99..เมื่อลูกชายดิฉันได้เป็นผู้กำกับการแสดง ตอน 2


คำขอร้องครั้งสุดท้ายก่อนหลวงพ่อมรณภาพ ให้เอาหมอลำคณะนกหวีดทองมาฉลอง

 

 

เมื่อลูกชายเป็นผู้กำกับการแสดงตลก 

ถ้าอยากดูภาพประกอบให้กดกลับไปดูภาพได้ที่  บทที่  98    มีภาพประกอบคะ  กดตามนี้ได้เลย http://gotoknow.org/blog/lelaxy/301271  ตอนหนึ่งคะ

เมื่อได้คิดช่วยกัน หาชื่อเรื่องได้แล้ว  ก็มาเลือกบุคคลที่เหมาะสมกับบทบาทนั้น  คนสวยคนหล่อที่สุด   ก็ให้ แสดงหมอลำ  หมอลำที่จะแสดง จะเล่น เรื่อง  ขูลูนางอั้ว หาพระเอกนางเอก  หาตัวตลก  หานางฟ้อน นางรำ  หาคนลำเป็น  ร้องเพลงเป็น เมื่อทุกอย่างลงตัวแล้ว  ก็ซ้อมกันทุกวัน ใช้เวลาซ้อมหนึ่งอาทิตย์หลังจากเลิกเรียน จนคิดว่าแสดงได้แล้ว การซ้อมเป็นอาทิตย์  แต่ใช้เวลาในการแสดงเพียง 2 ชั่วโมง  เท่านั้น  

ในการแสดงนี้ ได้ตกลงกันว่า  จะมีนักแสดงอยู่ 3 กลุ่ม   

เป็นตลกกลุ่มหนึ่ง เป็นหมอลำกลุ่มหนึ่ง กลุ่มฟ้อนรำกลุ่มหนึ่ง 

        ในวันนั้นดิฉันไปแอบชม ได้รับความสนุกสนาน ฮาอยู่คนเดียวตลอด แบบไม่บันยะบันยัง คิดขึ้นมาทีไร ก็ยิ้มแล้วก็ ฮ่า ฮ่า  อยู่คนเดียว  เออ !  ชีวิตคนเรานี้หนอ เมื่อไม่มีความทุกข์ ในตอนนี้ แถมชีวิตมาเจอเรื่องฮา  ฮา อีก  เขาบอกว่า  ยิ้มวันละนิดจิตแจ่มใส ไม่แก่เร็ว  ดิฉันจึงพยายามหาเรื่องมาให้ตนเองฮาให้ได้ตลอด  ก็ด้วยว่าอยากสวยสดใส  ไม่แก่เร็ว  ดิฉันเขียนบท มาครานี้  คิดแล้วคิดอีก  จะเขียนดีไหมน้อ  แต่เมื่อตนเองได้ยิ้ม ได้ฮา ก็เลยมีความคิดว่า อยากให้พี่น้อง GTK มีฮากันบ้างหละ   ดิฉันจึงจะพยายามเล่าเรื่องที่ดิฉันได้รับฮามาแล้ว  นำมาเขียนให้พี่น้องGTKเราได้ฮาด้วย  แต่ก็มีความวิตกว่า  การเขียนกับการแสดงนั้น  จะตลกได้อย่างไร   ตลกแสดงสีหน้า  บางครั้งเราเห็นสีหน้าคนแสดง เราก็ฮาแล้ว ดังนั้นการที่ดิฉันจะเขียนให้ฮานั้น  ดิฉันจะเขียนอย่างไรหนอ  เพราะส่วนมากที่ตลก ออกมา จะทางการแสดงลีลาหน้าตา  มากกว่าตลกคำพูด ก็ต้องพยายามเขียนจินตนาการภาพออกมาให้มองเห็นที่สุด ว่าฮาแบบไหน  ถ้าหากว่าไม่ฮา  ท่านผู้อ่านก็เสริมเติมแต่งเม้นท์ลงไปว่า ในบทนี้ถ้ามีแบบนี้เสริมเข้าไปอีกคงจะฮามากกว่านี้  ก็ย่อมได้  และทุกอย่างเป็นภาษาอีสาน  แต่ดิฉันได้เขียนแบบภาษาไทยนิยม  ถ้าใครรู้จักภาษาอีสานก็ให้อ่านสำเนียงแบบภาษาอีสานนะคะมันจะตลกมากทีเดียว พี่น้องเอ้ย  ! 

   จากเรื่อง และรายละเอียดทั้งหมด  ดิฉันก็มาสอบถามจากลูกชาย ผู้เป็นคนกำกับบท กำกับการแสดงเฉพาะตลกเท่านั้น ลูกชาย อายุ 17 ปี มีลูกคนเดียว  ชอบมากศิลปะการดนตรี   เล่นกีตาร์ได้หลายเพลง  สามารถเต้นขึ้นเวที ดีดกีตาร์ได้ทุกงาน ไม่ว่าเพลงอะไร ของโรงเรียนหรือของส่วนอื่นที่อยากได้นักกีตาร์ เขามีความสามารถได้เลย  และยังเป็นนักดนตรีโรงเรียน วงดุริยางค์ของโรงเรียน วงคอมโบ้ แปรขบวนเข้ากับดนตรี และแห่งานฌาปนกิจศพคนในหมู่บ้านฟรี แต่ส่วนมากก็ได้เงินตอบแทนคืนมาทุกครั้ง  และงานแต่งงาน หรืองานของครู  ก็จะเอานักดนตรีวงนี้ไปแสดง  (ขอนอกเรื่องนิดหน่อย) 

ตามจริงดิฉันไม่ชอบนะคะ ที่จะให้ลูกเป็นนักดนตรี แต่ดิฉันก็ไม่ห้ามเขา เพราะถือหลักว่า ชอบอันไหน เขาก็จะสนใจอันนั้น และจะพัฒนาฝีมือไปเอง   ดิฉันยังมองไม่ออกว่าจะให้เขาเรียนต่ออะไรดี  ปีหน้าสิ้นปีการศึกษานี้ ก็ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว เขาบอกว่า ถ้าแม่อยากให้ผมเป็นอาจารย์ ผมก็จะเป็นอาจารย์สอนการดนตรีนี่แหละเขาจะไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะศาสตร์การแสดงและการดนตรี เขาบอกว่า อาจารย์ดนตรีหางานง่าย และมีรายได้พิเศษจากการเป็นครูสอนดนตรีตลอด และ ถ้าเขาโตขึ้นมีเงินแล้วมีความหวังเป้าหมายจะสร้างห้องดนตรี  สอนลูกคนรวยเวลาปิดเทอม ค่าสอนเดือนละ 3 พันบาทต่อคน  ซึ่งเหตุการณ์นี้เขาได้รับประสบการณ์ ในช่วงเวลาปิดเทอม  จะมีอาจารย์ที่สอนดนตรีเขาในโรงเรียนนั้น  ให้เขาไปเป็นผู้ช่วยครูสอนลูกคนรวย  ที่ชอบกีตาร์ ส่วนคนไหนชอบคนตรีอะไร ก็จะมีนักเรียนนักดนตรีคนเก่งคนนั้นที่เป็นเพื่อนห้องเดียวกันมาช่วยเป็นพี่เลี้ยงให้  โดยมีอาจารย์สอนดนตรีของเขา  เป็นคนควบคุม ดูแล ช่วงปิดเทอมทุกครั้งเขาจะไปช่วยสอนเสมอ  เขาเห็นครูท่านนี้ทำจริงจัง ก็เลยมองเห็นโอกาส เขาน่าจะทำได้ เพราะขณะนี้เขาก็ยังไปช่วยอาจารย์สอนเด็กที่สนใจการดนตรี หารายได้เสริม เพิ่มประสบการณ์อยู่เสมอ เรื่องลูกขอจบแค่นี้ก่อนนะคะ 

        ดิฉันขอเล่าเรื่องตามที่ดิฉันได้ชม และที่นำมาเขียนนี้  ไปอ่านบทกำกับของลูกชายที่เขียนไว้มากำกับการเขียนนี้ด้วย เพื่อจะได้เห็นภาพการแสดงออก  ( ลูกกำกับแต่ตลกคะ   หมอลำคนอื่นกำกับ ลูกไม่ถนัดหมอลำ ) 

       ขอเริ่มเรื่องเลยนะคะ  เอาเรื่องตลกแสดงก่อน  เป็นที่มาของหมอลำ คณะนกหวีดทอง และหมอลำขูลูนางอั้ว    (สำหรับหมอลำ จะมีคนสามารถคนอื่นกำกับ เป็นคนมีแวว คนที่เก่งหมอลำ ร้องเพลง ฟ้อนรำ ที่ได้คัดสรรแล้วมาแสดงนำ ) 

      ใช้เวทีห้องโถง ในอาคารอเนกประสงค์ของโรงเรียน เป็นที่แสดง  ในการแสดงนี้ จะมีนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา สายภาษาไทย  อยู่ 2 ห้อง  คือห้อง 6 / 10 และห้อง  6/11 เท่านั้น  คนที่ดูก็จะมีนักเรียนห้องทั้งสองมานั่งดู วันนั้น ห้อง 6/11  ก็แสดง  เหมือนประชันกัน แต่ดิฉันไม่ได้ชม  ส่วนอาจารย์ใครที่ว่างชั่วโมงสอนในตอนนั้น มาดูก็ได้  แล้วแต่ใครที่ว่าง  แต่ที่ขาดไม่ได้คืออาจารย์ประจำชั้น และอาจารย์ประจำวิชา และดิฉันผู้ซุ่มมาดูห่างๆ 

     ฉากเริ่มแรก ในเรื่องที่ สมมุติ   ตอนนี้จะมีนักเรียนแสดงเป็นพระ  ศีรษะเขาก็โล้นพอดีแต่งตัวห่มผ้าเหลือง  เดินมานั่งสมาธิอยู่บนที่ตั่งนั่งการแสดง  และขณะที่นั่งนั่น จะมีโฆษก บรรยาย  เกี่ยวกับพระ เกี่ยวกับวัด ซึ่งเป็นที่เริ่มเรื่อง  โฆษก เขาบรรยายอยู่หลังฉาก  ได้บรรยายให้คนผู้ชมฟัง เป็นภาษาหมอลำ ภาษาอีสาน  ว่า    นานมาแล้ว

    มีวัดอยู่วัดหนึ่ง  ครั้งเก่าก่อนก็มีพระอยู่หลายรูป    แต่ด้วยวัดนี้เป็นวัดที่อยู่ห่างไกลความเจริญมาก และขาดแคลน พระจึงลาหนีไปจากวัดนี้กันหมด  ในที่สุดก็เหลือพระอยู่เพียงรูปเดียว  หมู่บ้านนี้นอกจากจะไม่เจริญแล้ว  ขาดแคลนน้ำ  น้ำก็ไม่มีอาบ  ยาสีฟันก็ไม่มีที่จะซื้อใช้ ไม่มีตลาด วันใดโชคดี ก็จะมีแม่ออกนำเกลือมาทานให้  พอได้แปรงฟัน  วันไหนไม่มีเกลือ เกลือหมด  ก็จะอาศัยเครือตดหมา ที่ขึ้นอยู่แถววัดมาแปรง (พอพูดถึงตรงนี้เรียกเสียงฮาได้มาก )  ขณะที่บรรยายไปนั้น พระรูปนั้น ตื่นจากสมาธิมาแปรงฟันด้วยเครือตดหมา  ทั้งอ๊วก ทั้งจาม  แสดงท่าทางการแปรงฟันที่สุดแสนจะผะอืดผะอม  เรียกเสียงฮาได้อีกแล้ว   ท่านผู้อ่านลองนึกถึงท่าแปรงฟัน  เอานิ้วชี้ สีเอานะคะ ล้วงนั้นล้วงนี่ อ๊วก

(สำหรับเครือตดหมา ฟังแต่ชื่อก็ตลกแล้ว  แล้วเครือตดหมานี่  มันจะเหม็นมากอยู่แล้ว พระรูปนี้คิดได้ไง  เอาเครือตดหมา มาแปรงฟัน มันก็ยิ่งเหม็นเพิ่มอีก  คือเขาให้เป็นมุกตลกในช่วงนี้ ) เมื่อหลวงพ่อแปรงฟันเสร็จก็ หันหน้ามาหาคนชม   พระรูปนั้นยิ้มเหยิน คือแสดงความมั่นใจ ว่าฟันสะอาด ได้แปรงฟันแล้ว  ไปทั่วเวที  เอามือป้องเป่า ฮ่าๆ  เหมือนนักแสดงเป่าลมสะอาดออกที่ปาก โดยเอามือ ป้องปาก ใต้คาง เรียกเสียงฮาได้อีก   จะไม่ฮาได้ไง  หลวงพ่อฟันเหยินคะ  เห็นไหมฟันสองซี่อยู่ข้างหน้า เหยินออกมา  และหน้าตาหลวงพ่อยิ้มทีไร เรียกเสียงฮาทุกที   หน้าตาดูตลกมากอยู่แล้วคะ

              พอแปรงฟันเสร็จแล้ว หลวงพ่อนั่งอยู่บนตั่งตะแคร่ ที่แสดงอยู่กลางเวที  กุมท้อง ปวดท้องหิวข้าวอย่างแรง  แสดงอาการว่าได้เวลาฉันอาหารแล้ว  วันนี้ทำไม ไม่เห็นใครนำอาหารมาให้เหมือนทุกวัน  หิว  หิว  ท้องร้องจ๊อกๆ  อาการทุกอย่างที่แสดงนี้ มีโฆษกอยู่เบื้องหลัง พากษ์ ตลอดเวลา ด้วยมุกตลก   โฆษกพากษ์เสียงพระรำพึงกับตนเองว่า  วันนี้ทำไม ไม่เห็นแม่ออก นำอาหารมาจังหัน เหมือนทุกวัน   ในใจพระ ก็คิดภาวนาว่า  สาธุเด้อ  แม่ออกเอย  ถ้าซิมาจังหัน  ให้เอาข้าวสุกมาแนเด้อ  อย่าเอาข้าวเปลือก มาให้หลายมันทิ้มแข้ว (มันตำฟัน) เสียบเหงือก อัตตามา แข่ว(ฟัน)แฮงเหยินอยู่  แล้วก็แจกยิ้ม เหยิน หุบเข้าหุบออก เป็นที่น่าหัวเราะยิ่งนัก เรียกเสียงฮาอีกพี่น้องนึกภาพเอาก็แล้วกัน เหมือนตลก คุณแม่ขอร้อง  ที่ตลกคนหนึ่งชอบเล่น

          ที่กล่าวมาทั้งหมดจะมีโฆษกยู่หลังฉากเป็นคนพากษ์  ส่วนพระก็แสดงอาการตามที่เขาพากษ์ นั้น  พระฟันเหยินยิ้มทีไร ก็เรียกเสียงฮาอยู่แล้ว  ตอนนี้พระยังกุมท้องอยู่   ฉากต่อไป  ขณะที่พระนั่งกุมท้องอยู่นั้น   มีแม่ออก สีกา เอาอาหารมาจังหันพอดี  จะเข้ามุกตลกอีกแล้วนะคะ  คืออาการธรรมดา คนที่เอาอาหารมาจังหันพระ แล้วเขาก็จะก้มกราบสามที  หมายถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์  แต่ด้วยตอนนั้นพระรูปนี้หิวข้าวและปวดท้องอย่างมาก ลืมตัวคะ  ลงจากตั่ง มากราบแม่ออก และสีกา 3 ทีแทน  ซึ่งในชีวิตจริงมันไม่เป็นการถูกต้อง ที่พระจะมากราบคน  แต่พระเหยินลืมตัว กลับมากราบแม่ออกแทน (ด้วยควมหิวมาก) ซึ่งฉากนี้ก็เรียนเสียงฮาได้อีก (ดิฉันมีความคิดว่า เด็กช่างหามุกตลกกลับกันของวัฒนธรรม ในชีวิตจริงมาให้พระเหยินได้แสดงออกมาเรียกเสียงฮาได้อีกรอบ) แล้ววันนั้น แม่ออกที่นำอาหารมาจังหันพระ ก็ได้เลือกนักเรียนหญิง ที่สวยมาแสดงในฉากนี้ เป็นแม่ออกและสีกาหลายๆคนที่สวยทีเดียว   พระรูปนั้นทำท่าฉันอาหาร  ในขณะที่ฉันอาหารนั้น ก็มีโฆษกอยู่หลังฉากบรรยาย รายการอาหาร ที่สีกานำมาจังหัน ในครั้งนี้  ซึ่งจากรายการอาหารที่บรรยาย  ล้วนเป็นอาหาร ที่ฉันแล้วอาบัติทั้งนั้นเลย เรียกเสียงฮาได้อีก ( อย่าลืมพากษ์เป็นภาษาอีสาน )

โฆษกบรรยาย รายการอาหาร ในขณะที่พระกำลังทำท่าฉันอาหาร อย่างเอร็จอร่อย (  แซบ   แซบ  หลาย  )รายการอาหาร ที่โฆษกบรรยายไป เรียกสียงฮาอยู่ไม่ขาดสาย อาหารที่บรรยายนั้น มี ลาบดิบ  ย่างไส้หมู  อุเพี้ย  แจ่วฮ้อน  อะไรอีกหลายอย่าง ปานว่า งานฉลอง  ซึ่งเป็นอาหารที่ดีที่สุดที่ได้มีโอกาสฉันในวันนั้น  เพราะแม่ออก สีกา ก็ เป็นเมียผู้ใหญ่บ้าน  เงินเดือนออก พอดีเสร็จอิ่มแล้วก็หันมากราบสีกา อีก 3 ครั้ง (เรียกเสียงฮาได้อีก) สีกาก็กลับบ้านฉากต่อไป  พระก็ยังอยู่ที่ตั่งนั่ง หลังจากสีกาออกไปแล้ว  กุมท้องอีก  ปวดท้องอย่างแรง  อาหารเป็นพิษ นอนทุรนทุรายอยู่  เด็กวัดเห็นเข้ามา  โฆษก  บรรยายถึงเด็กวัดอีก  เด็กวัดอยู่กับพระรูปนี้ตลอดเวลา มานานแล้ว  อยู่กันได้ เพราะเด็กวัดชอบฟังพระเล่านิทานโกหก ซึ่งหลวงพ่อโกหก ให้ฟัง ทุกๆวันเป็นกิจวัตรประจำวัน เพื่อสั่งสอนเด็กให้เป็นคนดี  เด็กวัดเดินเข้าไปหาหลวงพ่อเหยิน เพราะเห็นอาการทุรนทุราย  แล้วก็ทำท่าสั่นๆ

 เหมือนผีเข้า  บรื๋อ  บรื๋อ อยู่   แล้วรีบถามหลวงพ่อ ทันที  

-  ด็กวัดถามว่า  -  หลวงพ่อ  หลวงพ่อ  ของขึ้นติ (เพราะเห็นตามอาการ ว่าสั่นงันงกอยู่นั้น  ถ้าถูกสิ่งไม่ดีสิงเข้าไป ที่เรียกว่าของเข้า ก็จะมีอาการสั่นเทา )  เพราะเห็นหลวงพ่อนั่งสั่น ๆ อยู่ก็ถามไป   แต่เห็นท่าไม่ดี  รีบวิ่งเข้าไปในฉาก  ดึงคนออกมาคนหนึ่ง  สมมุติว่า คนนี้เป็นมัคคทายกวัด  รีบเดินไปดูอาการของหลวงพ่อ  ธรรมดาคนจะนับถือหลวงพ่อ ก็จะสงบเสงี่ยมกัน  กราบไหว้ด้วยความเคารพ  แต่มัคคทายกออกมา  เอามือมาจับตัว จับหัวหลวงพ่อ เหมือนจะเช็คว่าหลวงพ่อเป็นไข้ตัวร้อนหรือเป็นอะไร  ไปจับหัวลูบคลำเล่น ลูบคลำไปทั่ว  (เรียกเสียงฮาอีก  เพราะเหมือนมัคคทยายก ได้โอกาสแกล้งหลวงพ่อ ที่เคารพนับถือกันมานาน ไม่กล้าเล่นหัว  (แต่ในนี้ฐานะเพื่อนนักเรียนกัน ได้โอกาสแสดง ก็เลยถือโอกาสลูบหัว ได้ทีว่างั้นเถอะ)    ขณะนั้นเด็กวัดก็บอกมัคคทายก ว่าจะไปตามผู้ใหญ่บ้าน และผู้ช่วยมาช่วยกันดู อาการหลวงพ่ออีก  ให้มัคคทายก เฝ้าดูอาการอยู่ก่อน  อย่าไปไหน ตอนนี้ถึงเรื่องฮาอีก   มัคคทายกที่แสดงนั่งเฝ้าอยู่นั้น    เลยพูดหยอก

 แบบออกนอกเรื่องขึ้นว่า (ภาษาอีสาน) 

- “ เอ้าเมื่อวานยังเห็นร้องเพลง  เต้นรำ ห่าวๆ  ฟ้อนแอะ ฟ้อนแอน อยู่ดีๆ  แล้วก็ยังเห็นเตะบอลกันอยู่เลย  จะมาตายจากกันซะแล้วบอ   หนอ หมู่เอย อย่าฟ้าวตายเด้อ  เรียนให้จบซะก่อนคือเขาพูดหยอกเพื่อนจากเหตุการณ์เมื่อวานยังดีอยู่เลย (ในตอนที่ยังไม่ได้แสดงละครเป็นนักเรียนอยู่เมื่อวาน  ยังดีๆอยู่เลย) (ซึ่งตอนนี้แกล้งลืมไปว่า กำลังแสดงเป็นพระอยู่  พูดด้วยในฐานะเป็นเพื่อนนักเรียน  ที่เรียนร่วมกันมา แล้วจะมาตายจากกันไป ไม่น่าเลย  เรียกเสียงฮาได้อีก ) 

-มัคคทายกหลังจากคลำหลวงพ่อเสร็จแล้วก็หันมาถามหลวงพ่อ หลวงพ่อเป็นจั๋งได่  ไคแนไป  (หลวงพ่อเป็นไง ค่อยยังชั่วแล้วยัง) 

-หลวงพ่อตอบ  เป็นคือหลวงพ่อซิบ่อยัง นี่หละมัคคทายกเอย  ปวดหลายๆ (เหมือนจะตายให้ได้) พูดพลางชักดิ้นชักงอ ทำท่าจะตายให้ตลกที่สุด ทำท่าพะงาบ พะงาบ   ทำให้  มัคคทายกเห็น ต้องตกใจ เพราะขณะนั้นเอง หลวงพ่อได้มรณภาพลงไปจริงๆ แต่ก่อนตายหลวงพ่อได้หันมาจับมือมัคคทายก พร้อมสั่งคำสุดท้ายกับมัคคทายกว่า ถ้าตายไปให้เอาหมอลำมางันแนเด้อ(ถ้าหลวงพ่อตายให้เอาหมอลำมาฉลองให้ด้วยนะ  นี่แหละเป็นที่มาของหมอลำ ขูลูนางอั้ว ที่จะได้แสดงกันในบทต่อไป  ให้ติดตามให้ตลอด มันจะมีหลายตอน อยู่คะ )

-ในฉากใกล้กันบนเวที   กับที่พระมรณภาพ ฉากอีกครึ่งหนึ่งเป็น ผู้ใหญ่บ้าน เดินโซซัด  โซซัดโซเซมา  ถือไมค์มาด้วย  พร้อมบ่นมาตามทาง  มีโฆษกบรรยายอาการ ตามหลังของอาการเมามายมาว่า

-มื่อนี้เงินเดือนออก เลยเมาจั๊กนอย ( ถือขวดเหล้ามาสื่อด้วยว่าเมาเหล้านิดหน่อย) พร้อมกันนั้นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน  ก็มาร่วมเมาแจมด้วย  แล้วก็บ่นให้กันฟัง  แบบเมาๆยังไม่สร่าง 

 -ถือไมค์บ่นว่า   ได้เงินเดือนตั้ง 5 หมื่น มันน้อยโพด  (ห้าหมื่นน้อยเกินไป)  เลี้ยงเมียน้อยอีก 2 คนกะบ่อพอ ลักษณะที่เขาพูด เมา มาก  เรียกเสียงฮา ได้ ตรงที่ เงินเดือนตั้ง 5 หมื่นก็ยังไม่พอใช้พอแจก (ซึ่งตามจริงแล้ว ผู้ใหญ่บ้านในชีวิตจริงนั้น ได้เงินเดือนไม่ถึงหมื่น ขัดกับชีวิตจริง  เลยเรียกเสียงฮาได้อีก  แถมผู้ใหญ่บ้านสมัยนี้  ริมีเมียน้อย มีกิ๊ก ผิดวิสัยผู้ใหญ่บ้านที่ดี  ที่เป็นจริงในชีวิต  เพราะผู้ใหญ่บ้าน ต้องเป็นผู้นำคนต้องเป็นคนดี )

ในขณะที่เพื่อนๆฮาอยู่นั้นเด็กวัดก็วิ่งเขาไปหาผู้ใหญ่และผู้ช่วยทันที ที่เห็นเดินโซซัดโซเซ อยู่-พ่อผู้ใหญ่  พ่อผู้ใหญ่  พ่อผู้ซอย  หลวงพ่อ  หลวงพ่อ  พูดด้วยอาการสะล่ำละลัก เพราะรีบร้อนในการพูด    หลวงพ่อ  หลวงพ่อ  ทั้งเว่าทั้งไห่ (ทั้งพูดพร้อมร้องไห้)  ฟ้าวไปเบิ่งแน เร็ว  (ไปดูเร็วๆหน่อย )  หลวงพ่อ  หลวงพ่อ ทั้งหอบเพราะวิ่งมาบอกระยะทางมันไกล -ผู้ใหญ่บ้านตอนนั้นก็ยังเมาอยู่ ได้ยินตะกุกตะกัก ขาดตอน ก็เลยตอบต่อเด็กวัด ไปว่า  หลวงพ่อ หลวงพ่อ เป็นพระติ  ด้วยอาการเมาที่ยังไม่ได้สติ ไม่รู้ว่าเด็กวัดตั้งใจมาบอกข่าวร้าย ถึงเรื่องหลวงพ่อได้มรณภาพลงแล้ว  -ผู้ใหญ่บ้านเลยสวนคำพูดเด็กวัดออกไป  ฮู้แล้วหลวงพ่อเป็นพระ มาบอกเฮ็ดหยัง (หลวงพ่อ หลวงพ่อ เป็นพระ มาบอกทำไม  รู้แล้ว อ๊วก สะลืมสะลือ )-เด็ก 

ซึ่งตอนแรกที่เอาขวดเหล้าชนกันนั้น คิดว่าเป็นเรื่องดี มีคนมาบอกข่าวดี  แต่ พอได้สติ ทวนคำพูดอีกครั้ง 

หมายเลขบันทึก: 301277เขียนเมื่อ 27 กันยายน 2009 17:01 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 มีนาคม 2012 10:04 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (21)

สวัสดีครับ

  • หลานม่อนวิ่งเร็วจริงๆ
  • วิ่งแซงตาไปก่อนเลย
  • อิอิ.อิ.......ชักสนใจเครือตดหมา
  • เผื่อยาสีฟันหมด.....5555
  • สบายดีนะครับ ขอให้มีความสุข
  • สุภาพแข็งแรง โชคดีครับ

พี่สุ....คนเขียนบทเก่งพอๆกับผู้กำกับเลยนะเนี่ย...

ตอนจบก็ ยังอบ ฮา...ไม่รู้ว่าคุณครูที่สอนภาษาไทยจะว่ายังไงเนี่ย "คณะนกหวีดทอง"  เคยเห็นแต่ครูพละ ที่ชอบห้อยคอด้วยนกหวีดมาโรงเรียน ค่ะ

มีความสุขทุกๆ วัน ดีใจที่พี่สุหายป่วยแล้ว อย่างไรเสียก็ต้องหมั่นดูแลสุขภาพนะคะ

คิดถึงค่ะ

อิๆๆๆ...ตลกตอนหลวงพ่อหิวจนลืมตัวค่ะ...อิๆๆๆ...กราบตั้งหกครั้ง...หลวงพ่อน่าจะอยู่ต่ออีกนะคะไม่น่ามรณภาพก่อน...เพราะดูท่าหลวงพ่อจะเป็นตัวชูโรงค่ะ...อิๆๆๆๆ

น้องๆเก่งกันจังเลยนะคะ เด็กๆมีความคิดสร้างสรรค์

                     วันนี้น้องหนีเที่ยวมาค่ะ

สวัสดีครับคุณ สุ ฮ่าฮาๆๆๆขำมากครับนึกภาพออก บอกท่าทางได้ ถึงไม่มีภาพ ขอบคุณที่ทำให้อายุยืนครับคุณ สุ

ก๊าก.....

หลวงพ๋อ หลวงพ๋อ....

อิหยังกราบโย้มหละ หลวงพ๋อ...

....

แสดงว่ากลัวบันทึกหาย

เลยไม่มีภาพ

แต่อ่านแล้วก็นึกภาพออกค่ะ  อิอิ

สวัสดีค่ะพี่สุ

บทดีมาก...อย่างฮาๆๆๆๆๆๆ

ว่าแต่ "หลวงพ่อ เป็นพระติ" 555 ฮู้แล้วๆๆ มาบอกเฮ็ดหยัง!!!

รออ่านตอนต่อไปค่า

ปล.รอดูรูปด้วยค่า ขนาดไม่มีรูปประกอบยังฮาขนาดนี้ อยากเห็นนักแสดงและผู้กำกับซะแล้วสิคะ ^___^

  • พี่ครับ
  • ตัวอักษรใหญ่เข้าใจว่าติด code จาก word
  • ต่อไปก่อนบันทึก
  • เลือกตัว T ใกล้ ที่เครื่องมือนะครับ
  • เจอเรื่องลูกชายเขียนบทอึ้งไปเลยพี่
  • ตอนพากย์เป็นภาษาอีสาน
  • คงฮามากกว่านี้ครับ

สวัสดีค่ะพี่สุ เก่งจังเลย เขียนแล้วให้คนอ่านได้อมยิ้มหัวเราะ เอาเครือตดหมามาแปรงแข่ว เพิ่งเคยได้ยินนะคะ อยากไปดูสดๆนะคะ คงจะหัวเราะน้ำตาเล็ด ตามประสาคนเส้นตื้น

มาร่วมฮาครับพี่สุ  ขอบคุณที่นำเรื่องเบา ๆ มาฝากครับ  คิดฮอดอยู่ครับ

 

มีจัวน้อยบ่ การฮามุมกลับเป็นมุขตลกที่เด็กชอบนำมาใช้ครับ

คุณนายผู้ใหญ่บ่นั่งลืมเอาตีนซิ่นบ่

แน่นอน เด็ดขาด ยกนิ้วให้กับคุณแม่ที่บรรยายได้เหมือนกับคนเขียนบท

  • มีงานเข้า
  • ว่าจะรีบไป
  • ที่ไหนได้...ฮ่าๆๆๆๆ
  • มานั่งหัวเราะ..ก่อนดีกว่า
  • สมองจะได้ปลอดโปร่ง
  • ขำๆ และสนุกดี ..ขอบคุณครับ

สวัสดีค่ะ

  • ฮา...ก่อนชื่นชมนะคะพี่สุ
  • ลูกชายน่ารักและมีความสามารถเฉพาะตัวสูงมากนะคะ
  • เป็นบันทึกที่พี่สุ..เขียนเพื่อลูกจริง ๆค่ะ
  • ภูมิใจแทนคุณลูกด้วยนะคะ  เขามาอ่านหรือยัง
  • ขอขอบพระคุณค่ะ
  • สวัสดีค่ะ พี่สุ
  • บรรยายได้ละเอียดชัดเจนมาก  ยอดเยี่ยมค่ะ
  • เขียนบทได้สนุกสนานครื้นเครงประชดสังคมดีค่ะ
  • เรื่องของลูกชายคนเก่ง  ให้เขาได้เรียนในสิ่งที่เขารักเถิดค่ะ
    การเป็นนักดนตรีทำให้จิตใจเขาอ่อนโยน
  • อาชีพที่มีความสุขที่สุดในโลกมีการวิจัยมาแล้วบอกว่า
    คืออาชีพ วาทยากร  (ผู้อำนวยเพลง) ค่ะ

พี่สุกุ้งมาฟังหมอลำเสียงทอง ม่วนอีหลีเนาะ

หวัดดีคับ..

อ่า..มีรับสมัครตัวประกอบ พวก "ต้นไม้" ไหมคับ..

กู๊ดดี้ขอสมัครด้วยคนนะคับ..

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท