มันจะเป็นอะไรก็ช่างมัน แต่เราก็ภาวนา


“จะเป็นอะไรก็ให้มันเป็นไป เราก็ภาวนาของเรานี่แหละ ไปเรื่อย ๆ เจริญสติไปเรื่อย ๆ มันจะไม่สงบ ก็ภาวนา มันจะฟุ้งซ่านก็ภาวนา มันจะเป็นอะไรก็ช่างมัน แต่เราก็ภาวนา”

ครูสอนหนูและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ในวันที่ 31 ธันวาคม 2552 ว่า

“งานที่พี่ทำอยู่มันสมควรทำต่อไหม ติ๋ว รึพี่ควรจะเลิกทำดี ฉันทำ ทำไมวะ มีคนตั้งมากมายที่เขาไม่เห็นด้วยกับเรา”

พระท่านที่เป็นกัลยาณมิตรกับครูท่านก็เคยบอกว่า

“ระวังจะถูกหลอกนะ เพราะโยมเป็นคนที่น่าเชื่อถือ เขาอาจจะใช้ตรงนี้มาเอาประโยชน์ได้”

 

หนูทบทวนสิ่งที่ครูให้ข้อมูลมา พร้อม ๆกับสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ตามลมหายใจและเดินจงกลมไปด้วยขณะคุยโทรศัพย์กับท่าน หนูจึงเอ่ยตอบท่านว่า

“ในความคิดของติ๋ว ติ๋วมองว่าพี่ไม่ได้สนว่าใครจะหลอกใช้หรือไม่ สำคัญที่ว่า เด็ก ๆ หรือกลุ่มคนที่พี่เข้าไปช่วยนั้น เขาได้ประโยชน์ ซึ่งการหลอกหรือ ไม่หลอกอยู่นอกเหนือประเด็นค่ะ”

ครูตอบว่า

“ดีมาก สมกับเป็นศิษย์ที่เราสอนมา เราเคี่ยวเข็นมันมา เพราะพอพี่ได้ฟังท่านพูด พี่ก็คิดอย่างที่ติ๋วคิดนี่แหละ”

พอครูเอ่ยคำนี้ขึ้นมา ใจหนูรู้สึกอิ่ม สบาย ๆ แต่ไม่ได้ถึงกับพอง หนูเลยพูดต่อว่า

“ติ๋วคงพอจะสะท้อนภาพได้ชัด ในฐานะของคนที่เคยถูกช่วยเหลือมาก่อน ซึ่งขณะที่พี่ลงมือช่วยเหลือหนูนั้น เต็มไปด้วยเสียงหาย และเสียทัดทาน ประมาณว่า เหนื่อยเปล่าบ้างหล่ะ ซึ่งก็จะเป็นคนแวดล้อม ครูและหนูเป็นคนเอ่ยทัดทาน แต่ครูก็อดทน ช่วยเหลือมาจนทุกวันนี้ หากจะว่าไปตอนนี้ดูเหมือนว่าการทำความดีของพี่ มีเสียงทัดทานที่ดูจะมีน้ำหนักมากขึ้นค่ะ หรือบางทีเสียงทัดทานละเอียดมาก ๆ จนเป็นเสียงทัดทานจากในใจตนเอง ไม่ต้องมีผู้คนอื่นเข้ามาเลย ก็เป็นได้”

 

ครูเอ่ยว่า

“ใช่ทุกครั้ง ที่พี่ทำงาน หลัง ๆมา นี่เรารู้ว่าเราเจอโจทย์ยากขึ้นเรื่อย ๆ อุปสรรคละเอียดขึ้นเรื่อย ๆ เราถึงบอกไงว่ามันยาก”

ท่านจึงเล่ารายละเอียดที่ไปที่มาของเสียงทัดทานที่ปรากฏขึ้นมาสั่นสะเทือนความรู้สึกในการทำความดี แม้โดยรูปแบบดูเหมือนครูท่านโทรมาปรึกษา แต่ที่จริงไม่ใช่ซะทีเดียว

รูปแบบนี้คือ การสอนของครู สอนให้เห็นจะ ๆ ว่าตอนที่ท่านเจอโจทย์ ท่านทำอย่างไร ใจท่านเป็นอย่างไร ท่านเผชิญโจทย์นี้อย่างไร

 ครูท่านมีสติ ตลอดเวลาทุกขณะจิต ไม่ว่า ขณะที่ท่าน ฟัง พูด หรือ แม้กระทั่งคร่ำครวญ หนูก็รู้สึกได้ว่าท่านมีสติ เพราะครูต้องการสอนหนู ให้เห็นความจริงของใจ ธรรมชาติและวิถีการดำเนินไปของจิตท่าน แล้วสุดท้าย ท่านก็ขอวางสายไป บอกว่า “พี่ขอภาวนาก่อน”

          หนูนั่งทบทวนสิ่งที่คุยกับครู และก็เขียนบันทึกและตอบข้อคิดเห็นใน G2K ไม่นานครูท่านโทรกลับมาด้วยน้ำเสียงเบิกบาน แต่ตอนนั้นหนูรู้สึกง่วง ท่านบอกว่า

“เรารู้แล้ว”

 

 

หนูรู้สึกดีใจ ทุกครั้งที่ท่านผ่านแต่ละสภาวะ ท่านจะแบ่งเรื่อง ราวและความเบิกบานให้หนูเสมอ ท่านเล่าว่า

“พี่เดินภาวนาอยู่ ที่ทางจงกลม ชาวบ้านข้าง ๆ ก็เปิดวิทยุหลวงตา เราก็เดินไปเรื่อย ๆ แล้วใจเราก็รู้สึกว่า เฮ้ย จะมาตั้งท่าอะไรนี่ พี่ก็เดิ๊น ไปเรื่อย สลับกับนั่งดูพระจันทร์ ไม่ได้เดินแบบเอาเป็นเอาตายนะ แบบประมาณว่า เอาวะจะเป็นอะไรก็ช่างมัน แล้วก็ได้ยินหลวงตาท่านบอกว่า

“พระอานนท์ ท่านเดินจงกลม ทำความเพียรจนหมดสติ หมดปัญญา ทำยังไงก็ไม่บรรลุอรหันต์ สักทีก่อนวันสถาปนา สุดท้ายท่านเลยตัดใจ ช่างมัน แล้วท่านก็กำลังโน้มตัวลงนอนตอนนั้นแหละก็บรรลุเลย ในท่าโน้มตัวกำลังนอน"

 พี่มารู้สึก เออวะ ฉันจะไปคิดทำไมวะ จะเป็นอะไรก็เป็นไป ช่างหัวมัน เท่านั้นแหละ จิตมันก็สว่าง”

 

หนูฟังแล้วรู้สึกดีใจด้วย แต่ก็โดนความง่วงเหงาหาวนอนเข้าครอบงำ จำที่ท่านเอ่ยได้บ้าง ไม่ได้บ้างกระท่อนกระแท่น แต่โดยสรุปครูท่านเมตตาสอนว่า

“จะเป็นอะไรก็ให้มันเป็นไป เราก็ภาวนาของเรานี่แหละ ไปเรื่อย ๆ เจริญสติไปเรื่อย ๆ มันจะไม่สงบ ก็ภาวนา มันจะฟุ้งซ่านก็ภาวนา มันจะเป็นอะไรก็ช่างมัน แต่เราก็ภาวนา”

 

 

สาธุ สาธุ สาธุ เจ้าค่ะ

  

หมายเลขบันทึก: 324510เขียนเมื่อ 1 มกราคม 2010 23:42 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 22:09 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท