เมื่อฉันทะมา เรื่องยากๆ ก็ง่ายอย่างเหลือเชื่อ
คุณครูทุกท่านต่างรู้ดีว่าเรื่องที่เราตั้งใจจะให้เด็กๆ ชั้น ๓ ทำในการทำโครงงาน “ชื่นใจ...ได้เรียนรู้” ครั้งนี้เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย และยากแม้กระทั่งกับผู้ใหญ่ด้วยซ้ำ เพราะนี่คือการทำโครงงานที่มีการตั้งประเด็นคำถาม ตั้งสมมติฐาน และหาคำตอบ ในลักษณะเดียวกันกับการทำวิทยานิพนธ์สักเรื่องเลยทีเดียว
แต่เมื่อฉันทะมา และมีการย่อยขั้นตอนการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับวัย งานต่างๆ ที่ว่ายากนั้นก็กลับกลายเป็นง่ายได้อย่างเหลือเชื่อ
ก่อนไปภาคสนาม คุณครูได้เตรียมตัวเด็กให้พร้อมด้วยการผลัดกันมาเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่ไปพบในระหว่างการไปสำรวจพื้นที่ชุมชนวัดจำปาให้เด็กๆ ฟัง รวมถึงการบอกข้อสงสัยต่างๆ นานาที่ครูเกิดสงสัยขึ้นมา ซึ่งบางครั้งก็เป็นการเล่าถึงข้อค้นพบแบบไม่คาดฝันของตัวครูเอง ให้เด็ก ๆ ฟังในช่วงโฮมรูมเช้ารวมกันทั้ง ๔ ห้อง รวมทั้งครูจะสอดแทรกในทุกเวลาที่มีจังหวะ เป็นบรรยากาศที่ครูทุกคนร่วมกันสร้างให้เกิดขึ้นในระดับก่อนถึงวันจริง เพราะเราเชื่อว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับตัวเด็กจะต้องเกิดขึ้นกับตัวครูก่อน
เมื่อถึงวันจริง ก็เป็นไปตามคาด เด็กๆ สนใจใครรู้ในทุกฐานการเรียนรู้ที่คุณครูเตรียมไว้ และพยายามที่จะหาคำตอบให้กับข้อสงสัยที่คุณครูทิ้งเป็นปริศนาไว้ด้วยวิธีการต่างๆทั้งจากการถามวิทยาการ รวมทั้งตั้งข้อสังเกตต่างๆ นานากับเรื่องที่ได้ยินได้ฟัง
ไม่น่าเชื่อเลยว่าเด็ก ชั้น ๓ ที่มีอายุเพียง ๘-๙ ขวบ จะสามารถนั่งฟังคุณตา คุณอา คุณลุงเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟังได้นานถึง ๑ ชั่วโมงครึ่ง โดยที่มีน้อยคนมากที่หลับ หรือคุยกันเบาๆ พวกเขารู้สึกว่าเวลาช่างหมดไปอย่างรวดเร็ว รวมทั้งคุณลุง คุณป้า คุณตาคุณยายเองก็รู้สึกอย่างนั้นเช่นเดียวกัน และต่างก็บอกเล่าเรื่องราวให้ฟังกันจนลืมเวลาเลยทีเดียว
ในฐานการทำเรือจำลองที่ต้องใช้กระดาษทรายขัดไม้สักให้เนียนและเรียบ ซึ่งต้องใช้เวลา และความตั้งใจในการทำงานอย่างมาก แต่เด็ก ๆ ก็ทำอย่างตั้งใจทุกขั้นตอน เมื่อถึงเวลากลับก็ไม่อยากกลับ และเมื่อครูจะเก็บเรือไว้ให้ พวกเขาก็กลัวว่าครูจะทำหาย หรือครูทำพัง ซึ่งเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากความรักและหวงแหนในงานที่ได้มาจากแรงกายแรงใจของตัวนั่นเอง
หลังจากที่เด็กๆ กลับมาจากภาคสนาม ครูเริ่มด้วยการทบทวนเหตุการณ์ความประทับใจต่างๆ ที่ได้ไปพบไปเห็น หรือได้ลงมือทำเมื่อไปภาคสนาม และแต่ละคนได้เรียนรู้อะไรบ้าง ข้อสงสัยอะไรที่เด็กๆ สงสัยก่อนไป คำตอบที่ได้คืออะไร
เมื่อทบทวนกันครบถ้วนทุกประเด็นแล้ว ครูก็ถามขึ้นว่า “แล้วเด็กๆ ยังมีข้อสงสัยอะไรอีกบ้างที่ยังไม่ได้คำตอบ หรือใครมีข้อสงสัยใหม่ที่เกิดขึ้นเมื่อไปภาคสนามบ้าง” เด็กๆ เกือบทั้งห้องยกมือบอกคำถามของตัวเอง ครูจึงให้เขียนข้อสงสัยนั้นไว้ในกระดาษ พร้อมทั้งลองคาดเดาคำตอบ และบอกวิธีการหาคำตอบมาให้ครูทราบด้วย
แต่ก็มีเด็กอีกหลายคนที่คิดคำถามไม่ออก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กที่ขี้อาย ในตอนพักรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ เด็กๆ กลุ่มนี้ก็มาห้อมล้อมกันที่โต๊ะทำงานของคุณครู เล่าถึงความคับข้องใจที่ยังหาคำถามไม่ได้ ดิฉันจึงชวนเด็กๆ เปิดสมุดภาคสนามทีละหน้า แล้วให้ผลัดกันเล่าถึงเหตุการณ์ตอนนั้นๆให้ครูฟัง โดยดูจากจากร่องรอยที่เด็กแต่ละคนบันทึกไว้ในสมุดภาคสนามของตัวเอง
ไม่มีความเห็น