14-16 มิถุนายน 2551 คือช่วงเวลาที่ฉันพำนักอยู่ ณ สวนป่ามหาชีวาลัยอีสาน การมาเยือนสวนป่าในครั้งนี้ ฉันได้นำพาคนหลายคนจากกระบี่ติดตามมาด้วย มีหญิง 5 คน และชาย 1 คน ทุกๆคนไม่เคยมาเยือนสวนป่าแห่งนี้ ด้วยความสงบของสวนป่ากระมังที่ทำให้หนึ่งหญิงที่มาด้วยเหมือนต้องมนตรา เป็นมนตราที่ทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายจนโรคประจำตัวที่รุมเร้ามีอาการคลี่คลายลงมาก เธอที่ฉันกำลังเอ่ยถึงนี้เป็นคนไข้ที่ฉันได้ดูแลตั้งแต่เธออายุ 10 ปี จนกระทั่งเวลานี้อายุเธอเลยเบญจเพสไปแล้ว
เหตุผลที่ฉันชักนำเธอมาสวนป่ามีไม่มากไปกว่า ฉันอยากให้เธอได้ค้นพบทางผ่อนคลายความเครียดที่มีอยู่ในชีวิตของเธอที่ฉันไม่รู้ว่าอะไรคือเหตุ ฉันได้พบเธอก่อนมาสวนป่าราว 2 สัปดาห์ ขณะเวลานั้นฉันบอกตัวเองในใจว่า ฉันจะมาเยือนสวนป่าอีกครั้งในช่วงที่สวนป่ามีนักศึกษาแพทย์มาเยือน
เมื่อได้พบกันที่ห้องตรวจโรคครั้งนั้นอาการโรคของเธอกำเริบขึ้นมากอย่างไม่น่าเป็นไปได้ ประสบการณ์ของฉันบอกว่า น่าจะมีความเครียดอยู่ในใจเธอ เมื่อสอบถาม เธอตอบว่า ไม่มีเรื่องอะไรมากมาย เป็นเรื่องเดิมๆของครอบครัว แต่ไม่บอกรายละเอียด ฉันเดาเอาเองเมื่อได้ฟังว่า เหตุน่าจะมาจากการต้องต่อสู้ดิ้นรนกับการหารายได้เพื่อเลี้ยงตัวของเธอด้วยว่า เธอต้องรับผิดชอบแม่ที่มีโรคเรื้อรัง ต้องรักษาตัวเอง ต้องดูแลหลานซึ่งพี่สาวเอามาทิ้งไว้ให้เลี้ยงดู และต้องเสียทรัพย์สินที่หามาได้เพื่อช่วยเหลือพี่สาวซึ่งเป็นหม้ายอยู่บ่อยๆ ตอนนั้นไม่รู้มีอะไรดลใจให้ฉันแวบนึกถึงสวนป่า ฉันถามเธอว่า เธอมีพื้นที่ปลูกต้นไม้เป็นของตัวเองหรือไม่ เธอบอกว่ามี ฉันจึงออกปากชวนเธอว่า ถ้าเป็นไปได้ อยากให้ตามฉันมาสวนป่าด้วย เธอขอเวลากลับไปตริตรองตัดสินใจก่อน 1 คืน ในวันรุ่งขึ้น เธอได้ตอบตกลงการมาสวนป่าด้วย
อาการของโรคของเธอดีขึ้นทุกวันๆเมื่ออยู่ที่สวนป่า เธอเปิดใจเล่าความในใจออกมาให้ฟังมากมาย เธอบอกฉันว่า ในอดีตเธอเคยคิดทำร้ายตัวเองให้ตกตายไปเนื่องจากอาการป่วยนี้ เพื่อนบ้านรังเกียจและกล่าวหาว่าเธอเป็นโรคติดต่อร้ายๆทั้งๆที่เธอเป็นเด็กดีของแม่มาตลอดเวลา เธอไม่เข้าใจว่า เหตุใดคนที่อยู่บ้านใกล้กันจึงต้องทำร้ายกัน ทำไมเพื่อนบ้านจึงพูดจาว่าร้ายเธอทั้งๆที่เธอไม่เคยทำร้าย ไม่เคยให้ร้ายเขาเลย เธอเล่าว่าเธอมามีความหวังต่อการรักษาโรคเมื่อเธอได้มาพบกับฉัน ฉันว่าความสัมพันธ์กันในฐานะหมอและคนไข้ที่มีมายาวนาน ความปรารถนาดีที่ฉันมอบให้เธอผ่านการดูแลรักษาทำให้เธอไว้ใจ เมื่อฉันเอ่ยปากชวนเธอมาสวนป่า เธอจึงตกลงใจรับคำชวนโดยไม่ลังเล
เรื่องในครอบครัวหลายแง่มุมได้ก่อความเครียดให้เธอ ระหว่างอยู่ที่สวนป่า เธอค้นพบว่ามีเรื่องที่เธอต้องทบทวนและตัดสินใจใหม่เกี่ยวกับครอบครัว เธอค้นพบว่าทุกข์ที่เธอคิดว่ามันมีมหาศาลจนรู้สึกแย่กับชีวิตมาตลอดนั้น จิบจ้อยเสียนี่กระไร เธอบอกว่าเธอได้พบความจริงข้อนี้เมื่อเธอพบพี่ปิ๋วที่สวนป่า เรื่องของเธอเมื่อเทียบกับชีวิตของพี่ปิ๋ว การได้พบได้คุยกับพี่ปิ๋ว การได้เห็นความเป็นอยู่ของครอบครัวพ่อครู ทำให้เธอได้คิด เธอบอกฉันว่า เธอโชคดีที่ตัดสินใจตามฉันมาสวนป่า
