมิประเทศ ที่เขาอาศัยอยู่ ประมาณ 4 ทุ่ม กลับโรงแรมที่พัก หนาวมาก




คณะฯที่ไปในครั้งนี้เป็นคนเมืองร้อน โดยเฉพาะเป็นคนทางภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งภาคใต้ของไทยไม่มีฤดูหนาว แต่ครั้งนี้ได้พบได้เห็นหิมะ สามารถจับต้องได้ หลาย ๆ คนจึงตื่นเต้นกลิ้งเกลือกบนหิมะแล้วถ่ายรูปเก็บเป็นที่ระลึก เราเองยังได้จับหิมะ จิ่วจ้ายโกวสุดยอดแห่งความงามในแดนมังกร

วันเสาร์ที่ 1 ธันวาคม 2550 (5) อุทยานจิ่วจ้ายโกว - เฉิงตู

เช้านี้ตื่นสายได้เพราะวันนี้เดินทางกลับเฉิงตู 07.30 น. รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีด้วยการช่วยเหลือจากหัวหน้าทัวร์ เมื่อพร้อมแล้วก็ขึ้นรถบัสประจำที่มุ่งหน้ากลับสู่เมืองเฉิงตู ระหว่างทางแวะร้านชาธิเบต ซึ่งอยู่ในความควบคุมของรัฐ เจ้าหน้าที่แนะนำ และให้ชิมชาหลายชนิด จึงซื้อมา 2 กระป๋อง ราคากระป๋องละ 300 หยวน ขณะที่ซื้อก็จำชื่อชาและสรรพคุณได้ กลับถึงเมืองไทยเรียกชื่อไม่ถูกเสียแล้ว ตั้งใจว่าจะนำไปฝากผู้ใหญ่ และซื้อชนิดกล่องอีก 2 กล่อง กล่องละ 200 หยวน จำชื่อไม่ได้อีกเช่นกัน ก็นำไปฝากเพื่อน จากนั้นก็แวะร้านขายอัญมณีซึ่งอยู่ในกำกับของรัฐอีกเช่นกัน สวยแต่แพงมาก จะเป็นประเภทหินต่าง ๆ ถ้าซื้อกลับเมืองไทย คงไม่มีใครรู้ค่าว่าเครื่องประดับเหล่านี้ราคาแพง เวลาเดือดร้อนเรื่องเงินขายก็ไม่มีใครซื้อ เก็บเงินซื้อทองหรือเพชรดูจะดีกว่า จึงไม่ได้ซื้อเพียงแต่ชื่นชมเท่านั้น เที่ยงแวะทานอาหารที่ภัตตาคารเดิม ที่เคยทานเมื่อไปจิ่วจ้ายโกว อาหารค่อยดีกว่าภัตตาคารที่ธิเบต จากนั้นก็พักผ่อนบนรถ รถไม่แวะที่ไหน อีกเลย จนถึง ภัตตาคารที่เฉิงตูทานอาหารมื้อหรู ซึ่งคณะหัวหน้าทัวร์จัดเลี้ยงขอบคุณที่ใช้บริการของเขา อาหารค่อนข้างหรูเน้นสมุนไพร ทานอาหารเสร็จเข้าห้องที่ภัตตาคารจัดไว้ให้ฟังบรรยายสรรพคุณของบัวหิมะ ฟังแต่ไม่ได้สนใจที่จะซื้อ มีคนซื้อเยอะ กลับที่พักโรงแรม DYNASTY HOTEL ซึ่งเคยพักมาครั้งหนึ่งแล้ว

วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม 2550 (6) เฉิงตู - กรุงเทพฯ

วันนี้ตื่นตามสบายทานอาหารเช้าในโรงแรม ประมาณ 07.30 น. เสร็จแล้วคณะฯที่เรียนปริญญาโทเอกหลักสูตรการศึกษา เอกบริหารการศึกษา และผู้ร่วมไปศึกษาดูงาน ไปดูงานโรงเรียนมัธยมปลายประจำตำบล ชื่อโรงเรียน CHENGDU WUHOU SENILR SCHOOL เวลา 08.10 น. ฟังการบรรยายจากผู้บริหารโรงเรียน จึงทราบว่าโรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนมัธยมปลายประจำตำบล เปิดสอนมาได้ 10 ปี ขณะนี้เป็นโรงเรียนระดับแนวหน้าของเฉิงตู มีนักเรียน 2,000 คน การจัดการเรียนการสอน แยกเด็กยากจน ขาดแคลนไว้โดยเฉพาะต่างหาก มีที่พักกินนอนที่โรงเรียนให้งบประมาณสนับสนุนในทุก ๆ ด้าน ปัจจุบันนักเรียนประเภทนี้สามารถสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย ได้ร้อยละ 52 เป็นที่พอใจของโรงเรียน โรงเรียนได้รับงบประมาณช่วยเหลือจากรัฐบาล และจากชุมนุมคอมมิวนิสต์ และได้รับการสนับสนุนการสอนวิชาทหารจากเขตทหารเฉิงตู

จุดเน้นของโรงเรียน คือสอนนักเรียน 1. ให้เป็นคนดี 2. มีความรู้ 3. อยู่ในสังคมได้ เมื่อจบแล้วมีงานทำเพื่อตอบแทนพ่อแม่และรัฐบาลได้

การพัฒนาให้โรงเรียนมีชื่อเสียงโดยพัฒนาการใช้เทคโนโลยีในเรื่องการเรียนการสอน นโยบายของโรงเรียนพัฒนาครูให้เก่งและประสบความความสำเร็จ เพื่อจะได้พัฒนานักเรียนให้เก่งและนำชื่อเสียงมาสู่โรงเรียน

10.00 น. ซื้อของในตลาดใต้ดินหัวหน้าทัวร์ให้เวลา 50 นาที รีบซื้อของฝากเพื่อนครูได้ครบทุกคน เงินยังเหลือถ้าเอากลับไปแลกเงินไทยก็ขาดทุน หยวนละบาทเศษ ๆ จึงตัดสินใจซื้อขนมจนเหลือ 10 หยวน หมดปัญญาที่จะใช้แล้ว เวลาก็หมดจึงกลับโรงแรม แพคกระเป๋าขึ้นรถบัส หัวหน้าทัวร์พาไปทานอาหารประเภทสมุนไพรตุ๋นยาจีน ร้านนี้มีเหล้าจีนผสมสมุนไพร จึงซื้อเหล้าจีนผสมสมุนไพร 1 ขวด ราคา 80 หยวน ไม่ได้สนใจเหล้าในขวดสักเท่าไร สนใจขวด ขวดสวย บ่ายหลังอาหารเดินทางสู่สนามบินซวนหลิว 15.05 น. ออกเดินทางสู่สนามบินสุวรรณภูมิ โดยเที่ยวบิน TG 619 เวลา 17.15 น. คณะฯเดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพด้วยรอยยิ้มและความประทับใจที่ได้รับจากทัวร์ เฟิร์สท เวิล์ด ทัวร์

การที่ได้ร่วมไปทัศนศึกษากับมหาวิทยาลัยราชภัฏสมเด็จเจ้าพระยาในครั้งนี้ เราได้พบเห็นความแตกต่างระหว่างคนจีนกับ คนไทย คนจีนเป็นชาตินิยม ประชาชนเขาไม่นิยมใช้ภาษาอังกฤษซึ่งเป็นภาษาที่พอจะสื่อสารกันได้กับนักท่องเที่ยว (ยกเว้นอาชีพบริการที่จำเป็นต้องใช้เท่านั้น) อาหารที่เรารับประทานทุกมื้อในภัตตาคารหรือห้องอาหารของโรงแรม จะเป็นผลิตผลภายในประเทศและภายในท้องถิ่นเท่านั้น ไม่มีวัสดุในการประกอบอาหารที่ต้องสั่งเข้ามาจากต่างประเทศ ประชาชนขยัน ประเทศมีการวางแผนระยะยาวในการพัฒนาและมีการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการพัฒนาประเทศทำให้การพัฒนาประเทศของจีนก้าวไกลในทุก ๆ ด้านทิ้งห่างประเทศไทยจนกระทั่งไทยไม่มีโอกาสที่จะตามได้ทันอีกแล้ว เพราะรัฐบาลไทยมัวแต่ทะเลาะแก่งแย่งชิงดีกัน จนลืมพัฒนาประเทศของตัวเอง อีกไม่นานประเทศลาวและประเทศกัมพูชาก็คงจะเจริญล้ำหน้าประเทศไทยแน่นอน....รัฐบาลไทยควรหันมาสนใจการศึกษาของประเทศเพื่อพัฒนาคนให้เป็นคนเก่งจะได้เป็นกำลังในการพัฒนาประเทศให้ก้าวไกลไปกว่าที่เป็นอยู่ ประเทศกัมพูชาและประเทศลาว


คำสำคัญ (Tags): #ท่องเที่ยว
หมายเลขบันทึก: 176011เขียนเมื่อ 9 เมษายน 2008 11:20 น. ()แก้ไขเมื่อ 13 สิงหาคม 2015 21:15 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

ดีใจที่คุณครูได้เปืดหูเปิดตาค่ะ

สวัสดีครับอาจารย์สคราญ

-อ่านแล้วสนุกดีน่าประทับใจครับ

-น่าเห็นใจเรื่องห้องน้ำและอาหารครับ คิดว่าเป็นกำไรชีวิตแล้วกัน

-ขอบคุณครับ

เก็บภาพไว้ในความทรงจำ


พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท