การดูแลที่มีหัวใจของความเป็นมนุษย์: บัง...และครอบครัว..ผู้ผ่านเหตุการณ์ที่น่าเหลือเชื่อ..
เมื่อบ่ายวันที่.... โรงพยาบาลปายของเราได้รับแจ้งเหตุฉุกเฉินให้ไปรับผู้ป่วยบนเขาที่ต้องแหกโค้งตกดอยไป...
เมื่อผ่านไป 20 นาทีพบว่า... รถ EMS ของเราได้รับผู้ป่วยกลับมา 2 คน และอีก 1 คน มากับรถกระบะ...
เสียงร้องโอดครวญ ระงมถึงความเจ็บปวดของหญิงวัยกลางคนท่านหนึ่งที่ปอกปวดที่ต้นขาซ้าย และร้องถามถึงลูกและสามีผู้เป็นที่รัก... ลูกเป็นอย่างไรบ้าง ป๊าๆๆ..อยู่ไหน เป็นอย่างไรบ้าง....
เมื่อซักถามประวัติจากทั้งผู้ที่ไปรับและจากผู้ป่วย.. ก็ได้เรื่องเล่าว่า...
ทั้งสามท่านเป็นครอบครัวเดียวกัน.. พ่อแม่ลูก คุณพ่อทำงานเป็นข้าราชการเล็กๆในรัฐวิสาหกิจ คือการไฟฟ้า.... คุณแม่...เป็นแม่บ้าน คุณพ่อเคยมาแม่ฮ่องสอนบ้าง2-3 ครั้ง ปกติขับรถ trailer -ขนาดใหญ่ สายภาคใต้ ส่วนลูกสาวปิดเทอม ครั้งนี้ต้องการมาเที่ยวแม่ฮ่องสอนกับคุณพ่อ....
ผู้ป่วยเล่าว่าขณะที่ขับรถลงดอยมานั้น ด้วยความที่ไม่ค่อยชินเส้นทาง บวกกับรถที่ขนเหล็กหนัก 30 ตัน รถที่วิ่งลงมาไม่สามารถตีโค้งได้....ทำให้หลุดโค้งและตกดอยลงมา ด้วยความสูงประมาณ 100 เมตร สภาพรถนั้นพังยับ เหล็กกระจายคนละทาง
ในวินาทีที่วิกฤตินั้น ภรรยาและบุตรสาวได้กระเด็นออกจากรถไป... โชคดีที่ไม่ได้มีอะไรมาทับซ้ำ ส่วนผู้ป่วยที่ขับรถนั้นพบว่าติดอยู่ที่รถส่วนหัวรถ....
พี่พยาบาลที่ไปรับผู้ป่วยได้ให้การช่วยเหลือภรรยาซึ่งความดันต่ำ และช่วยผู้ป่วยออกจากรถมา... ทุกสายตา ทุกคน ทุกความคิด ต่างเอ่ยเป็นเสียงเดียวกันว่า...โอ้ ไม่น่าเชื่อเลยทุกคนรอดมาได้ แถมยังไม่มีใครเป็นอะไรมาก....
แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้ป่วยทั้งสามคนได้สัมผัส คือนาทีของชีวิต...ประสบการณ์ เรื่องราว เรื่องเล่าที่อยู่ในความทรงจำ ยากที่จะอธิบายได้ว่ามัน..เป็นเรื่องยากที่ผู้คนที่ไม่ได้ผ่านเรื่องแบบนี้จะเข้าใจได้...
การช่วยเหลือชีวิตของทั้งสามท่านนั้น...
เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนอย่างมาก... กับคนที่ผ่านเรื่องเฉียดมาแบบหมาดๆ ความรู้สึกและร่างกายนั้นสำคัญพอๆกันที่ต้องเยียวยา....ไปพร้อมๆกัน
ณ..ห้องฉุกเฉิน
เมื่อประเมินเบื้องต้นแล้วพบว่าคนที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ คุณแม่...ซึ่งมีความดันต่ำ และปวดมากจากบาดแผลที่ตอนแรกผมคิดว่าน่าจะเป็นกระดูกต้นขาซ้ายหัก.... แต่ต่อมาความดันก็ปกติดี ผล X-ray ผมก็คิดว่าหัก ..และข้อสะโพกหลุดด้วย... ส่วนอื่นๆก็ปกติ ทำให้เบาใจไปบ้างเล็กน้อย...
ลำดับต่อมาคือคุณพ่อ...ซึ่งตอนแรกเหมือนจะดีคือเดินได้เอง แต่ต่อมาก็พ่นเจ็บอก แน่นอก ปวดชายโครงและหายใจลำบาก ทำให้ผมก็กังวลเรื่องปอดและตับมาก แต่เมื่อตรวจร่างกาย และ X-ray แล้ว พบว่าปกติดี จึงเบาใจบ้างแต่ก็ยังห่วงๆ...
สุดท้ายคือลูกสาวครับที่ปวดต้นขา และขาซ้ายเดินลำบาก ผล X-ray เป็นกระดูกเชิงกรานหักเล็กน้อย ...
ต่อมาคือการจัดการแต่ละกรณี...
ผมตัดสินใจส่งต่อคุณแม่ด่วนเพราะวินิจฉัยว่ากระดูกต้นขาหักเคลื่อน....และลูกสาวที่พบกระดูกหักเช่นกัน แต่ก็ไม่ร้ายแรงนัก(เท่าที่ความรู้แพทย์ทั่วไปมีคือน่าจะเพียงนอนพัก ไม่ต้องผ่าตัดอะไร..) และคิดว่าจะให้ผู้ป่วยที่เป็นพ่ออยู่พักรักษาตัว ดูอาการต่อที่โรงพยาบาลปาย...
จริงๆแล้วเขาอยากไปพร้อมกันทุกคน แต่ว่าตอนนั้นเราไม่สามารถไปได้ และโรงพยาบาลก็ไม่สามารถรับได้... จึงอธิบายว่าถ้าดีขึ้นค่อยตามไปทีหลัง หรืออาจจะให้ไปพรุ่งนี้อีกที... ถึงตอนนี้นอกจากจะต้องอธิบายผู้ป่วยแล้ว ยังจะต้องอธิบายทำความเข้าใจกับเจ้านายเขา เพื่อนร่วมงานกันอีกหลายคน และพยามให้ความมั่นใจ. ต่อแนวทางที่รักษาอยู่ ซึ่งดูเหมือนทุกๆคนก็เข้าใจดี แต่ผมก็คิดว่านั้นเป็นภูเขาที่ผมต้องรับภาระต่อจากนี้จนกว่าผู้ป่วยจะปลอดภัยจริงๆ คือ24 ชม ต่อจากนี้...
ในคืนนั้นผมเดินไปเยี่ยมผู้ป่วยรายนี้หลายครั้ง ซึ่งสังเกตอาการอยู่อย่างใกล้ชิด...เพราะว่าผมก็เสียวๆเล็กน้อยเช่นกัน...แต่ทุกอย่างก็อยู่ในเกณฑ์ปกติ.. แต่กระนั้นก็ตามผมก็หลับไม่ค่อยสนิกนัก ในคืนนั้น...
เช้ามืดวันต่อมาบุตรสาวก็ถูกส่งกลับมารักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลปาย....นอนรักษาตัวอีก 3 วันก็กลับไปเยี่ยม ดูแลคุณแม่ซึ่งนอนอยู่ที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่... ซึ่งสรุปว่า เป็นเพียงกระดูกข้อสะโพกเคลื่อนหลุดเท่านั้น... ซึ่งก็ยิ่งถือว่าโชคดีกว่าเดิมอีกหลายเท่ากว่ากระดูกหักครับ...เพราะการรักษาและเวลาที่หายจะต่างกันเกือบ 10 เท่า...
ผู้ป่วยนอนอยู่โรงพยาบาลได้ถึงวันที่ 5 ทุกอย่างดีขึ้นมากเหลือเพียงเจ็บที่สะโพกเวลาเดิน จะเดินลำบากและเจ็บมาก ลูกนั่งก็ลำบาก จะเจ็บ... พอดีวันนั้นมีคุณหมออีกท่านมาดูแทนผมหนึ่งวัน ท่านได้ส่ง X-ray เพิ่มเติม ปรากฏว่ากระดูกเชิงกรานก็หักเช่นกัน แต่ไม่มาก ซึ่งอธิบายเรื่องการเดินแล้วเจ็บและเดินลำบากได้
การรักษากระดูกเชิงกรานหัก หลักที่สำคัญคือการรักษาแบบประคับประคองและการรักษาตามอาการ ที่ผมเข้าใจคือการนอนพักมากๆ เป็นเวลา 2- 4 สัปดาห์ จนหายปวดจึงค่อยๆเดิน....
การดูและผู้ป่วยแต่ละวันจึงไม่มีอะไรที่ซับซ้อนคือ..ให้พักและให้ยาแก้ปวด....
ในช่วงวันที่ 7 ของการรักษาผมก็เริ่มคิดถึงการวางแผนการกลับบ้าน..โดยเริ่มอธิบายถึงการดูแลในระยะต่อจากนี้..และหลักสำคัญๆ ให้ผู้ป่วยทราบและเข้าใจ...
ผมบอกกับผู้ป่วยว่าถ้าจะกลับบ้านก็สามารถกลับได้... และต้องนอนพักต่อที่บ้าน....อีกสักระยะ ยังไม่ควรทำงาน
ผู้ป่วยบอกว่าตนเองอยากจะพักรักษาตัวต่อที่นี่ รอจนกว่าภรรยาจะกลับมาก่อน อีกทั้งก็ยังรู้สึกปวดมากอยู่ ดังนั้นผมจึงเข้าใจและในการดูแลวันต่อๆมาก็ไม่ได้ถามถึงเรื่องการจะให้กลับบ้าน
เพราะว่าเข้าใจถึงเจตจำนงที่ผู้ป่วยมี... อีกทั้งก็รับรู้ถึงแววตาความกังวลหลายๆอย่าง ทั้งความรู้สึกในเรื่องราวที่เพิ่งผ่านมา ความกังวลเรื่อง ภรรยา และความกังวลต่อความเจ็บป่วยของตน
เพราะจากการอธิบายๆ ทุกๆวันผู้ป่วยก็ยังถามหลายๆอย่าง อาจจะซ้ำๆ เกี่ยวกับความเจ็บป่วย บ่งบอกถึงความรู้สึกภายในที่ยังตกใจ ยังมีร่องรอยของความบาดเจ็บอยู่ แม้ว่าแท้จริงเราจะดูว่าเขาหายดีภายนอก แต่ข้างในแล้วเมื่อสัมผัสจริงๆ ก็จะเห็นว่ามันยังไม่ปกตินัก
วันที่ 11 ของการพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลปาย โรงพยาบาลชุมชนบนดอยอันห่างไกล
เป็นวันที่ผู้ป่วยได้พบกับภรรยา ที่สามารถเดินได้เป็นปกติ เขาได้กลับมาหาสามี ซึ่งผ่านอุบัติเหตุ อันรุนแรงที่ได้เกิดขึ้นกับครอบครัว...
ในเช้าวันแรกที่ผมได้เห็นผู้ป่วยอยู่กับภรรยา... ผมรู้สึกและสัมผัสได้จากน้ำเสียง แววตาและใบหน้าที่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นของผู้ป่วย..บอกถึงเรื่องราวแห่งความอบอุ่น ดีใจ อุ่นใจ...
เมื่อทั้งสองมาอยู่ด้วยกันแล้ว บวกกับก็เป็นการนอนรักษาตัวที่นานเหมือนกัน คนไข้ที่โรงพยาบาลก็มาก คนที่รอต่อคิดห้องพิเศษก็เยอะเหมือนกัน... ผมจึงได้พูดคุย อธิบายเรื่องการกลับไปรักษาตัวต่อที่บ้านอีกครั้ง...
ครั้งแรกผู้ป่วยตอบผมกลับมาพร้อมตั้งคำถามว่า ... คุณหมอผมจะกลับไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลใกล้บ้านที่กรุงเทพได้หรือไม่ครับ... ผมตอบท่านว่า อืม... ไม่แน่ใจนะครับ เพราะว่าอาการแบบนี้เขาอาจจะไม่รับตัวไว้รักษาที่โรงพยาบาล เพราะว่าปลอดภัยแล้ว สามารถพักรักาตัวที่บ้านได้ เพียงแต่ว่าอาจจะต้องกลับไปตรวจX-rayซ้ำ หรือรับยารักษาตามอาการอื่นๆ.... ซึ่งผู้ป่วยก็เข้าใจดี....
จากนั้นช่วงวันที่13 ของการนอนโรงพยาบาล ท่านก็แจ้งว่าท่านกำลังติดต่อเรื่องรถของหน่วยงานต้นสังกัดท่านที่ต้องมารับท่านกลับไป ซึ่งทางหน่วยงานกำลังประสานเพื่อมารับอยู่ อาจจะใช้เวลาสัก2-3 วัน...
เมื่อมีเจ้าหน้าที่ถามท่านว่าจะสามารถออกไปนอนพักที่บ้านญาติ หรือคนรู้จักก่อนหรือไม่ เพื่อรอการมารับเพื่อเดินทางกลับ ท่านก็ตอบด้วยความบริสุทธิ์ใจ ว่าท่านไม่มีญาติหรือที่พักที่ใด...
ดังนั้นเรื่องการให้กลับบ้าน...ของผู้ป่วยทั้งสองท่านนี้ที่เจ็บป่วย จากเหตุการณ์อุบัติเหตุที่รุนแรงมาก จนผู้คนที่ผ่านไปมาแล้วพบเห็นสภาพรถที่เป็นอยู่ ณ จุดเกิดเหตุ... แทบไม่น่าเชื่อว่าจะผ่านมาได้..แบบนี้ เป็นมุมมองที่ยากที่จะตัดสินใจโดยใช้มิติทางการแพทย์ทางกาย อย่างเดียว แบบเอาความรู้สึกของผู้ให้บริการเป็นตัวตั้ง แบบตัวกูของกู
มันมีมุมมอง มีมิติอีกหลายด้านที่เราอาจจะต้องเข้าไปเรียนรู้ จะต้องเข้าไปสัมผัสและทำความเข้าใจ... คือปัจจัยทางด้าน จิตใจ อารมณ์ และสภาพบริบทแวดล้อมอื่นๆของผู้ป่วย ในรายนี้ที่สำคัญคือ ความไกลจากบ้าน ความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นกับทุกคนในครอบครัว และ ความรู้สึก บาดแผลในใจที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์อันน่ากลัวมากๆครับ.... ยากที่เราจะละเลย มองข้ามไปได้ครับ..
มิตรภาพระหว่างผู้ป่วยและผู้ดูแลเกิดขึ้นอย่างมากมายครับ... เป็นความรู้สึกดีๆ เป็นความชุ่มชื่นทางความรู้สึก ความเข้าใจ ความคิด แม้ว่าเราจะต่างถิ่น ต่างเชื้อชาติ ศาสนากัน... เราก็เป็นคน...ที่มีความรู้สึก ...
แม้ว่าการดูแลที่ผู้ดูแล จะมีความรู้สึกถึงประโยชน์ที่ผู้ป่วยจะได้รับสูงสุด จากการเข้ารับบริการจากองค์กรของเราครั้งนี้.....
แต่ก็ได้เรียนรู้ เข้าใจ เห็นใจ จากทัศนะอื่นๆ ที่แตกต่างกันออกไป ต่อเรื่องราวของความรู้สึกว่าผู้ป่วย นอนนานไปหรือไม่ อย่างไร.....
เช้านี้ผู้ป่วยกลับบ้านได้เเล้วครับ....
แต่ผมมีความรู้สึกว่าได้เรียนรู้หลายๆสิ่งมากมาย
ดีใจมากๆครับ ที่เรามีหมอดีๆ ที่รักษาทั้งกายและใจให้กับผู้ป่วย
ขอบคุณมากๆครับ ปรบมือให้ครับ..........ขออนุญาตนำไปรวมครับ....................รวมตะกอน
^ ^
มาส่งยิ้มให้กำลังใจ น้องหมอทำดีมากเลยค่ะ ^ ^
สวัสดีคะ
- น่าภูมิใจจริง ๆ ค่ะ
ขอบคุณคะที่ "ดูแลเราด้วยหัวใจ"
ขอบคุณอาจารย์ทุกท่านครับที่ร่วมแบ่งปัน