ตอนที่ได้ยินเธอบอกว่า เธอเคยคิดทำร้ายตัวเองให้ตกตาย ฉันรู้สึกใจหาย เพราะตั้งแต่ดูแลเธอมาตลอดนั้น ฉันไม่เคยระแวงว่า เธอจะมีความคิดเยี่ยงนี้อยู่ในใจ โชคดีนักหนา ที่เธอยังไม่ได้ลงมือทำ เรื่องเล่าของเธอสอนให้คนเป็นหมออย่างฉันได้บทเรียนว่า ฉันดูแลคนไข้ยังไม่ดีเลย ฉันยังดูแลใจของเขาเหล่านั้นน้อยไป ใจที่ชอบไหลลงต่ำเกือบทำให้เด็กสาวคนหนึ่งพลั้งพลาดลงมือทำร้ายตัวเองให้เป็นผิดบาปต่อตัวเอง ดีที่เธอรู้จักดูแลใจของตัว แม่ของเธอรู้จักดูแลใจเธอ เรื่องน่าอนาถใจจึงไม่เกิดขึ้น
เมื่อใจเปิด ฉันรู้สึกว่าเธอสดใสขึ้น กล้าคุย ช่างคุย และร่าเริงมากขึ้น เธอบอกว่า มิเสียทีที่ตัดสินใจตามฉันมาสวนป่า การบอกนี้ทำให้ฉันรู้ว่า ความปรารถนาดีที่ฉันได้มอบให้เธอในครั้งนี้ ประสบผลสำเร็จแล้ว เธอไขข้อข้องใจตัวเองได้ว่า ที่แท้แล้วโรคเธอกำเริบขึ้นเพราะเธอโลภไม่อยากแบ่งปัน เธอฝืนสังขารไปทำงานหนักให้ร่างกายล้าด้วยเหตุเพียงว่าเสียดายเงินค่าจ้างห้าพันบาทที่จะต้องจ่ายให้คนอื่นในการมาช่วยตัดและรวบรวมน้ำยางพาราสดให้เธอ ทั้งๆที่รายได้ที่เธอได้มาแม้หักค่าแรงที่จ่ายห้าพันบาทแล้วจะยังมีเหลือเกินกว่า 3 เท่าของมัน เธอเล่าพร้อมรอยยิ้มที่เบิกบาน พร้อมบอกว่า เธอได้บทเรียนที่สำคัญยิ่ง ฉันถามเธอว่า ถ้ามีโอกาสมาสวนป่าอีก จะมาไหม เธอตอบทันทีว่า มาค่ะ ระหว่างเขียนคำตอบของเธอลงในบันทึกนี้ ฉันนึกไปถึงคำทักของลุงเอกในวันที่แวะไปรับพ่อครูขึ้นมาได้ ลุงเอกเย้าฉันว่า หมอเจ๊หลอกมาได้กี่คนละคราวนี้ ใครที่เข้ามาอ่านบันทึกนี้เป็นประจักษ์พยานนะค่ะว่า ฉันเปล่าหลอกเธอนะค่ะ ฉันนำพาเธอมาพบสิ่งดีๆในชีวิตต่างหากละ
ได้อ่านบันทึกเพราะรอดูบอล
ที่สวนป่าก็สังเกตเห็นว่าน้องอาการดีขึ้น ดีใจที่น้องแข็งแกร่งขึ้น ดูจากแววตาน่ะ อิอิ
ของฝากจากสวนป่า ยินดีด้วยกับชีวิตที่คิดได้ และสดใส
รองเท้าเดินป่า เป็นเครื่องหมายว่าจะได้มาเดินอีก อิ อิ
สวัสดีค่ะ
สวัสดีครับ หมอเจ๊
พี่หมอครับ
ความเครียดใช่แน่ ผมเป็นอัยการจังหวัดเยาวชนความดันขึ้น เป็นอัยการจังหวัดใหญ่เบาหวานขึ้น อิอิ ตอนนี้สบาย
น้องคนนั้นน่ารักนะครับเวลาเขายิ้ม
เขาได้ลองกินสมุนไพรสองชนิดนั่นด้วยไหมครับ
คนแซ่เฮเราคิดเพื่อสังคมอย่างนี้แหละครับ ไม่ได้เฮแบบไร้สาระแม้แต่น้อย อิอิ
สวัสดีค่ะคุณหมอเจ๊
(^___^)
หมอเจ๊ขา..
สวนป่าเป็นห้องเรียนของเราเสมอ ดีจังที่หมอเจ๊ชอบสวนป่าครับ
คุณหมอ เป็นหมอที่หายากค่ะ ในสมัยนี้ ขอชื่นชมๆๆค่ะ
ได้อ่านแล้วก็รู้สึก สาธุ ที่น้องหมอได้ทำในสิ่งที่มีผลดีเหลือหลาย ไม่อาจประเมินค่าได้ .... สังคมเรามีปรากฏการณ์ดีดีเหล่านี้ เราก็มีความหวังครับ เราก็มีสุข เพราะเราช่วยกัน
ทำให้เรารู้ว่าคุณค่าของการได้ช่วยคนนั้น บางทีเราก็ไม่คาดคิดว่า เท่ากับเราช่วยชีวิตเขาด้วย แม้เป็นทางอ้อมก็ตาม และมีค่ามหาศาล มากมาย เพราะชีวินท่านนั้นมีผลกระทบกับคนอีกหลายชีวิต หากหาไม่แล้ว คนที่ต้องพึ่งพาท่านนี้จะได้รับความยากลำบากอีกเท่าไหร่....
Impact มากเหลือเกิน สาธุ น้องหมอครับ