สู้กับสิ่งที่ "เกลียด..."


เมื่อก่อนนั้นหนี เคยหนี ชอบหนี เมื่อต้องอยู่ ต้องพบ ต้องเห็น ต้องได้ยินในสิ่งที่ฉันไม่ชอบ ฉันเกลียด ฉันไม่พอใจ แต่ยิ่งหนีเท่าไหร่ ใจก็ยิ่งไปจับในสิ่งนั้น ยิ่งไม่อยากฟังเท่าไหร่ หูก็ไปฟังเสียงนั้น ฟังมาก ฟังละเอียดเสียยิ่งกว่าตอนที่อยากฟังเสียอีก หนีอะไรก็หนีได้ แต่ถ้าจะหนีจิตหนีใจตัวเองนั้น “หนีไม่พ้น...!”

การที่เราไม่ชอบใคร เกลียดใครนั้นเป็นการทำร้ายจิตทำร้ายใจของเราเอง
เพราะว่าการที่เราไม่ชอบเขา ใจเราก็จะยิ่งไปจับไปจ่ออยู่ที่ ทุกครั้งที่เขากระดิกตัว ทุกครั้งที่ได้ยินคำพูดเขา ใจเราจะไปดู ไปฟัง แล้วเอาความไม่ดีของเขามาใส่ใจเรา เอาความไม่ดีของเขามาทำร้ายใจเรา “เอาขี้ของเขามาดม...” ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้ทำอะไรเราเลย ใจเราเองต่างหากที่ทำร้ายใจเราเอง


คำพูดเขาหนึ่งคำก็เปรียบกับเข็มที่เรานำมาทิ่มใจตัวเองหนึ่งเล่ม
เขาขยับตัวหนึ่งครั้งก็เปรียบดั่งมีดที่นำมาแทงใจเราตัวเองอีกหนึ่งเล่ม
เขาพูดร้อยคำเราก็ทิ่มใจตัวเองร้อยครั้ง
เขาขยับตัวร้อยครั้งเราก็เอามีดมาแทงใจตัวเองร้อยที
ทิ่มแทงให้ใจเราแย่ แย่เพราะเรา เราทำตัวแทงใจของเราเอง...

ต้องสู้สิ...
ที่ผ่านมาฉันโง่มาเสียนาน เอาเข็ม เอามีดมาทิ่มมาแทงใจตน จนเครียด จนอ่อน จนเพลีย ก็ด้วยเพราะความเขลาเบาปัญญา


วันนี้ฉันสู้ ฉันอยู่กับลมหายใจ
อยู่ต่อหน้าเขา อยู่ในท่ามกลางเสียงพูดของเขา แต่ฉันแทบไม่ได้ยินเสียงเขา ฉันมองไม่เห็นความไม่ดีของเขาเลย
อ้าว...! พูดจบแล้วเหรอ
อ้าว...! ไปแล้วเหรอ


ก้าวแรกนั้นฉันพอก้าวผ่านได้แล้ว ลืม ๆ ปล่อย ๆ มันไป “ช่างหัวมัน...!”


ก้าวที่สองนั้นฉันต้องฝึกอีก ฉันต้องกรุณากับเขา สงสารเขาที่เขาเป็นอย่างนั้น


ก้าวที่สามนั้นฉันต้องเริ่มให้เกิดมี ฉันต้องเมตตากับเขา บอกเขา ชี้แนะนำ โดยที่ฉันไม่มี “อคติ” กับเขา ไม่มีอารมณ์โกรธ ไม่มีอารมณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นกับเขา วางใจให้เป็นอุเบกขาแล้วค่อยพูด ค่อยเตือนเขา ถ้าใจฉันยังไม่เป็นอุเบกขา ฉันก็ยอมเป็น “ควาย” ที่จะเป็นให้เรื่องนั้นผ่านไป ผ่านไป ผ่านไป เพราะไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเป็นเตือนเขาในขณะที่เรากำลังโกรธ มีอคติเกิดขึ้นในใจ


เพราะนั่นจะไม่ทำให้อะไรต่ออะไรดีขึ้นแล้ว กลับยิ่งทำให้เกิดศัตรู เกิดความระหองระแหงแคลงใจ “เรา”
บอกเขาไปแล้วเราก็กลับมานั่งกลัว นั่งเครียด ว่าเขาจะคิดอย่างไร เขาก็จะโกรธเราหรือเปล่า เขาจะเข้าใจไหม ถ้าใจยังเป็นอย่างนี้ก็ไม่ต้องไปบอก ไม่ต้องไปพูด ไม่ต้องไปคิด ต้องทำใจของตนเองให้เป็นกลางเสียก่อน แต่มิใช่ทำเป็นหน้ามึน ใจด้าน ด่าเขาแล้วไม่รู้สึกรู้สานะ มันแตกต่างกัน เพราะนั่นเราทำผิด ผิดแล้วยังไม่สำนึกตัวเอง อันนั้นก็หนักกันไปใหญ่

บันไดสามขั้นนี้ฉันต้องก้าวไปทีละขั้น กระโดดไปขั้นสามเลยไม่ได้นะ
ต้องค่อย ๆ ฝึก “สติ” ให้ดี
ฝึกใจให้มีความกรุณาสงสารให้ก่อน
ฝึกการให้เพื่อสร้างเมตตาบารมี
จากนั้นจึงทำใจให้เป็นกลางเกิดอุเบกขาให้ได้


ต้องฝึกนะ ต้องฝึก
ฝึกแล้วเราจะมี “ใจดี”
มีสติที่อยู่กับลมหายใจเป็นพื้นฐาน
มีสติควบคุมอยู่ในทุกขณะสัมผัสที่คิด พูด ทำแล้ว
แล้วจะคิด พูด ทำในสิ่งที่ดี
การคิด พูด ทำในสิ่งที่ดีก็จะทำให้เรา “ใจดี ใจสบาย”
ชีวิตเราจะเอาอะไรอีกเล่านอกจาก “ใจดี ใจสบาย...”

 

 

คำสำคัญ (Tags): #ความเกลียด#สติ
หมายเลขบันทึก: 185529เขียนเมื่อ 1 มิถุนายน 2008 08:52 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 19:07 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

ทุกอย่างอยู่ที่ใจนั่นแหละ หากเข้าใจ ทำใจ รักษาใจ ก็ดีหมด

  • นมัสการพระคุณท่านค่ะ
  • เป็นบุญเหลือเกินที่ได้มาเจอขุมปัญญาทางธรรมที่บล็อกของพระคุณท่าน จะตามเก็บอ่านไปเรื่อย ๆ และนำไปปฏิบัติค่ะ

กำลังมีปัญหาจุดนี้พอดีเลย

ท่านกล่าวถูก

"การที่เราไม่ชอบใคร เกลียดใครนั้นเป็นการทำร้ายจิตทำร้ายใจของเราเอง."

ขออนุญาติหยิบยก บทความที่เพื่อนส่งมาให้อ่าน เข้ากับเรื่องนี้พอดี

********************************************************

* วิธีอยู่กับคนที่เราเกลียด * วิสัชนา โดย ว.วชิรเมธี

ถ้าเรารู้สึกไม่ชอบหน้าใครสักคนหนึ่งแต่จำเป็นต้องอยู่ทำงานด้วยกันในที่ทำงานเดียวกันทุกๆ วัน ผมควรจะวางตัวอย่างไรดีครับ

มันอึดอัดไปหมด ไม่มีความสุขเลยตลอดเวลาที่อยู่ในสำนักงานร่วมกันคนคนนี้

รู้ไหมว่า เรามีเวลาอยู่ในโลกนี้คนละกี่ปี

ชีวิตนั้นสั้นยิ่งกว่าหยดน้ำค้างเสียอีก จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า

ถ้าเราใช้เวลาอันแสนสั้นนี้ไปมัวหลับๆตื่นๆอยู่ในความรัก โลภ โกรธ หลง

หมั่นไส้คนนั้น ปลาบปลื้มคนนี้ ริษยาเจ้านายใส่ไคล้ลูกน้อง

ปกป้องภาพลักษณ์ (อัตตา) กด (หัว)

คนรุ่นใหม่หลงใหลเปลือกของชีวิต โดยลืมไปเลยว่าอะไรคือสิ่งที่ตนควรทำอย่างแท้จริง

คิดดูเถิดว่า เราจะขาดทุนขนาดไหน

ท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ เขียนบทกวีไว้ว่า

'' น้ำไหลอายุขัยก็ไหลล่วง ใบไม้ร่วงชีพก็ร้างอย่างความฝัน

ฆ่าชีวาคือพร่าค่าคืนวัน จะกำนัลโลกนี้มีงานใด ''

คนเราไม่ควรพร่าเวลาอันสูงค่าด้วยการปล่อยตัวปล่อยใจให้ตกเป็นทาสของความชอบ ความชัง มากนัก

เพราะถ้าเราวิ่งตามกิเลส กิเลสก็จะพาเราวิ่งทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ต่อไปไม่รู้จบ

กิเลสไม่เคยเหนื่อย แต่ใจคนเราสิจะเหนื่อยหนักหนาสาหัสไม่รู้กี่เท่า

ควรคิดเสียใหม่ว่า เราไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะชอบหรือไม่ชอบใคร

หรือเพื่อที่จะให้ใครมาชอบหรือมาชัง

แต่เราเกิดมาสู่โลกนี้เพื่อทำในสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งควรจะทำ

เอาเวลาที่รู้สึกแย่ๆ กับคนอื่นนั้นหันกลับมามองตัวเองดีกว่า

ชีวิตนี้เรามีอะไรบ้างที่เป็นแก่นสาร มีงานอะไรบ้างที่เราควรทำ

นอกจากนั้นก็ควรมองกว้างออกไปอีกว่า

เราได้ทำอะไรไว้ให้แก่โลกบ้างแล้วหรือยัง

คนทุกคนนั้นต่างก็มีดีมีเสียอยู่ในตัวเอง

ถ้าเราเลือกมองแต่ด้านเสียของเขา

จิตใจของเราก็เร่าร้อน หม่นไหม้

เวลาที่เสียไปเพราะมัวแต่สนใจด้านไม่ดีของคนอื่นก็เป็นเวลาที่ถูกใช้ไปอย่างไร้ค่า

บางที่คนที่เราลอบมอง ลอบรู้สึกไม่ดีกับเขานั้น

เขาไม่เคยรู้สึกอะไรไปด้วยกันกับเราเลย

เราเผาตัวเราเองอยู่ฝ่ายเดียวด้วยความหงุดหงิด ขัดเคืองและอารมณ์เสีย

วันแล้ววันเล่า สภาพจิตใจแบบนี้ไม่เคยทำให้ใครมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นมาได้เลย

ลองเปลี่ยนวิธีคิด วิธีมองโลกเสียใหม่ดีกว่า

คิดเสียว่าคนเราไม่มีใครดีพร้อมหรือ เลวไม่มีที่ติไปเสียทั้งหมดหรอก

เราอยู่ในโลกกันคนละไม่กี่ปี ประเดี๋ยวเดียวก็จะล้มหายตายจากกันไปหมดแล้ว

มาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระทำไม

อะไรที่ควรทำก็รีบทำเถิดปล่อยวางเสียบ้าง

ความโกรธ ความเกลียดนั้นไม่มีคุณค่าอะไรต่อชีวิตอันแสนน้อยนิดนี้เลย

มุ่งไปข้างหน้า ไปหาสิ่งที่มีคุณค่าให้ชีวิตดีงามดีกว่า

วิธีที่แนะนำทั้งหมดนั้น นักภาวนาเรียกว่า '' การกลับมาอยู่กับตัวเอง ''

กล่าวคือ ถ้าเราเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องอยู่กับคนที่ไม่ถูกโฉลก

แทนที่จะปล่อยใจให้อยู่กับ ความรู้สึกแย่ๆไปตลอด ก็ควรหันกลับเข้ามา '' มองด้านใน ''

แก้ไขที่ตัวเอง อย่ามุ่งแก้ไขที่คนอื่น

เพราะยิ่งพยายามแก้ไขคนอื่น ก็ยิ่งยุ่งเหมือนลิงทอดแห

ยิ่งเราให้ความสำคัญกับคนที่เราเกลียดมากเท่าใด

สภาพจิตใจก็ยิ่งแย่ลงมากเท่านั้น

วิธีที่ดีที่สุดในการอยู่กับคนที่เรารู้สึกไม่ดีหรือเป็นปฏิปักษ์ก็คือ

การดึงความรู้สึกจากเขามาอยู่เราทุกขณะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท