วิเคราะห์วิธีการเลี้ยงลูก


ขอบคุณ คุณจตุพร จาก "เรื่องบางเรื่องที่เราอาจยังไม่รู้...เกี่ยวกับสมอง"

ผ่านไปอ่านบันทึกอันแสนจะมีประโยชน์ของคุณจตุพร แล้วเก็บไปคิดได้ทั้งวัน อยากให้ใครต่อใครที่อยากให้อนาคตของชาติเจริญก้าวหน้าได้อ่านแล้วช่วยกันคิดต่อ โดยส่วนตัวแล้วคิดว่าตัวเองเลี้ยงลูกโดยใช้สิ่งที่คุณจตุพรนำมาร้อยเรียงไว้ในบทบันทึกนี้โดยไม่รู้ตัว เห็นว่าเป็นวิธีการที่แสนจะเป็นเรื่องธรรมดาแต่เป็นเหตุเป็นผลและมีประโยชน์อย่างใหญ่หลวงต่อเด็กๆของเรา

ขอแนะนำให้ลองเข้าไปอ่านกันดูนะคะ เชื่อว่าเด็กทุกคนสามารถพัฒนาได้จนเป็นกำลังสำคัญของสังคม หากเราผู้ใกล้ชิดหรือผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับเด็ก ทำความเข้าใจกระบวนการต่างๆที่คุณจตุพรได้พูดถึง สนับสนุนให้เด็กรู้จักอาหารที่มีประโยชน์แก่ตัวเอง รู้จักรักสุขภาพ สร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้แบบเปิดกว้าง เปิดโอกาสให้เขาสามารถได้ลองผิดลองถูก ลงมือทำ ไม่ปิดกั้น ส่งเสริมสนับสนุนให้เด็กรักดนตรีไม่ว่าจะเป็นเพียงร้องตามหรือลงมือเล่นเอง ได้ขีดเขียนทำงานศิลปะในรูปแบบที่ไม่จำกัด สอนให้เขารู้วิธีการจัดการกับอารมณ์ไม่ว่าจะเมื่อดีหรือร้าย

จากความเข้าใจปัจจัยพื้นฐานต่างๆเหล่านี้อย่างเป็นระบบ เป็นแนวทางในการพัฒนาการเรียนรู้ของลูกหลาน เด็กๆผู้ซึ่งจะเป็นอนาคตของชาติไทย เราทุกคน ทุกระดับสามารถทำได้ ตั้งแต่พ่อแม่ คุณครู ไปจนถึงผู้วางระบบเพื่อพัฒนาการศึกษาของเด็กทั้งประเทศ นอกจากจะช่วยให้เราพัฒนาเด็กได้ถูกวิธีแล้ว ตัวเราเองก็จะได้เรียนรู้การช่วยให้ตัวเราเองมีสุขภาพชีวิตที่ดี เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานของชีวิตที่มีคุณภาพ

คำสำคัญ (Tags): #uncategorized
หมายเลขบันทึก: 21652เขียนเมื่อ 31 มีนาคม 2006 21:33 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 พฤศจิกายน 2012 00:27 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

Mhsresearch เมื่อ ศ. 31 มี.ค. 22:03:28 2006 เขียนว่า:

ผมตามมาอ่านครับคุณโอ๋

           ต้องขอบคุณมากๆเลยที่สนใจ ทำลิงค์ไปที่ Blog ของผมและผมเองก็พยายามเขียนBlog เรื่องราวเกี่ยวกับการพัฒนาสมอง ไปเรื่อยๆนะครับ เพราะสนใจอยู่แล้ว เดือนหน้า ก็จะมีอบรมเกี่ยวกับการ "เล่านิทาน" ให้แก่เด็ก สำหรับพ่อแม่อาสา ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมาย งานนี้น่าสนใจมากครับ เพราะว่า "นิทานทำให้ลูก ฉลาดจริงๆ" ลองเอาข้อความที่น่าสนใจมาฝากให้คุณโอ๋และท่านอื่นๆได้อ่านและ ลปรร.กันครับ

นายธีรวงศ์ ธนิษฐ์เวธน์ เลขาธิการสมาคมไทสร้างสรรค์ เปิดเผยว่า สมาคมไทสร้างสรรค์ ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดโครงการพัฒนาเด็กปฐมวัยในชนบทด้วยการเล่านิทานอ่านหนังสือให้เด็กฟัง ระหว่างปี 2546-2549 ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก พื้นที่ อำเภอภูเวียง อ.หนองเรือ และกิ่งอำเภอหนองนาคำ จ.ขอนแก่น และทำการประเมินประสิทธิผลการดำเนินงาน 2 ปีแรก พบว่า ครูพี่เลี้ยง 77.9% มีความรู้เกี่ยวกับการเล่านิทานอ่านหนังสือและหนังสือภาพในระดับปานกลาง ซึ่งส่วนใหญ่จะเล่านิทานให้เด็กฟังทุกวัน โดยใช้หนังสือนิทาน 66.3% เล่าปากเปล่า 41.1% เล่านิทานประกอบสื่อ 37.9% ส่วนผู้ปกครองเห็นว่า บุตรหลานช่างสังเกตมากขึ้น กล้าพูดกล้าถาม พูดภาษาไทยหรือภาษากลางได้ชัดขึ้น เด็กเชื่อฟังมากขึ้น อารมณ์ดีขึ้น ส่วนพัฒนาการของเด็ก พบว่า เด็กกลุ่มอายุ 3-6 ขวบ มีการพัฒนาระดับสูง ทางสติปัญญา เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 11.56% เด็กกลุ่มอายุ 1-3 ขวบ มีพัฒนาการทางสติปัญญาเพิ่มขึ้น เฉลี่ย 11.0%

รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า หลังกิจกรรมการอ่านนิทานให้เด็กฟังดังกล่าว พบว่า ไอคิวของเด็กเพิ่มขึ้น 10 กว่าจุด หรือขึ้นมาอยู่ในระดับปกติคือ 90-100 จึงอยากให้กระทรวงศึกษาธิการขยายโครงการนี้ไปทั่วประเทศ โดยเฉพาะ อบต.จะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการจัดการศึกษาให้กับเด็ก ซึ่งไม่จำเป็นต้องไปแย่งชิงโรงเรียนกับใคร ศธ.ควรซื้อหนังสือดีที่ผ่านการคัดสรรจาก สสส.เข้าห้องสมุดเด็กเล็ก และจัดกิจกรรมการเล่านิทานอ่านหนังสือให้เด็กฟัง ส่วนระดับประถมศึกษาก็ควรจัดกิจกรรมการอ่าน เพื่อสมองของเด็กจะได้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง.

ผมคงต้องวิเคราะห์การเลี้ยงลูก ในแนวทางที่ผมต้องยอมรับว่า ไม่ใช่วิธีที่ปกติธรรมดาจะทำได้........

พี่โอ๋ขอแนะนำจริงๆนะคะ คุณIco48 สำหรับน้องซัน ขอให้เลี้ยงน้องแบบให้เขามีอิสระ แต่มีระเบียบวินัย สมัยลูกอยู่ชั้นอนุบาลและประถม พี่โอ๋ไม่ได้ทำตามกรอบเดี๋ยวนี้เลยค่ะ ไม่มีการเรียนพิเศษในห้อง แต่เล่นพับจรวด ไปสนามเด็กเล่น วิ่งเล่น เล่นเกมส์ที่พัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กมัดใหญ่ เป็นการเล่นสนุกๆมากกว่าเรียนค่ะ ทั้งสามหนุ่มของพี่โอ๋ชอบสนุก ร้องเพลง กระโดดโลดเต้น ทำการฝีมือก็ได้ เล่นหุ่นยนตร์ ต่อเลโก้ อ่านหนังสืออะไรก็ได้แล้วแต่ชอบ แต่ต้องรู้หน้าที่ตัวเองในแต่ละเวลา เรียนแบบนี้มาตลอดจนถึงปัจจุบัน อายุ 21, 20 อยู่มหาวิทยาลัยแล้ว กับน้องฟุงอยู่มอ สาม ไม่เคยเรียนพิเศษ ไม่คร่ำเคร่ง ไม่เครียด สอบอะไรก็ทำไปตามสบาย ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่ได้ ถ้าวัดตามเกณฑ์สังคมก็ถือว่า เรียนอยู่ในเกณฑ์ดีถึงดีมาก แต่ที่สำคัญ พี่โอ๋ว่าเขาสบายๆ มีความสุขดี ไม่ต้องสนใจค่านิยมของสังคมมาก ที่ต้องเรียนพิเศษ ต้องติว ต้องกวดวิชา เขาจะอ่านเอง คุยกับเพื่อน รู้วิธีการความรู้เองโดยไม่ต้องพึงพาระบบมาก และตอนนี้ทั้งสามคน ไปไหนมาไหน เขาก็มักจะหิ้วหนังสือติดตัว (หนังสืออะไรก็ได้) ถ้านั่งว่างๆไม่มีอะไรทำ เขาก็อ่านหนังสือ อยู่กับตัวเองได้เสมอค่ะ 

พี่โอ๋ว่า คุ้มมากนะคะ การสอนลูกแบบธรรมชาตินี่ ขอแนะนำจริงๆ อย่าเอากรอบแบบสมัยนี้ไปทำให้ชีวิตลูกลำบากเลย

สถานะผมกับซัน (จะ 4 ขวบ) นั่นลำ(วิ)บาก  แต่ผมตั้งใจทำดีที่สุดครับ .....:):)   มีครูตัวอย่างดีๆ สุดยอดบน GTK เยอะแยะ....ใช่มั้ยครับ อาจารย์ พี่โอ๋ 

ขอให้ตั้งใจและให้เวลา ในวัย 4 ขวบนี่ยังสนุกกันได้อีกหลายปีเลยค่ะ รู้ใจกันไว้ตั้งแต่ตอนเล็กๆนี่แหละ ยิ่งเด็กผู้ชายด้วย รับรองเป็นวัยรุ่นเมื่อไหร่ เราจะสบายใจได้แน่นอนค่ะถ้าเราทำให้ลูกรู้ว่าเราคือผู้ที่เขาสามารถคุยได้ด้วยเสมอทุกเรื่อง

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท