หลังจากที่อาจารย์ระพีกล่าวจบ อาจารย์สุมน อมรวิวัฒน์ ได้ขึ้นมานำเสนอความคิดเรื่องของการเรียนรู้เพื่อความเป็นไท ดังมีประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้
การเรียนรู้เป็นกระบวนการสำคัญอย่างหนึ่งของการศึกษา การที่เครือข่ายโรงเรียนไทยไทมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันนั้น เป็นการเรียนรู้จากกันด้วยปัญญาปฏิบัติ
การเรียนรู้ชีวิตและวิชา เสียงร้องอุแว้ของเด็กทารกเป็นเสียงประกาศว่าเขาต้องการมีชีวิตอยู่ ตอนที่พ่อแม่เลี้ยงดูลูกให้เติบโตนั้น พ่อแม่เห็นลูกเป็นคน ใช้ชีวิตเป็นศูนย์กลางของการอบรมสั่งสอน ในการศึกษาระดับปฐมวัยยังคงใช้ชีวิตเป็นตัวตั้ง การเรียนรู้เป็นไปอย่างรื่นรมย์ และยังไม่เคร่งครัดกับตัววิชา
ระบบการศึกษาตัดชีวิตเป็นท่อน อนุบาล ประถม มัธยม ใช้ครูคนละชุด อุดมศึกษาเปลี่ยนครูเป็นคณาจารย์ ครอบงำความรู้ความคิด แต่ปล่อยเสรีในการใช้ชีวิต ความรู้ที่ให้มีความแยกย่อย ดิ่งเดี่ยว เป็นความรู้ภายนอกที่ห่างไกลจากชีวิตและจิตใจภายในตน
รู้ศาสตร์เพื่อเข้าใจโลกภายนอก -โลกภายใน ครูคือผู้ที่ดึงความสามารถของศิษย์ออกมา และดึงความเขลามาขจัดออกไป ใส่ฉันทะคือความเพียรในการฝึกฝน ทำให้ศิษย์เห็นความสำคัญของตน ศิษย์และครูเรียนรู้จากกัน พ่อแม่และลูกเรียนรู้จากกัน ทุกคนเรียนรู้จากกันและกัน การศึกษาคือการฝึกฝนกาย วาจา ใจ
กระบวนการเรียนรู้ตามแผนที่หัวใจ (MAPS: Music, Art, Physical, Spiritual development) คือการพัฒนาจิตด้วยสุนทรียภาพ การเคลื่อนไหว และการภาวนา เพื่อสร้างสรรค์จินตนาการ การถ่ายทอดความคิด การสร้างวินัยในตนเองระหว่างฝึกฝน และกล่อมเกลาจริตกิริยาให้อ่อนโยน ละเอียดประณีต เข้าถึงความงามความดีของชีวิต
ห้องเรียนที่ไม่มีกำแพงจะพาให้ผู้เรียนได้สัมผัสกับกความจริง เข้าใจความเป็นมนุษย์ มีชีวิตเป็นตัวตั้ง มีวิชาเป็นตัวเสริมหนุน เรียนรู้ด้วยชีวิต ด้วยจิตอิสระ
การฝึกสติ และการภาวนาเป็นแบบฝึกหัดที่สำคัญที่สุด เพราะจะช่วยให้รู้และเข้าใจสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง และแก้ปัญหาด้วยปัญญา พัฒนาปัญญาไปตามหลักไตรสิกขา พัฒนาตนเองให้พ้นจากสัญชาตญาณอย่างสัตว์ ที่มุ่งความอยู่รอด การทำลาย ควบคุมไม่ได้ หวงแหน และโหดเหี้ยม ตรงข้ามกับความเป็นมนุษย์ที่มีความเกษม สะอาด มีระเบียบ มุ่งมั่น แน่วแน่ เป็อิสระ สงบ เย็น
การโยงชีวิตกับวิชาเข้าหากันคือทางออก ปลูกฝังให้เด่นชัดทั้งความรู้ที่อยู่ภายนอก และความรู้ภายใน
เมื่อภาพดอกไม้หลายสีหลากพันธุ์ฉายขึ้นมาเป็นภาพสุดท้าย อาจารย์ระพีได้ขึ้นมากล่าวเสริมว่า “ทำให้ดอกไม้บานในใจลูกศิษย์ของเรา ให้ดอกไม้ผลิบานอย่างมีสันติ และสามัคคีธรรม เป็นดอกไม้พันธุ์ใหม่ที่มีความรักในเพื่อนมนุษย์ ขอให้ทุกคนมีความมั่นคง แน่วแน่ อย่าท้อแท้ ทุกอย่างอยู่ที่เราเอง”
เป็นการปิดท้ายการเสวนาในช่วงเช้าด้วยการให้กำลังใจ และความมั่นใจแก่พวกเราคนฟังผู้เป็นอนุชนรุ่นหลัง เช่นเดียวกันกับที่อาจารย์ได้กล่าวไว้ในช่วงปิดท้ายปฐมกถาของท่านว่า “ผมจะยืนอยู่ข้างๆ ทุกคนจนกระทั่งสิ้นชีวิต”
เนื้อหาสร้างกำลังใจให้คนทำงานมากครับ เสียดายไม่ได้อยู่ร่วมในบรรยากาศร่วมครับ
สวัสดีค่ะคุณ supolpp
คอยตามอ่านจากบันทึกก็ได้นะคะ ตังใจว่าจะพยายามเก็บประเด็นของทุกท่านมาบันทึกให้ครบถ้วน เพื่อเผยแพร่ให้กับผู้ที่ไม่มีโอกาสได้เข้าร่วมในบรรยากาศค่ะ :)