ทุกๆวันโดยเฉพาะช่วงเช้า บรรยากาศที่แผนกผู้ป่วยนอกจะคลาคล่ำไปด้วยผู้คนจำนวนมาก นี่เขาเจ็บป่วยอะไรกันนักหนา และเจ็บป่วยได้ทุกวัน 400-500 คนที่มารอตรวจ กับจำนวนแพทย์ 5-6 คนในโรงพยาบาล พี่ๆจาก สสจ.ที่เคยมานิเทศ งานที่โรงพยาบาลของเรา พูดแบบขำๆ ว่า พวกเค้ามารอรับของแจกอะไรกันหรือเปล่า หรือ โรงพยาบาลของเรามีโปรโมชั่นอะไรในช่วงนี้ และฉันก็อดคิดไม่ได้ว่า พวกเค้ามาหาเราเพราะพวกเค้าไม่มีทางเลือก หรือ เพราะเค้าเลือกแล้วว่าโรงพยาบาลของเราดี มีบริการที่พึงพอใจ และ มีคุณภาพจริง
เอี๊ยด! เสียงดังแบบนี้ฉันคุ้นหูดี เหลือบมองที่กล้องวงจรปิดเห็นรถปิ๊คอัพสภาพดีสีทองจอดบริเวณที่รับส่งผู้ป่วย
ครื๊งๆๆๆ พนักงานเปลรีบลากเปลนอนออกมารับผู้ป่วยที่ตอนหลังของรถคันนั้น หลังจากประเมินแล้วว่าจะใช้รถนั่งหรือรถนอนดี
ฉันและเพื่อนพยาบาลอีกคนรีบสาวเท้าออกจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ เพื่อให้ถึงเป้าหมายอย่างรวดเร็ว ส่วนเพื่อนพยาบาลอีก 2 คนกำลังสาละวนกับการเย็บแผลผู้ป่วย และ เด็กที่กำลังพ่นยาที่ดิ้นและกรีดร้องไห้ ไม่ยอมให้ความร่วมมือ เพื่อนของฉันและแม่ของเด็กต้องคอยปลอบโยนและหลอกล่อเพื่อให้เด็กหยุดร้องได้ และได้ผลเป็นพักๆ
“ญาติเชิญทางนี้เลยค่ะ แจ้งชื่อคนไข้ทำบัตรก่อนนะคะ” เสียงพนักงานบัตรออกมาเชื้อเชิญญาติที่นอกห้อง
“ญาติคนอื่นๆ เชิญนั่งรอข้างนอกก่อนนะคะ” เสียงของเธอยังบอกต่ออีก จากการสังเกตเห็นว่ามีญาติติดตามมาด้วย 10 กว่าคน แต่ละคนมีสีหน้าวิตกกังวล ดูห่วงใยผู้ป่วย อยากจะตามผู้ป่วยเข้าไปในห้องฉุกเฉินด้วยทั้งหมด
“รอข้างนอกก่อนนะคะ ขอญาติคนไข้ ที่อยู่กับคนไข้ก่อนมีอาการมาโรงพยาบาลคนเดียวนะคะ เพื่อถามประวัติและอาการก่อนมา” ฉันแจ้งญาติอีกครั้ง
ชายไทยนอนนิ่งอยู่บนรถเข็น ประเมินตั้งแต่แรกรับดูก็รู้ว่า เราต้อง CPR กัน ทุกคนทำหน้าที่กันคนละมุมอย่างว่องไว เปลถูกเข็นไปยังพื้นที่ CPR อย่างรู้หน้าที่ของพนักงานเปล พร้อมสอดแผ่นพลาสติกแข็งรองที่หลังผู้ป่วย ไม่รอช้า อย่างรู้หน้าที่ ฉันคว้า Ambu ได้อย่างรวดเร็ว รู้ว่าจะต้องตรงไปที่ใดเมื่อต้องการใช้มัน เพราะ โรงพยาบาลของฉัน ทำ 5ส. อย่างดี พร้อมกับรูดม่านปิดทันทัน
“จิน...รายงานแพทย์ มี CPR ด่วน” ฉันสั่งจิน พยาบาลรุ่นน้องทันที
“1-2-3 บีบ” หลังจากพนักงานเปลขึ้นปั๊มหัวใจ และฉันก็บีบ Ambu ตามหลัง อย่างเป็นจังหวะ ฉันและพนักงานเปลทำงานประสานกันอย่างไม่ติดขัด พนักงานเปลและคนงานทุกคน โดยเฉพาะที่ด่านหน้าจะได้รับการฝึกอย่างดี ในการช่วยเจ้าหน้าที่ CPR และที่โรงพยาบาลของฉันมี Case ที่ต้อง CPR กันทุกวันและเกือบทุกเวร
ไพ...เพื่อนของฉัน ไม่รอช้า รีบเปิดเส้นให้น้ำเกลือทันที ทำหน้าที่อย่างคล่องแคล่วและรวดเร็ว และลากรถพร้อมอุปกรณ์ในการช่วยชีวิต อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็น Defribillator , ET-Tube เบอร์ 7 -7.5 เตรียมพร้อมให้แพทย์เลือกหากต้องใส่ Tube สายออกซิเจนเตรียมต่อ Ambu ปลั๊กไฟ ถูกเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้วด้วยความรวดเร็วภายใน 1 นาที
“หมอคะ มี CPR ที่ ER ค่ะ” เสียงจินรายงานแพทย์เวร
โค๊ดที่ใช้ว่า CPR ไม่ต้องรอช้า ไม่ถึง 3 นาที แพทย์ก็มาถึง ม่านใหญ่ถูกดึงมาปิดเป็นฉากกั้นหลังแพทย์เข้าไปดูผู้ป่วย และเป็นไปตามคาด
“ 7.5 ค่ะพี่ ” Tube ถูกส่งถึงมือแพทย์ และใส่ได้อย่างง่าย, ยา Adrenaline ถูกใช้ไปหลายหลอด, EKG Monitor บ่งบอกว่าต้องทำมากกว่าให้ยา, ฉันยังบีบ Ambu อย่างต่อเนื่อง
“200 จูล ค่ะ พร้อม” เครื่องกระตุกหัวใจทำงาน ลำตัวของผู้ป่วยกำระเด้งตามแรงกระตุกของเครื่อง ขณะที่ทุกคนกำลังลุ้นการช่วยชีวิต อย่างตื่นเต้น ทุกคนแทบจะหยุดหายใจพร้อมกัน เหมือนจะลุ้นว่ามาทีเถอะ บรรยากาศภายในม่านเงียบมาก
“ลูกฉันโดนงูกัดค่ะหมอ ช่วยดูลูกฉันหน่อย” อยู่ๆ เสียงก็ดังมาจากนอกม่าน ทำลายความเงียบนั้นทันที
“ป้าคะ...หมอขอช่วยคนที่อาการหนักก่อนนะป้า” หมออธิบายอย่างรวดเร็วหลังจากรีบออกไปดูบริเวณที่กัด และทราบว่าเป็นงูไม่มีพิษ
“เย็บแผลเรียบร้อยแล้ว อย่าทำแผลเองนะคะ ไปทำที่สถานีอนามัยใกล้บ้าน หรือจะมาทำที่โรงพยาบาลก็ได้ค่ะ อย่าให้แผลเปียกน้ำเดี๋ยวติดเชื้อ..... เดี๋ยวคุณนั่งรอหน้าห้องยาเลยนะคะ ได้ยาแล้วกินยาแก้ปวดเลยนะ จะได้ไม่ปวดแผลมาก” ส้มพยาบาลน้องเล็กอธิบาย เหมือนได้รับการท่องมาอย่างดีอย่างไม่ติดขัด
และอีกมากมายที่พยาบาลนอกเวลาอย่างพวกเรา ต้องบอก ต้องสอน ต้องแนะนำ เพื่อให้ผู้ป่วยปลอดภัย มากที่สุด แม้จะเป็นของวิชาชีพอื่นเราก็ต้องทำหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้ยา เรื่องสิทธิบัตร เรื่องการทำมาหากิน เรื่องการงานบางคนไม่อยากลางาน แต่จำเป็นต้องหยุดพัก ต้องแนะนำว่าให้หมอออกใบลาให้ และอีกหลายอย่างที่พวกเราต้องทำ จากการเป็นด่านหน้าเราต้องปะทะจากแรงกดดันทั้งผู้ป่วยและญาติ ต้องอดทนต่อคำพูดจากระทบกระแทก ว่าทำไมไม่มีแพทย์ตรวจ ต้องโดนข้อร้องเรียนว่าให้บริการล่าช้า บางคนพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง ไม่ค่อยเข้าใจ จำเป็นต้องพูดย้ำๆ ซ้ำๆ อาจเสียงดังไปบ้าง ก็ถูกร้องเรียนว่าพูดจาไม่ไพเราะ เมื่อมีคนไข้จำนวนมาก 30-40 คน ต่อพยาบาล 3-4 คน ก็หาว่าบริการล่าช้า นี่อาจเป็นจุดอ่อนของโรงพยาบาลชุมชน แต่พวกเราถูกฝึกให้อดทนต่อแรงกดดัน และแรงเสียดทาน
ขณะนี้ญาติของผู้ตาย 10 กว่าคนเดินเข้าออกในห้องฉุกเฉิน จนพวกเราเหนื่อยอ่อนที่จะพูดว่า “รอนอกห้องก่อนนะคะ” มันคงไม่มีประโยชน์ เนื่องจากญาติก็เหมือนจะรู้ว่าผลการช่วยชีวิตจะเป็นอย่างไร แต่คงลุ้นและต้องการคำตอบที่ทำให้พวกเขาสบายใจ และไม่ใช่อย่างที่พวกเขาคิด
30 นาทีผ่านไปผู้ป่วยที่ทีมเรา CPR การช่วยชีวิตไม่เป็นผล ญาติให้ประวัติว่า ผู้ป่วยชายคนนี้ล้มที่ห้องน้ำศีรษะกระแทกอ่างแล้วนิ่งไป ไม่มีสัญญาณชีพตั้งแต่แรกรับ เราทั้งหมดช่วยกันอย่างเต็มที่ และญาติทั้งหมดก็ล่าถอยออกจากห้อง เมื่อทราบคำตอบจากแพทย์ว่า
“หมอขอแสดงความเสียใจด้วยนะคะ หมอช่วยกันอย่างเต็มที่แล้ว”
ญาติบางคนน้ำตาไหลออกมาทันที บางคนเอามือปิดปากกลั้นเสียงสะอึกสะอื้นเอาไว้ บางคนร้องไห้โฮออกมาทันที และต่างทยอยเดินออกจากห้องไปโดยไม่ต้องเชื้อเชิญ
มันเป็นภาพที่ชินตาพวกเรามานานเมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ แม้จะชินตา แต่ใจของฉันก็ไม่เคยจะชาชินไปด้วย ฉันรู้สึกเจ็บปวดไปด้วยทุกครั้ง เหมือนเขาเป็นญาติของฉัน ถ้าเป็นญาติของฉันจริงๆล่ะ ฉันจะทำใจได้ขนาดไหน เมื่อคนรักของเรา ต้องจากไปอย่างกะทันหัน
มีผู้ป่วยอุบัติเหตุที่ต้องรอเย็บแผล 2 ราย มีเด็กปวดท้องที่นอนรออยู่ อีกคนข้อเท้าบวมรอให้แพทย์ดูฟิล์ม และอีกหลายคนที่คัดกรองแล้วว่าไม่ฉุกเฉินเร่งด่วน ต้องรอตรวจตามลำดับคิว และตอนนี้แพทย์ก็กำลังตรวจภายในคนไข้อยู่
ญาติเดินเข้าออกห้องฉุกเฉินหลายรอบ หนึ่งคนที่จากไปพร้อมกับอาการเศร้าโศกเสียใจของญาติ เสียงร่ำไห้ ภายนอกห้องยังกึกก้องในหูของฉันตลอด แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ยังรอคอยความช่วยเหลือ....นี่ไง บรรยากาศที่ไม่เคยเหงาแต่ความเศร้าไม่เคยจางหาย
1 ชั่วโมงผ่านไป ศพยังอยู่ที่เดิม มีญาติตามหลังมาสมทบ หญิงชรามารดาผู้ตายร้องไห้เสียงหลง
“พี่ อย่าจากฉันไป กลับมาก่อน ตื่นซิ ตื่น แล้วชั้นจะอยู่กับใคร ได้ยินชั้นพูดมั้ย คุยกับชั้นหน่อยซิพี่ ฮือ ฮือ” ภรรยาตะโกนร้องเรียกสามีให้กลับมา พร้อมกับเขย่าร่างชายที่เขารักที่นอนนิ่ง เขาอาจจะไม่ได้ยิน หรืออาจจะได้ยินเสียงของภรรยาที่รักของเขาก็ได้
“พ่อ ฮือ ฮือ.....” บุตรชายวัยรุ่นเกาะข้างขอบเตียง ร้องไห้ เสียงดัง และทรุดลงกับพื้น
ขณะที่ญาติหลายคนกำลังเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นแบบคาดไม่ถึง สิ่งที่เราทำได้ในตอนนี้คือการดูแลญาติของผู้ตายพูดคุยให้กำลังใจ ประคองให้นั่ง แสดงความเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น และให้กำลังใจช่วงเวลาที่เศร้าโศกแบบนี้ คนไข้เริ่มน้อยลง ฉันปลีกเวลามาพูดคุยกับญาติผู้ตาย แต่ละคนต่างรำพึงรำพันถึงการจากไปของคนที่เขารักโดยเฉพาะมารดา ภรรยา และบุตรของเขา พวกเขากอดกันร่ำไห้ คนแรกที่ฉันเลือกเดินไปหาคือมารดาของผู้ตาย
“ยายคะ หนูเสียใจด้วยนะคะ คุณหมอและพยาบาลได้พยายามช่วยกันอย่างเต็มที่แล้วค่ะ แต่เราก็ไม่สามารถช่วยเขาได้”
ฉันเอามือทั้งสองข้างของฉันกุมมือทั้งสองข้างของคุณยายไว้ และสบตายาย ดวงตาของยายทั้งสองข้างแดงช้ำเหมือนผ่านการร้องไห้มานาน น้ำใสๆไหลรื้นในดวงตาของยายทั้งสองข้าง ยามนี้เหมือนเขื่อนแตกที่กั้นทำนบน้ำไม่อยู่ มันทะลักไหลออกมาจากดวงตาของคุณยายทั้งสองข้าง
“ไม่นึกไม่ฝันนะหมอว่าลูกจะมาจากไปก่อนเช่นนี้ มันเร็วจัง เมื่อเช้ามันยังแวะไปคุยกันที่บ้านอยู่เลย” คุณยายรำพึงรำพัน ฉันคุยกับยายสักพักแล้วต้องผละจากยายไปพร้อมกับบอกคุณยายว่า
“มีอะไรจะให้หมอช่วยก็บอกนะจ๊ะยาย ไม่ต้องเกรงใจ”
และคนต่อไปที่ฉันเลือกที่จะพูดคุยด้วยคือภรรยาของผู้ตาย ซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆกับมารดาผู้ตาย และลูกๆของเขา
“หมอเสียใจด้วยนะคะ”
ฉันเอามือทั้งสองข้างของฉันจับมือทั้งสองข้างของภรรยาผู้ตาย.....พร้อมกับสบตาเธอ ฉันทำเช่นเดียวกับที่ฉันทำกับคุณยาย เธอนั่งนิ่งเฉย สายตาที่เธอมองตรงมานั้นไม่ได้มองตรงมาที่ฉัน เธอไม่สบตาฉัน เธอมองไปที่อื่น และเธอก็ไม่ยอมพูดอะไรเลย ได้แต่นั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นตลอดเวลา ฉันคุยปลอบโยนและให้กำลังใจเธอไปเรื่อยๆ แม้จะรู้ว่าตอนนี้เธอยังไม่พร้อมที่จะรับฟังอะไรทั้งสิ้น ก่อนจากฉันได้หันไปพูดคุยกับลูกสาวและลูกชายของผู้ตาย ซึ่งทั้งสองคนก็เสียใจนั่งร้องไห้อยู่ตลอดเช่นกัน
“มีอะไรให้หมอช่วยก็บอกนะคะ ไม่ต้องเกรงใจ สำหรับเรื่องฉีดยาศพเดี๋ยวทางโรงพยาบาลจัดการให้ ต้องรอให้ครบ 2 ชั่วโมงก่อน แล้วจะรับศพไปเลยก็ได้ หรือถ้าไม่พร้อมจะฝากที่โรงพยาบาลไว้ก่อนก็ได้ ระหว่างนี้คงต้องรบกวนให้ญาตินำเสื้อผ้ามาเปลี่ยนให้ผู้ตายก่อนเพื่อจะได้ให้เจ้าหน้าที่เค้าแต่งศพให้” ที่ฉันเลือกคุยกับลูกของเขาเพราะเห็นว่าเวลานี้ดูเขาจะมีสติดีกว่าญาติคนอื่นๆ และพร้อมที่รับฟังมากกว่า
“ดูแลแม่ด้วยนะ ช่วงนี้แม่คงเสียใจมาก รวมทั้งคุณยายด้วย” ฉันยังคงอดเป็นห่วงไม่ได้จึงได้กล่าวกับลูกๆของเขา
“ขอบคุณค่ะ-ครับ หมอ” เหมือนนัดกัน เด็กวัยรุ่นทั้งสอง ยกมือประนมและกล่าวขอบคุณ ฉันนึกชมในใจ ลูกๆของเขาช่างน่ารักจัง และคงได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดี
“หมอ ยายขอบใจมากนะ” ขณะที่ฉันหันหลังกลับเสียงคุณยายร้องบอกฉัน ยามนั้นฉันต้องกลั้นน้ำตา และกลืนลูกแข็งๆลงไปในลำคอ สักพักก่อนกว่าจะพูดคำว่า
“ไม่เป็นไรจ๊ะยาย” ฉันพูดอย่างลำบากเหมือนมีอะไรมาติดที่ลำคอ ฉันกลัวว่าน้ำตาฉันจะไหลให้ยายเห็นนั่นเอง
หลังลงเวร อาบน้ำเสร็จ ค่อยๆล้มตัวลงนอน หลับตาลงอย่างแผ่วเบา ภาพของคุณยาย ภรรยา และลูกๆของผู้ตาย ที่เสียใจ ร้องไห้ปริ่มว่าจะขาดใจ ยังคงติดตาฉันอยู่ ฉันต้องลุกขึ้นมาสวดมนต์และอุทิศส่วนกุศลให้ทั้งคนเป็นและคนตาย
ภาพการสูญเสียคนที่รักมีให้เห็นบ่อย แม้ว่างานอุบัติเหตุฉุกเฉิน ที่พวกเราต้องเร่งรีบกับการช่วยเหลือ เหมือนกับชื่อห้องว่า อุบัติเหตุ ฉุกเฉิน การรักษาทางกายต้องมาก่อน การรักษาทางใจก็ไม่แพ้กัน หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ ถ้าหากมีโอกาสได้พูด ได้คุย เอาใจเขามาใส่ใจเรา ให้การดูแลด้วยเมตตาจิตและความปรารถนาดี มิใช่ทำเพราะเป็นหน้าที่ให้ผ่านไป ใครว่างานอุบัติเหตุฉุกเฉินไม่มีเวลาที่จะมานั่งพูดคุยได้ ลองเริ่มกันเสียแต่วันนี้ เรื่องราวแบบนี้มีให้เห็นได้ทุกวัน และทำได้ทุกวัน และสิ่งที่ฉันได้รับตอบแทนมันมากกว่าเงินเดือน มันเป็นน้ำคำที่หล่อเลี้ยงหัวใจของฉันให้เบ่งบาน ให้ฉันได้ทำงานอย่างมีความสุข ในอาชีพของฉัน และในคืนนี้ ฉันมีความสุขจริงๆ สุขที่ได้ให้แม้จะเพียงเล็กน้อย แต่มันยิ่งใหญ่ในใจฉันเสมอ
ขอบคุณเรื่องเล่าดีดี จากน้อง ตู่ งานอุบัติเหตุฉุกเฉิน
แล้วอย่าลืม เล่าเรื่องที่สวยงามมาอีกนะคะ น้องตู่
โอว...เล่าเก่งจังเลยคะ เป็นกำลังใจและติดตามเสมอค่ะ
เมื่อมีความทุกข์ ก็อยากให้คนรอบข้าง ช่วยคลายทุกข์ให้ โดยเฉพาะในเสี้ยวหนึ่งของชีวิต สมกับเป็นนางฟ้าในชุดขาวจริงๆ ให้กำลังใจต่อไปนะครับ
ขอบคุณค่ะ คุณนคร แวะมาให้กำลังใจกันเสมอ
ชาพระโต๊ะ รสชาดกลมกล่อม หอมชวนดื่มจังเลยนะคะ
อ.พอลล่า อย่าลืมเข้ามาชมอีกนะคะ
ขอบคุณมากค่ะอาจารย์ น่ารักซาเหมอเลย
น้องตู่สัญญาด้วยใจ