วิธีการเรียนรู้ด้วยตัวเองอย่างเป็นอิสระที่สำคัญอย่างหนึ่งที่อาจารย์วิจารณ์กล่าวถึง คือ การนำความคิดของตนไปทดลองปฏิบัติ แล้วมาสรุปใคร่ครวญถึงผลที่เกิดขึ้น
เมื่ออาจารย์มาทำสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม (สคส.) ได้เห็นตัวอย่างจากการเรียนรู้ของสมาชิกโรงเรียนชาวนาของคุณเดชา ศิริภัทร์ มูลนิธิข้าวขวัญ ที่จ.สุพรรณบุรี ก็เห็นเลยว่าชาวบ้านไม่กล้าเรียนรู้ ถ้าไม่มีการรวมกลุ่ม ซึ่งตรงกับวิธีคิดของ สคส. ที่มองการเรียนรู้ว่าอยู่บนฐานของการปฏิบัติ และการเรียนรู้จะเกิดพลังได้ถ้ามีการเรียนรู้ร่วมกัน
ที่โรงเรียนชาวนาคนที่จะมาเข้าเรียนต้องทำนา ต้องมีนาของตัวเอง แล้วเอาเรื่องที่ได้เรียนรู้จากการทำนามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันอาทิตย์ละครึ่งวัน ถ้าไม่มาถือว่าขาดเรียน แต่สามารถส่งสมาชิกในครอบครัวมาแทนได้ นอกจากภาคปฏิบัติแล้วยังมีเรียนภาคทฤษฎีที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสนด้วย กรณีโรงเรียนชาวนานี้ทำให้เราได้เห็นว่าชาวบ้านเรียนรู้อย่างไร
พอบอกว่าในการเรียนรู้ต้องจดบันทึกด้วย ในตอนแรกก็ไม่กล้าจดกัน แต่พอลุงสุข เชื้อหนองปรง ซึ่งอายุ ๕๐ ปี เริ่มบันทึก แล้วมีการเอาบันทึกการสังเกตมาแลกเปลี่ยนกัน มีการถ่ายภาพมาลงใน http://gotoknow.org/blog/ คนก็เริ่มเข้าใจว่าบันทึกที่ทำขึ้นเป็นการสื่อสารเรื่องที่ไปทดลองทำกันมา ผิดถูกไม่เป็นไร ก็เกิดเป็นวัฒนธรรมใหม่
พอมาถึงตรงนี้ ก็ได้ข้อสรุปอีกเรื่องหนึ่งว่า “การเรียนรู้ต้องการความมั่นใจ การเรียนรู้ต้องมีการปฏิบัติ”
หากจะเทียบกันไปแล้ว การครอบงำชาวบ้านยังไม่รุนแรงเท่ากับการครอบงำที่มีอยู่ในแวดวงการศึกษา ที่ครูตกอยู่ในอำนาจของผู้บริหาร และ ผู้บริหารก็อยู่ในอำนาจของระบบ ทำให้ครูขาดอิสระที่จะได้ทดลองเรียนรู้ ครูดีไม่ได้รับการชื่นชม ไม่มีการนำความสำเร็จที่ได้ไปขยายผลต่อ
การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การสร้างความรู้ที่ได้จากการปฏิบัติ มี SSS – Success Story Sharing เป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง
การศึกษาต้องพัฒนาจากผลการดำเนินการของตัวเอง วิธีการจัดการเรียนรู้ที่ดีต้องมาจากเขา การทำงานภายใต้วัฒนธรรมของอำนาจและการสั่งการเป็นสภาพที่ไม่เอื้อต่อการเรียนรู้
ในจำนวนโรงเรียน ๔๐,๐๐๐ โรง ที่มีอยู่ทั่วประเทศ น่าจะมีโรงเรียนที่ทำอะไรได้ดีอยู่แล้วไม่น้อย แต่เรายังไม่มีวิธีที่จะขยายดีให้กว้างขวางออกไป การเอาเรื่องดีมาขยายผล เป็นการสร้างการเปลี่ยนแปลงโดยไม่เน้นการแก้ไข แต่เป็นการนำเอาความสุข ความสำเร็จ มาทำความเข้าใจว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร
จะเกิดความเข้าใจได้ต้องมีการตีความอย่างเป็นอิสระ แต่ละคนก็จะเกิดความรู้แต่ละแบบ เพราะมองมาจากคนละบริบท หากมีทั้งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การตีความ การทำความเข้าใจ ที่แตกต่างกันออกไปตามแต่บริบทของตน แล้วมีนักทฤษฎีมาช่วยอธิบายเชิงลึก ถ้าอธิบายได้ด้วยหลายทฤษฎีก็จะยิ่งดี แต่ต้องไม่เป็นทฤษฎีที่ขัดแย้งกัน กระบวนการที่ว่านี้จะช่วยให้เกิดระดับความลึกของความเข้าใจที่มากน้อยต่างกัน ขึ้นอยู่กับการตีความความรู้ของแต่ละบุคคล
เมื่อมีการนำสิ่งที่ได้จากการเรียนรู้กลับไปปฏิบัติ แล้วนำผลที่ได้จากการปฏิบัติมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันใหม่ การเรียนรู้ที่ได้ก็จะลึกและมีความต่อเนื่อง หากทำให้เป็นกิจวัตร ก็จะเกิดเป็นวิถีของการเรียนรู้ที่หมุนวนไปจนตลอดชีวิต
ไม่มีความเห็น