วันหยุดสัปดาห์นี้ผมตั้งใจว่าจะไม่ไปไหนครับ เพราะที่ผ่านมาไม่ค่อยได้อยู่บ้านเลย ตะลอนๆไปทั่ว การที่ตั้งใจอยู่บ้านก็เพื่อที่จะได้มีเวลาเคลียร์งานต่างๆ ที่คั่งค้างไว้ โดยเฉพาะ ตัดต่อ วีดีโอ ที่ถ่ายๆไว้หลายๆงาน พรรคพวกก็ทวงแล้วทวงอีกว่าเมื่อไหร่จะส่งให้ซักที หลังจากที่เปิดโปรแกรมตัดต่อ วี ดี โอ แล้วผมเลือกที่จัดต่อ วีดีโอ ที่ผมถ่ายไว้ตอนที่ไปพบ คุณมาร์ติน วิลเลอร์ ที่ อ.อุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น แต่เมื่อเปิดตัวอย่างดู แล้วปัญหาก็เกิดขึ้นกับผมซะแล้ว เพราะว่าคำพูดแต่ละคำของคุณมาร์ติน ล้วนแล้วแต่น่าสนใจ ผมไม่รู้จะตัดช่วงไหนออกดี เลยหยุดตั้งสตินึกทบทวน วัตถุประสงค์ที่ต้องการจากการสัมภาษณ์อีกที แต่ระหว่างที่ผมยังคิดไม่ออก ก็เลยมานั่งเขียน blog เล่าแนวคิดของฝรั่งคนนี้ให้พี่น้องชาว KM ได้รู้จักกันดีกว่า
มาร์ติน วีลเลอร์ เป็นชาวอังกฤษ เขาเกิดมาในครอบครัวที่เพียบพร้อม มีอันจะกิน ถึงขั้นที่เรียกได้ว่าระดับเศรษฐีก็ว่าได้ ตัวเขาเองจบปริญญาตรี เกียรตินิยมอันดับหนึ่งจากมหาวิทยาลัยลอนดอน คุณพ่อ จบปริญญาเอก เป็นผู้จัดการบริษัทผลิตสารเคมีที่มีพนักงานถึง 20,000 คน คุณแม่ เป็นครูสอนดนตรี พี่สาวจบการศึกษาระดับปริญญาเอก พี่เขย ก็จบปริญญาเอก เป็นอาจารย์สอนมหาวิทยาลัย แทบจะพูดได้ว่าชีวิตน่าจะมีความสุขและเป็นที่น่าอิจฉาอย่างมาก แต่กับมาร์ติน แล้วเขาไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งที่เป็นอยู่นั้นเลย เขาไม่อยากมีเงิน ไม่อยากมีวุฒิบัตร ไม่อยากมีรถ ไม่สนใจวัตถุ เมื่อครั้งที่เขาจบปริญญาตรี ได้รับวุฒิบัตร เขาก็มอบวุฒิบัตรนั้นให้กับพ่อแม่ เพราะว่าพ่อ แม่อยากได้ เขาไม่ได้อยากได้เลย แต่มาร์ติน อยากอยู่แบบง่าย มีบ้านหลังเล็ก กับครอบครัวเล็กๆ มักน้อยสันโดษ เมื่อคิดเช่นนั้นหลังจากเรียนจบแล้วเขาจึงเลือกที่จะไปทำงานก่อสร้าง แบกอิฐแบกปูน ทำอยู่ร่วมสิบปี ซึ่งคนส่วนใหญ่มักบอกว่าเขาเป็นคนนิสัยเสีย พ่อ แม่ และ พี่ อุตส่าห์สนับสนุนให้ เรียนหนังสือ แต่เมื่อจบแล้วกลับไม่ยอมใช้ความรู้ มาทำมาหากิน
มีคำถามว่าทำไมมาร์ตินถึงเลือกที่จะไปทำงานก่อสร้าง แบกอิฐ แบกปูน ทั้งที่เป็นงานที่หนักและเหนื่อยมาก เขาบอกว่า “เขาอยากรู้จักชีวิตของตัวเอง” เขาอยากรู้ว่าตัวเองมีความสามารถขนาดไหน มีความอดทนหรือเปล่า ถ้าเจอสิ่งที่ยากลำบากเขาจะทนได้มั้ย การที่เขาคิดอย่างนี้เพราะที่ผ่านมาชีวิตเขาเคยอยู่แต่ในสังคมที่พูดถึงแต่เรื่องเงิน เรื่องรถ เรื่องลูก บางทีก็เอาลูกมาแข่งกัน อวดกันบ้างว่าลูกเรียนที่นั่น ที่นี่ สำหรับมาร์ตินเอง เขาคิดว่าสิ่งต่างเหล่านั้นมันทำให้ชีวิตมีแต่ความวุ่นวาย หาความสุขที่แท้จริงไม่ได้ แต่เมื่อเขามาทำงานก็สร้าง แบกอิฐ แบกปูน มันทำให้เขารู้สึกว่ามีอิสระ ทำให้มีเวลาได้คิด ที่สำคัญทำให้ร่างกายแข็ง.แรงอีกด้วย แต่ถึงอย่างไรในช่วงที่เขาทำงานก่อสร้างอยู่ที่ประเทศอังกฤษ เขาเองก็ยังดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เที่ยวกลางคืนอยู่ดี
เมื่อคุณแม่ของเขาเสียชีวิต ก็ได้รับมรดกมาก้อนหนึ่ง ซึ่งเขาตั้งใจว่าจะนำเงินที่ได้นั้นไปเที่ยว และจะไปเที่ยวในประเทศที่เขายังไม่เคยไป นั่นคือประเทศไทย ลาว เขมร และออสเตรเลีย แล้วเขาก็เลือกมาประเทศไทยเป็นประเทศแรก ด้วยความที่เป็นคนชอบเที่ยว ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เมื่อมาถึงเมืองไทยได้ 2 เดือน เงินที่ได้มาจากมรดก ก็หมด อดไปประเทศอื่นๆ เลยต้องหางานทำ และงานที่เขาทำได้ในตอนนั้นก็มีงานเดียว ที่ฝรั่งทำได้ดีในเมืองไทย นั่นก็คือ “การเป็นครูสอนภาษา” ซึ่งในครั้งนั้นมาร์ตินบอกว่าเขาเองรู้สึกว่าเขาทรยศต่อตัวเองมากที่สุด ทำไมเขาถึงคิดเช่นนั้น............????
ทำไมเขาถึงคิดเช่นนั้น............????
รออ่านต่อค่ะ
ขอบคุณครับ
คุณสมพร : คงได้อ่านตอนที่2 แล้นะครับ
คุณขจิต : ผมก็สงสัยอยู่เหมือนกันครับ ว่าทำไมรูปไม่ขึ้น ใครมีเทคนิคดีๆผมรบกวนขอคำแนะนำด้วยนะครับ
มีสาระดีพอดีผมจะนำไปใช้ในวิชาตามรอยพระยุคลบาทพอดี
Thank you นะคนทำบล็อคบายจ้า