ความทุกข์ไม่เปลี่ยนแปลง : ความทุกข์ของคนเกิดไทยที่ไม่มีเอกสารเป็นไทย
หลายคนโดยเฉพาะคนในอยู่ในเมืองกรุงอาจจะเคยได้ยินเพลง “รักไม่มีเปลี่ยนแปลง”ที่ร้องโดยคุณนิโคล เทริโอ ปานพุ่ม ในระหว่างรอโดยสารรถไฟฟ้าใต้ดิน บางคนอาจจะรู้สึกว่าเพลงนี้สั้นและเร็วเกินไป ยังฟังไม่จบเพลงก็ต้องขึ้นรถเพื่อไปสู่จุดหมายแล้ว แต่หลายคนซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่อาจจะรู้สึกว่าเพลงนี้ช่างเชื่องช้าและใช้เวลานาน เพราะในใจมัวแต่คิดว่าเมื่อใดรถขบวนที่ต้องการจะมาสักที
ผู้โดยสารที่ยืนรอใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดินจะมีทั้งนักศึกษาและคนทำงาน ส่วนใหญ่แล้วทุกคนก็จะรีบเร่งให้ถึงที่ทำงาน หรือถึงมหาวิทยาลัยของตัวเองให้เร็วที่สุด ไม่มีใครสนใจใคร ไม่มีเสียงพูดคุยระหว่างกัน คนส่วนมากก็จะมีสายเส้นเล็กๆเสียบหูอยู่ตลอดเวลา เสมือนหนึ่งว่าในขบวนรถนั้นจะมีเพียงตัวเองและเสียงเพลงที่ออกมาจากเครื่องไฟฟ้าอันเล็กเท่านั้นเอง
แต่กับนักศึกษาและคนทำงานอีกส่วนหนึ่งของสังคมไทย จะพบว่าการรอคอยของพวกเขานั้นยาวนานมากกว่าการรอรถไฟฟ้าใต้ดิน ที่หลายคนมองว่านานแล้วมากมายหลายเท่า เขาเหล่านั้นบางคนก็ต้องรอมาเกือบครึ่งชีวิต บางคนก็รอมานานเกือบทั้งชีวิต สิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นเฝ้ารอคือ “พัฒนาสถานะบุคคลของตนเอง”
เขาเหล่านั้นแม้ว่าจะเกิดในประเทศไทย แต่เนื่องจากบิดาและมารดาไม่ได้เกิดในประเทศไทย ทั้งหมดจึงไม่ได้รับสัญชาติโดยอัตโนมัติ เขามีสิทธิเพียงร้องขอมีสัญชาติไทยต่อทางราชการเพื่อให้ได้มีเอกสารและมีชื่อในทะเบียนบ้านของบุคคลสัญชาติไทย
แม้ว่าการไม่มีเอกสารแสดงตนว่าเป็นบุคคลสัญชาติไทยก็ตาม โชคดีอยู่บ้างที่ราชการยังให้โอกาสให้เข้าศึกษาในทุกระดับชั้นที่ต้องการเรียน แต่ในระหว่างเรียนนั้นจะไม่ได้รับสิทธิกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษา หรือบางครั้งก็ถูกเพื่อนล้อว่า “เป็นคนไทยหรือเปล่า” ก็ตาม แต่เขาเหล่านั้นก็ยังพยายามเรียนให้เต็มความสามารถ บางคนเรียนเก่งจนเป็นที่ยอมรับจากคนในสถาบัน
หลังจบการศึกษาแล้ว เมื่อเข้าสู่ตลาดแรงงาน ก็พบว่าตนเองแม้ว่าจะร่ำเรียนมาสูงขนาดไหน หรือจบในสาขาใดก็ตาม อาชีพที่สามารถทำได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายกลับมีเพียงอาชีพ “กรรมกร” เท่านั้น เนื่องจากการที่ยังไม่มีเอกสารแสดงตนว่าเป็นบุคคลสัญชาติไทย จะถูกบังคับตามกฎหมายการทำงานของคนต่างด้าว ที่อนุญาตเพียงอาชีพที่ใช้แรงงานเท่านั้น หลายคนก็จำใจที่ต้องไปขอมีใบอนุญาตทำงานกับสำนักงานจัดหางานในอาชีพกรรมกร เพราะกลัวถูกเจ้าหน้าที่จับกุมและจะนำมาซึ่งความลำบากทั้งตัวเองและนายจ้าง
การพัฒนาสถานะบุคคลของบุคคลที่เกิดในประเทศไทย แต่พ่อกับแม่เกิดนอกไทยนั้น ต้องขอมีสัญชาติไทยตามกฎหมายสัญชาติที่อำนาจอนุมัติจะเป็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แต่กระบวนการขั้นตอนเพื่อให้คำร้องเดินทางไปถึงมือท่านรัฐมนตรีเพื่อลงนามนั้น ใช้เวลานานมาก บางคำร้องต้องใช้เวลา 2 – 3 ปีในการเดินทางจากหมู่บ้านถึงหน้าห้องรัฐมนตรี
คำร้องต้องผ่านการตรวจสอบความครบถ้วนสมบูรณ์จากเจ้าหน้าที่อำเภอ ต่อจากนั้นก็ส่งเพื่อเข้ารับการพิจารณาและตรวจสอบประวัติโดยคณะอนุกรรมการพิจารณาให้สัญชาติและสถานะบุคคลต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายระดับจังหวัด เมื่อผ่านระดับจังหวัดแล้วผู้ว่าราชการจังหวัดก็จะส่งคำร้องพร้อมความเห็นมายังหน่วยงานส่วนกลาง
เมื่อถึงมือของเจ้าหน้าที่ส่วนกลางก็จะแยกออกเป็นสองส่วนคือการตรวจสอบประวัติการทำผิดกฎหมายของผู้ยื่นคำร้องก็จะเป็นหน้าที่ของตำรวจ ส่วนคำร้องก็จะตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่กรมการปกครองที่จะมีคณะกรรมการในส่วนกลางอีกคณะหนึ่ง หลังจากทั้งสองส่วน(ตำรวจ,ปกครอง)เห็นว่าคำร้องและบุคคลที่ยื่นนั้นไม่มีข้อติดขัดประการใด ก็จะส่งเข้าสู่การพิจารณาของคณะทำงานของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกลั่นกรองอีกชั้นหนึ่ง หลังจากนั้นก็จะเป็นอำนาจของท่านรัฐมนตรีว่าจะเห็นควรอนุมัติหรือไม่ หรือว่าจะลงนามเมื่อใด
แม้ว่าการยื่นคำร้องจะดำเนินการเหมือนกันทุกคนในชุมชน แต่ผู้ที่ถูกกระทบมากที่สุดจะเป็นผู้ที่กำลังศึกษาในสถาบันการศึกษาระดับต่างๆโดยเฉพาะในระดับอุดมศึกษา รวมทั้งผู้ที่จบแล้วได้รับปริญญา ที่ไม่สามารถทำงานตามสิ่งที่ตนเองเรียนมา หรือที่ตนเองมีความรู้ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ทำให้บางคนก็ต้องเลี่ยงกฎหมายไปขออนุญาตเป็นกรรมกร หรือบางคนก็ต้องไปเป็นลูกจ้างรายวันที่ไม่ต้องเข้าสู่ระบบการจ้างงานหรือระบบประกันสังคม
การรอคอยของคนที่ไม่มีสัญชาติไทยนั้นเป็นความทุกข์ที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง คงเหมือนกับการรอคอยขบวนรถไฟฟ้าใต้ดินภายใต้เสียงเพลงรักไม่มีเปลี่ยนแปลง ที่ใครหลายคนที่คิดว่าเป็นการรอคอยที่ยาวนานมากแล้ว แต่เมื่อเทียบกับการรอคอยที่จะได้รับเอกสารแสดงตนว่าเป็นบุคคลสัญชาติของคนที่เกิดในประเทศไทยยาวนานมากกว่าหลายเท่า
หวังเป็นอย่างยิ่งว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยท่านใหม่ หรือท่านต่อไปจะให้ความกรุณาลงนามอนุมัติให้สัญชาติแก่คนเหล่านี้ที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการระดับต่างๆแล้วอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง เพื่อให้ความทุกข์ของคนเหล่านั้นหมดไป และมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์แบบ
กฤษฎา ยาสมุทร
27 ตุลาคม 2550
ไม่มีความเห็น