ความสำเร็จในการจัดประชุม ในแผนงานการกระจายอำนาจเพื่อสุขภาพ เล่าโดย ผศ.ดร.จรวยพร ศรีศศลักษณ์ ... ดร.แต้ม เล่าให้ฟังว่า
ตอนที่เริ่มตั้งแผนงานฯ มีการแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับทิศทาง และมีการเชิญประชุม เดิมจะตั้งผู้ใหญ่มากๆ เราก็มีปัญหา เวลาที่เชิญ บางครั้งผู้ใหญ่จะติด หรือไม่ค่อยเห็นความสำคัญของการประชุม ก็จะไม่ได้มา
ทักษะเรื่อง Convening skill จะมีตั้งแต่ การออกจดหมายเชิญ ทำอย่างไร ก็คือ หนึ่ง การออกจดหมายเชิญต้องให้เห็นความสำคัญ ของ สวรส. สอง คนที่ได้รับเชิญต้องมีความสำคัญ ต้อง win - win กันทั้งสองฝ่าย และที่สำคัญ สาม คือ เห็นผลระดับประเทศ ก็คือ เวลาที่เราทำหนังสือเชิญประชุมออกไป เราต้องไม่คิดว่า ทั้งหมดทั้งปวง สวรส. จะได้ประโยชน์ คนที่มาก็ได้ประโยชน์ด้วย และประเทศชาติ องค์กรก็ได้ประโยชน์ด้วย ข้อคิดเหล่านี้ มาจาก อ.วิจารณ์ ก็ได้นำมาปรับปรุง จาก Steering ครั้งที่ 1 ไปครั้งที่ 2 คนก็มามากขึ้นๆ
ในเรื่องการกระจายอำนาจ ส่วนใหญ่เรามุ่งเป้าว่า คนที่มาร่วมในจุดนี้ เป็น Stakeholder เขาจะต้องสามารถที่จะนำผลงานวิจัยของเราไปใช้ ไปสื่อสาร เป็นผู้กำหนดนโยบายได้
พอจัดประชุมจริงๆ เราต้องเตรียมว่า แต่ละครั้งที่จะประชุม มีเนื้อหาอะไร มีวาระอะไร ได้แก่ วาระที่ 1 แจ้งเพื่อทราบ วาระที่ 2 รับรองรายงานการประชุม วาระที่ 3 เรื่องเพื่อพิจารณา หรือว่า วาระที่ 4 เรื่องสืบเนื่อง หรือต่อไป ก็เป็นเรื่องอื่นๆ และการนัดประชุมครั้งต่อๆ ไป
และในแต่ละ agenda คนที่เป็นเลขาฯ ของการประชุมต้องทำการบ้านมา เช่น จะมีการประชุม Steering Committee ครั้งที่ 4 เดือนหน้า ต้องคิดว่า จะมีอะไรที่จะเป็น input เข้าสู่การประชุมบ้าง เช่น งานวิจัยที่นักวิจัยเขาทำมาแล้ว ต้องมานำเสนอสู่ Steering Committee เพื่อชี้ทิศว่า งานวิจัยนี้ถูกต้อง หรือไม่ถูกต้องอย่างไร มีข้อแนะนำอะไรบ้าง หรือแม้กระทั่ง Project วิจัย เราก็จะใช้การประชุมนี้เป็นการประชุมเพื่อชี้ทิศ หรือความคิดเห็นต่อผู้ทรงคุณวุฒิ กรรมการกำกับทิศทาง เขาก็จะให้ข้อเสนอแนะเราว่า ถ้าสมมติจะกระจายอำนาจเรื่องสุขภาพ เลขาฯ ได้นำเสนอ Research mapping หรือ Strategic mapping แล้ว แล้วควรจะไปทำการบ้านอะไรต่อ ควรจะไปทิศไหน ให้ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด จากการกระจายอำนาจเรื่องสุขภาพ
ทักษะในการประชุมนี้ ประเด็นที่อยากแลกเปลี่ยน คือ ทำอย่างไร ในเวลาที่ผู้ทรงคุณวุฒิที่หลากหลาย
อ.วิจารณ์ ให้ความเห็นเพิ่มเติมสไตล์ KM ค่ะ ว่า
ที่ ดร.แต้ม เล่ามานี้ เป็นเรื่องของการทำหน้าที่เลขาฯ การประชุม และบอกว่า เลขาฯ ต้องทำการบ้านหนัก เป็นเรื่องที่ดีมาก ... ที่จริงแล้ว เลขาฯ ต้องมีทีมเลขาฯ ก็น่าจะต้องเรียกว่า ทำ BAR เป็นการทำ KM อยู่ในทีม คือ การวางแผนว่า ในที่ประชุม ถ้ามีการประชุม 3 ชม. ใครจะทำหน้าที่อะไร มีการประสานงานกันอย่างไร แล้วเราคาดว่า อาจจะเกิด Emergency อะไร เกิดสภาพอะไรที่ที่เราอาจจะต้องแก้ปัญหา หรือต้องทำอย่างใดอย่างหนึ่ง
ยกตัวอย่าง
ผมข้ามมาที่ ตอนที่ผมทำ สกว. ความรู้พวกนี้ ทำให้สับสน ตอนที่ผมทำงาน สกว. เมื่อปี 2536 ผมได้เป็น ผอ. ผมก็มืดแปดด้านว่า ทำงาน สกว. ยังไง ทำยังไงดี โชคร้ายจัง ไปเที่ยวสมัคร และเขาก็เลือกรับเรา แล้วจะหาใครทำดี
อ.ประเวศ อาสาเลย บอกว่า ไม่เป็นไรเดี๋ยวผมช่วย ช่วยแนะวิธีทำงานให้
ในการประชุมหลายเรื่อง เราอาจจะต้องกำหนดไว้เลยว่า 10 คนนี้ต้องมา เพราะฉะนั้น 10 คนนี้ เราต้องโทรไปเลย ถามว่า อาจารย์ 3 วันนี้ว่างไหม ทำเรื่องนี้กันหน่อย อธิบายให้ฟัง เขาก็อาจจะเริ่มต้น ว่า ไม่ว่างหรอกหมอ อย่างนั้นอย่างนี้ คุยกันไปสักพัก ก็บอกว่า ผมเลื่อนอันนั้นให้ก็แล้วกัน ถ้าอย่างนี้แสดงว่า เรามีทักษะแล้ว ในการให้เขาเห็นความสำคัญ เพราะว่า อย่างที่ว่า 10 คนที่จะต้องมานี้ เขาไม่ได้ว่างหรอก และเราไปกำหนดวันเสียก่อน เป็นไปไม่ได้ แต่เขาเลื่อนให้
หรือว่าบางคนที่เราโทรไปเป็นคนแรกเลย อย่าลืมว่าคนแรกเป็นคนสำคัญ ที่อาจทำให้เราต้องเลื่อนวันได้ เราก็โทรไปถามเลยว่า ว่างหรือไม่ ถ้าอาทิตย์หน้า จ. อ. พ. ผมได้ ก็ตกลงผมเลื่อน
ถ้ามีการเจรจากันแบบนี้ ท่านนั้นไม่ใครมาฉกได้แล้ว อย่าลืมว่า เขาโดนฉกได้เสมอ เพราะที่จริง เราก็ไปฉกมาจากคนอื่นเหมือนกัน เพราะฉะนั้น กระบวนการอันนี้ทำให้ไม่ถูกฉก
มันกลายเป็นว่า จริงๆ แล้ว เขากลายเป็นเจ้าของการประชุมนี้ไปส่วนหนึ่งแล้ว คือ ถ้าเมื่อไรก็ตามที่เราทำให้การประชุมนี้ คือ เจ้าของการประชุมนี้เอง เขามาประชุมเพื่อเขา ไม่ใช่เพื่อเรา แต่เพื่อเขาในที่นี้ ไม่ใช่เพื่อส่วนตัว แต่เพื่อวงการทันตกรรมของเขา เพื่อวงการสุขภาพของเขา หรือเพื่อวงการเรียนรู้ของประเทศไทย แล้วแต่เข็มมุ่งในเรื่องประเด็นนี้ ว่า เขาจะใหญ่แค่ไหน
ถ้าองค์ประกอบของการประชุม เราได้แต่คนที่คิดว่า ฉัน ฉัน ฉัน องค์ประกอบนั้นก็ Unhealthy และเวลาที่เราติดต่อผู้คนต่อไปในข้างหน้านี้ เราจะประชุม เราก็จะ estimate คนพวกนี้อยู่ตลอด ต่อไปเราก็จะค่อยๆ เข้าใจ รู้จักคน ที่ว่าเป็น brain ของประเทศต่อไปได้ กลับมาเราก็มาประเมินกันด้วย โดยเฉพาะที่ สกว. นี้
เพราะฉะนั้น ที่ สกว. การประชุมไม่ใช่แค่การจัดการประชุม มันเป็นที่เรียนรู้ เป็นที่ชวนคนทำงาน แล้วก็การประชุมไม่ใช่ just การประชุม การประชุมเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างความสัมพันธ์ นี่คือ ท่าทีของเรา ความสัมพันธ์ตลอดชีวิต
เวลาผมอยู่ สกว. จะมีคนพร่ำบอกว่า คุณจะทำงานวิจัย หรือ สกว. ในส่วนสนับสนุนนี้ โครงการ 3 ปี ทำไปแล้ว เราไม่หยุดแค่ 3 ปีนั้นนะ ความสัมพันธ์ของเราตลอดกาล บางทีเราตายไปแล้ว ผลงานของคุณก็ยังนำไปใช้อยู่เรื่อย ยังมีการพูดอยู่ ... เราไม่ได้แต่งงานอย่างอเมริกัน แต่งแล้วก็จ้องจะหย่า เราต้องการแต่งงานแบบไทย อยู่กันไปจนตาย
การตั้งเป้าหมายความสัมพันธ์แบบนี้ มันจะเปลี่ยนพฤติกรรมของคน เมื่อไรก็ตาม คนสัมพันธ์กันด้วย ความคิดว่า เอ้อ โครงการ 3 ปี ประชุม 3 ชม. เรื่องจะเป็นอีกแบบ พฤติกรรมก็จะเป็นอีกแบบ แต่ถ้าหากว่า คนค่อยๆ เข้าใจว่า 3 ชม. นี้เพื่อสร้างความสัมพันธ์ 30 ปี พฤติกรรมก็จะเป็นอีกแบบ ไม่เหมือนกัน รวมทั้งการให้ทุนด้วย รวมทั้งการทำงานร่วมกันด้วย ... ทุกอย่าง
เมื่อไรก็ตามที่คนมี Mentality มี Paradigm มีวิธีคิดว่า เรากำลังคิดจะทำให้ความสัมพันธ์นั้นยาวยิ่งขึ้น คนจะไม่เกเร ไม่เห็นแก่ตัว ก็ไม่ถึงกับไม่หรอกนะ แต่เป็นการลด เพราะว่ามันอยู่บนฐานของความคิดที่มันมีความหวังดี ยาวนาน ลึกซึ้ง เชื่อมโยง และที่ผมพูดอีกอันหนึ่ง คือ เวทีประชุมอันนี้นั้น ไม่ใช่เขามาช่วยประชุม เขามาก็เพื่อตัวเขาเอง ที่ทำงานให้กับประเทศ ที่เขาใฝ่ฝัน
เราเป็นผู้ convene เราไม่ใช่เจ้าของเวที พวกนี้เราต้องคิดกลับ ซึ่งเราก็ไม่ได้พูดโจ่งแจ้งขนาดนั้น แต่การกระทำของเราบอก และเมื่อการกระทำของเราบอก ทำไปสักระยะหนึ่ง ซึ่งต้องใช้ระยะเวลายาว และเขาก็จะเข้าใจ Implicitly ไม่ใช่ Explicitly เพราะว่าเราไป announce อย่างนั้น ก็จะเป็นการบังคับ แต่เราต้องทำให้ในที่สุด ให้เขาเห็น และเขาก็จะเห็นเอง และต่อไปเราก็จะทำให้การประชุมนั้นง่าย เวลาเชิญใครมาประชุม ใหม่ก็ไม่มาก แต่จะค่อยๆ ดึงเป้าให้เรา Experty พวกนี้ ต้องมองไปในลักษณะคุณค่า หรือมี Value