Project based mentality อันนี้คือ อาจจะมองเป็นภาษาธรรมะ คือ มิจฉาทิษฐิ ไปยึดมั่นถือมั่นกับ project based mentality ซึ่งที่จริงเราทิ้งเขาไม่ได้ มันก็ต้องเป็น project based ละ แต่ว่าสมอง ความคิดของเรามันต้องไปไกลกว่านั้น ตรงนี้จะเป็นตัวคุณค่า เป็น guiding principle เป็นหลัก เป็นหัวใจที่ไกด์ คือ กำหนดแนวทางของความประพฤติ ของความร่วมมือกัน
หลังจากเรื่องเล่า convening skill ก็มีเรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ เอามาเล่าสู่กันฟัง เพื่อการต่อยอดค่ะ เช่น เรื่องนี้ อ.วิจารณ์ นำคุยถึงเรื่อง Project based mentality ว่า
-
หน่วยราชการ ข้าราชการ ค่อนข้างจะทำแบบไม่มีความต่อเนื่อง ... อันนี้ความจริงผมคิดว่า เป็น paradigm หรือ Mental model ที่มันครองโลก หรืออย่างน้อยๆ ก็ครองสังคมไทย คือ เป็น Project mentality
-
แล้ว สวรส. น่าจะมีวิธีคิด หรือทำความเข้าใจ แล้วก็เอามาใช้ประโยชน์ในการทำงานให้เยอะ ในเรื่อง Project based mentality
-
ยกตัวอย่าง เราจะทำเรื่องผู้สูงอายุ เรื่องสุขภาพช่องปาก เราก็ไปเซ็น MOU กับหมอนนทลี สมมติ 2 ปี ให้ทำอย่างนี้ ก็จบ และ สวรส. ก็บอกว่า OK
-
... อย่างนี้ที่ผมเรียกว่าเป็น Project based mentality สัญญา คือ 2 ปี แต่ Mentality หรือว่าการมองความสัมพันธ์กับหมอนนทลี หรือคนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับเรื่องของสุขภาพช่องปาก ในสายตาของผม คือ ตลอดชีวิต เป็น Life long relationship
-
แต่ว่ามันผ่านโครงการที่จำเป็น คือ 2 ปีแล้ว แต่ relationship ไม่ใช่ และ 2 ปีนี้ มันต้อง generate อย่างอื่นอีกเยอะ ที่เป็นตัวยึดโยง relationship
-
แล้วก็ relationship ก็ไม่ได้แปลว่า ต่อไปต้องให้ทุนกับหมอนนทลีอีก ไม่ใช่ อาจไม่ได้ให้อีกเลยอีก 10 ปี แต่ว่า relationship ยังอยู่ เพราะว่าอะไร เพราะเราไม่ต้องให้แล้ว หมอนนทลีทีใครมารุมจนกระทั่งเอาตัวเองไม่รอด กับงานอีกตั้งเยอะแยะเลย
-
แต่ว่า สวรส. ก็อาจจะไปจับประเด็นเชิงระบบสุขภาพ ในความสำเร็จที่ทีมหมอนนทลี และทีมอื่นๆ ชี้ให้เห็น และไกด์ภาพของประเทศให้เห็น ไกด์วิธีการทำงาน ไกด์ mapping ของคนที่เข้ามา ตัวละครที่เกี่ยวข้อง
-
ทั้งหมดนี้ คือ ความสัมพันธ์ที่ยังคงอยู่ ซึ่งมันยิ่งใหญ่กว่าเจ้า 5 ล้าน 2 ปี ความสัมพันธ์นี้ไม่เล็กที่ 5 ล้าน ความสัมพันธ์ต้องยิ่งใหญ่กว่านั้น และต้องยาวกว่า 2 ปี มันไม่มีจบ มันต้องไปเรื่อยๆ
และถ้าเรามีวิธีคิดแบบนี้ จนเป็นนิสัย เป็น culture แล้ว เรื่องอื่นๆ จะตามมาอีกเยอะอย่างมากมาย แล้วก็ถ้ามองในแง่ส่วนตัว เราได้ประโยชน์มากที่สุด เพราะอะไร เพราะถ้าเรามี mental model อย่างนี้แล้ว เราจะไม่ทำชั่ว ทำชั่วยากมาก เพราะเรารู้ว่า อนาคตเราต้องการ relationship เราได้ประโยชน์
Project based mentality อันนี้คือ อาจจะมองเป็นภาษาธรรมะ คือ มิจฉาทิษฐิ ไปยึดมั่นถือมั่นกับ project based mentality ซึ่งที่จริงเราทิ้งเขาไม่ได้ มันก็ต้องเป็น project based ละ แต่ว่าสมอง ความคิดของเรามันต้องไปไกลกว่านั้น ตรงนี้จะเป็นตัวคุณค่า เป็น guiding principle เป็นหลัก เป็นหัวใจที่ไกด์ คือ กำหนดแนวทางของความประพฤติ ของความร่วมมือกัน