สวัสดีครับเพื่อน ๆ ชาวโกทูโนว์ ช่วงนี้แวะเข้ามามีเรื่องเล่าต่อของนักปรัชญาอินเดียร่วมสมัยที่ยังไม่ห่างไกลกันนักคือ รพินทรนาถ ฐากุร ปรัชญาของเขามาจากกวีวรรณกรรมที่สร้างสรรค์ผลงานเอาไว้มาก
เขาเป็นชาวเอเชียคนแรกที่ได้รับรางวัลโนเบลจากบทประพันธ์ชื่อ คีตาญชลี ในปี พ.ศ. 2456 และในอีก 2 ปีต่อมารับบาลอังกฤษได้ตั้งเขาเป็นขุนนาง ( Sir ) แต่เมื่อรัฐบาลอังกฤษปกครองอินเดียอย่างกดขี่ เขาจึงคืนตำแหน่งนี้ไป ขอเป็นคนอินเดียธรรมดา ๆ ตามเดิม
มรดกที่เขาฝากไว้ให้คนรุ่นหลังคือเขาตั้งมหาวิทยาลัยวิศวภารติ ศานตินิเกตัน อยู่หางจากเมืองกัลกัตตาไปประมาณ 93 ไมล์ คำขวัญของมหาวิทยาลัยคือ...สถานที่พักพิงของชาวโลก...( ยตฺร วิศฺวํ ภวฺยเตก นีฑํ )...
เขาล่วงลับไปเมื่อวันที 8 สิงหาคม พ.ศ. 2484 รวมอายุได้ 80 ปี ก่อนเขาล่วงลาลับโลกไปเพียง 10 วัน เขาได้แต่ง The Last Poem เป็นกวีนิพนธ์ชิ้นสุดท้ายโดย เรืองอุไร กุศลาสัย ได้แปลถอดความให้เราอ่านโดนใจจังดังนี้...
ราตรีอันมืดทมึนแห่งความโทมนัสได้มา ปรากฏที่ธรณีประตูบ้านของข้า ครั้งแล้วก็ครั้งเล่า
อาวุธอย่างเดียวของมันที่ข้าเห็นก็คือคิ้วอันขมวดด้วยความปวดร้าว และท่าทีอันน่าเกลียดของความกลัว ซึ่งล่วงหน้ามาก่อนการหลอกลวงของราตรี ในท่ามกลางความมืด
เมื่อใดที่ข้าหลงเชื่อในหน้ากากแห่งความน่ากลัวของราตรีนั้น เมื่อนั้นความพ่ายแพ้อย่างไร้ผลก็เกิดขึ้นแก่ตัวข้า กีฬาแห่งความพ่ายแพ้ผลัดกับชัยชนะเช่นนี้แหละคือมายาของชีวิต
ทุกฝีก้าวมาแล้วแต่เยาว์วัย สภาพเช่นนี้เกาะแน่นอยู่กับเราเต็มไปด้วยแววเยาะเย้ยแห่งความเศร้าโทรมมนัส ( ปรากฏการณ์ทั้งหลายนี้อุปมาได้กับ ) ม่านอันเคลื่อนที่ได้แห่งความหวาดกลัวนานัปการ
( ซึ่งเป็น ) หัตกรรมอันฉลาดล้ำของมรณะที่เนรมิตขึ้นมา ในท่ามกลางความมืดมนที่แผ่กระจายอยู่ทั่วไป.
สวัสดีครับ คุณวราภรณ์ ธรรมทิพย์สกุล
เยี่ยมจังเลย
ช่วยพิสูจน์อักษรให้ด้วย
ยูมิพิมพ์ไม่ถูกเองละครับผม
ชื่มชม ๆ
อิ อิ อิ
ขอบคุณครับผม