ฉันเกลียดวันแม่


เทศกาลวันแม่กำลังจะเวียนมาถึงอีกครั้ง เป็นช่วงเวลาแห่งความทุกข์ใจของเราทั้งครอบครัว หลานรักศูนย์รวมจิตใจของบ้านเราต้องเผชิญกับการตอกย้ำ สะกิดแผลที่เราพยายามเยียวยากันมาตลอดปี ทุกปีครอบครัวเราต้องเตรียมตัวตั้งรับกับฤดูวันแม่ที่โรงเรียนและสังคมพยายามส่งเสริมให้เด็กเห็นถึงพระคุณแม่ และต้องคอยเซ็นเซอร์สื่อที่ตอกย้ำกันตลอด

โรงเรียนและสังคมลืมเด็กกลุ่มหนึ่งไปหรือเปล่า เด็กที่ไม่มีแม่หรือพ่อ เด็กที่มีบาดแผลในจิตใจจากการถูกทอดทิ้ง เด็กกำพร้า หรือเด็กที่พ่อแม่ฝากคนอื่นเลี้ยง เด็กกลุ่มนี้เขาผิดอะไร ทำไมไม่คิดถึงจิตใจเขาบ้าง ทำไมทำร้ายเขาทุกปี ไม่มีวันแม่เด็กจะไม่รักแม่หรือ? เคยเห็นเด็กที่มีพ่อแม่แต่ติดงานไม่สามารถร่วมงานที่โรงเรียนจัดขึ้น แค่นั้นเด็กยังเสียใจจนร้องไห้ แต่กลับไปบ้านก็มีแม่คอยปลอบโยน แล้วเด็กที่ไม่มีล่ะ เขาจะต้องร้องไห้กี่ครั้งถึงจะได้สิ่งที่เขาโหยหา ร้องยังไงก็ไม่มีโอกาสที่จะมี

ทำไมต้องเติมคนที่เต็มอยู่แล้วให้ล้นอีก สำหรับเด็กที่ขาดมันเหมือนไปแกะแผลที่ตกสะเก็ดแล้วให้เลือดออก คนที่ดูแลก็ต้องรับกรรมเยียวยากันไปจนกว่าจะถึงวันที่คนทั้งหลายตั้งไว้เพื่อแสดงความรักสำหรับแม่จะเวียนมาถึงอีก แล้วก็เป็นวัฏจักรอย่างนี้ทุกปี ไม่มีใครคิดจะแก้ปัญหาสำหรับคนกลุ่มน้อยบ้างหรือ? ไม่ได้จะเรียกร้องให้เลิกทำ แต่น่าจะมีมาตรการที่รองรับบ้าง เด็กเล็กๆ ขนาดนี้เขาจะรับความรู้สึกเจ็บช้ำได้อีกสักเท่าไหร่

ความเจ็บปวดนี้คนที่ไม่อยู่ในสถานการณ์จะไม่รู้สึก หรือคิดไม่ออกว่าเป็นอย่างไร ต้องลองมาปลอบเด็กที่นอนละเมอร้องไห้หาแม่ทั้งคืน เพราะถูกตอกย้ำทุกวันในช่วงนี้ หรือลองตอบคำถามซื่อๆ ที่เด็กถามมาแต่ทำให้เราใบ้รับประทาน "คุณครูให้เขียนเรื่องแม่ของฉัน หนูนึกไม่ออกว่าแม่เป็นยังไง แล้วหนูจะเขียนอย่างไรดี" ฟังแล้วมันเจ็บร้าวเข้าไปถึงอก ดูเหมือนง่ายแต่ทำร้ายความรู้สึก ลองนึกถึงสภาพของเด็กที่ไม่มี เด็กเขาจะเขียนอะไร แค่นึกก็ยากแล้วสำหรับเด็ก พอไม่เขียนครูก็ถามด้วยความซื่อว่าทำไม อยากให้เด็กตอบว่าอะไรหรือ? ก็เพราะไม่มีและไม่รู้ไงเลยเขียนไม่ได้ ทำให้เด็กได้เจ็บปวดเพิ่มขึ้นแล้วสะใจไหม สบายใจหรือยังที่ตอกย้ำให้เด็กไม่ลืมว่าเขาแตกต่าง และไม่มีเหมือนคนอื่นอีกครั้ง

วันหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้หลานเขาถามกลางวงอาหารว่า "หนูไม่รู้ประวัติตัวเองว่าแม่เป็นใคร แล้วหนูโตขึ้นจะทำงานได้อย่างไร" เราแทบสำลักข้าว กินไม่ลงแล้ว ต้องนึกไปอธิบายไปว่าเรียนหนังสือจบมีใบประกาศก็ทำงานได้ เขาไม่ถามเรื่องครอบครัวหรอก เรียกว่าค่อยๆ คิดทุกคำพูด เลือกคำที่ไม่ทำร้ายความรู้สึกเขา หลบเลี่ยงไปได้หนึ่งครั้ง แล้วก็ต้องรอคอยคำถามที่จะเกิดขึ้นอีก หลายคนก็บอกว่าควรให้เขารับรู้ความจริง เด็ก 7 ขวบคุณคิดว่าเขาเข้าใจแค่ไหน และทำร้ายจิตใจเขาขนาดไหน "หนูผิดอะไร หนูเป็นเด็กดี ทำไมแม่ถึงทิ้งไป" คำถามนี้คงเกิดขึ้นแน่นอน

ปล. น้องทีมหลานรัก อาทั้งสองกับย่าอยากจะบอกว่า หนูเป็นเหมือนแก้วตาดวงใจ ถ้าอาแบกความเจ็บปวดนี้แทนหนูได้ ให้อาทำอะไรก็ยอม เราเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นเหมือนอวัยวะในร่างกายเดียวกัน ส่วนใดเจ็บร่างกายทั้งหมดก็พลอยเจ็บปวดไปด้วย
หมายเลขบันทึก: 113203เขียนเมื่อ 21 กรกฎาคม 2007 00:47 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 พฤษภาคม 2012 15:36 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (40)

สวัสดีค่ะ

P

แค่อ่านก็ น้ำตาคลอแล้ว

สงสารหลานรูปหล่อมากๆ ไม่เป็นไร ยังมีคุณน้า คุณอา อีกที่คอยให้ความอบอุ่นค่ะ ไม่ต้องกังวลหรอก  หลานรัก ยังไงหลานก็เป็นหัวใจของครอบครัวเราค่ะ

เพื่อนสนิคนหนึ่ง ก็เลี้ยงหลานชายหนึ่งคน แบบนี้หละ รักมากๆ รักเหมือนลูก ไปรับส่งที่โรงเรียนทุกวัน อบอุ่นค่ะ ไม่มีปัญหาค่ะ ซนจะตาย ไม่อยู่นิ่งเลย ต้องเรียกทำการบ้านทุกวัน

วันนี้ เขียนเรื่องหนักหน่อยนะคะ

P คุณsasinanda

ขอบคุณมากค่ะ คนมีเด็กเล็กในบ้านย่อมเข้าใจหัวอกนี้ดี วันนี้เขียนไปน้ำตาคลอเบ้าไป ช่วงนี้เป็นช่วงหนักของบ้านเราทุกปี น้องทีมเขาจะฉุนเฉียว อารมณ์เสียไร้สาเหตุ อ้อนมากกว่าปกติ ตกกลางคืนก็ละเมอและร้องไห้ วันก่อนก็ละเมอเรียกหาแม่ ไม่รู้ว่าเด็กจะจำได้นานขนาดไหน ดูแลเขามาสองปีเศษตั้งแต่ก่อนห้าขวบ ไม่คิดว่าเด็กจะมีความทรงจำเรื่องนี้แม่นยำ ไม่ลืมง่ายๆ อย่างที่เราคิด กลุ้มค่ะ

เป็นอีกแง่มุมหนึ่ง ที่สังคมไม่ควรมองข้าม

น่าคิดนะครับ................

ผมจบเรื่องสมัย 3 ขวบ และน้อยกว่านั้นนิดหน่อยได้บ้างนะครับ. จำพ่อ แม ่ญาติได้. จำชุดที่ใส่ได้. จำรองเท้าได้ จำได้ว่าทำไมใส่รองเท้าไม่เหมือนคนอื่น. จำของเล่นได้. จำเหตุการสำคัญหลายอย่างได้.

สมัย 7 ขวบก็จำได้แล้วว่าเคยแกล้งโง่. เคยรู้สึกว่าผู้ใหญ่คงลืมตอนเด็กๆไปหมดแล้ว เพราะแสดงออกเหมือนกับเราไม่รู้อะไร หลอกเด็กด้วยเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ. แต่หลายความก็แกล้งโง่ไป เพราะไม่อยากทำร้ายจิตใจใคร. อาทิ เรื่องของซานตาคลอสอะไรแบบนั้น. ตอนเด็กๆ ผมเชื่อมั่นมากว่าไม่มีจริง. คนเอาอะไรมาให้ต้องเป็นพ่อแม่แน่ๆ. แต่ก็แกล้งโง่ไปในบางปี. แต่ว่าตอนนี้ไม่มั่นใจละ.

ผมรู้สึกได้ว่าที่โรงเรียนมีเรื่องแย่ๆอะไรหลายอย่าง. แม้แต่การเหยียดเชื้อชาติ!!! แต่ก็ดูเหมือนว่าคนที่มีพฤฒิกรรมเหล่านั้นเอง ก็ไม่ใช่คนเลวหรือมีจิตใจโหดเหี้ยมอะไร. แต่ว่าไม่เข้าใจว่าการกระทำ หรือคำพูดของเขาทำร้ายคนอื่นอย่างไร.  หลายครั้งคำตอบที่ได้จากการทักท้วงเรื่องที่เป็นความเดือนร้อนของคนส่วนน้อย. ก็จบลงด้วยคำตอบว่า "อย่าคิดมากน่า". (ความเดือดร้อนของคนอื่นก็เลยไม่ต้องคิดมาก? ผมไม่สามารถจิตนการได้ว่า คนที่ให้คำตอบนี้  ในใจเขาคิดอะไรแบบไหน)

แก้คำผิด ผมจบเรื่อง -> ผมจำเรื่อง

ขออนุญาตแลกเปลี่ยนนะคะ 

หนิงก็เคยมีเพื่อนที่อยู่กับคุณตาคุณยาย  ไม่เคยรู้จักคุณว่าคุณพ่อเป็นใคร  และคุณแม่ก็ไม่ให้เรียกว่าแม่นะคะ  แต่เขาไม่เกลียดวันแม่ค่ะ  เขาจะพาคุณยายมาทุกครั้งที่โรงเรียนจัดวันแม่  แล้วจะคุยเสมอว่า...พวกตัวเองแค่ แม่  แต่เขาพาแม่ของแม่ มา  555  แล้วพวกเราจะจำคุณยายของเขาได้ดีค่ะ  เพราะคุณยายมาโรงเรียนทีไร  ขนขนมมาแจกพวกเราเสมอ  ที่สำคัญตอนนั้น  เด็กกทม.อยู่แฟลตตำรวจ แบบหนิงไม่ค่อยรู้จักขนมไทยอ่ะค่ะ  คุณยายทำให้หนิงรู้จักขนมไข่หงส์ และทำให้ชอบขนมนี้มาจนถึงทุกวันนี้ 

หนิงเชื่อว่า  ความรักความอบอุ่นของผู้ดูแลปัจจุบันสำคัญกว่าค่ะ

เพราะบางคนขนาดพ่อแม่ อยู่ครบในครอบครัวเดียวกัน  แต่พอวันแม่ทีไร  คุณแม่ก็ไม่อยากมาโรงเรียน อ้างว่า ไม่ว่าง  ติดธุระ  อื่นๆ ร้อยแปด  แถมบางที อยู่ในบ้านเดียวกันก็ทะเลาะกันให้ลูกเห็นทุกวันอ่ะค่ะ  บางทีก็พาลเอากับลูกๆด้วย

พอช่วงจังหวะชีวิตหนึ่ง  ตั้งแต่ ป.5 - มัธยม หนิงก็ต้องแยกจากครอบครัว มาอยู่ตจว.กับคุณตาคุณยายเช่นกันค่ะ  ทุกครั้งที่โดนล้อ โดนแกล้ง ว่า พ่อแม่ไม่รัก  ถึงเอามาทิ้งไว้กับคุณตาคุณยาย  (เพราะครอบครัวยังอยู่กทม.)

หนิงก็จะคิดถึงเพื่อนและคุณยายของเขาค่ะ  ทำให้พอคลายอารมณ์โกรธคนอื่นๆไปได้ 

วันแม่  ก็ยังเป็นวันสำคัญ  ถึงน้องจะยังไม่ค่อยเข้าใจ  อย่างไรเราก็ต้องพยายามให้ปรับความเข้าใจน้องนะคะว่า  แม่ คือ ใคร มีหน้าที่อย่างไร ความกตัญญูต่อแม่ผู้ให้กำเนิด  และแม่ผู้ให้การเลี้ยงดู และทุกวันนี้ถึงน้องจะไม่เคยเจอ แม่  แต่หน้าที่เหล่านั้น  พวกเราดูแลอยู่แล้ว  พวกเราก็คือแม่ผู้ให้การเลี้ยงดู

ขอบคุณค่ะคุณบ่าววีร์ เรื่องการกระทำของคนที่ไม่คิดอะไรนี่ หลายครั้งก็ทำให้คนอื่นเจ็บปวดหรือรู้สึกแย่ได้เหมือนกัน ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้ร้ายกาจอะไรแต่ทำไปด้วยคาดความคิดอย่างรอบคอบเท่านั้น แต่คนแบบนี้ให้ตายก็คิดเองไม่ได้ ต้องมีคนไปสะกิดบอกถึงจะ อ๋อ เหรอ อุ้ยไม่ได้ตั้งใจ อย่าคิดมากนะ เขาคิดว่าเราเป็นปลาทองจะลืมได้ภายในสิบวินาที
ขอบคุณค่ะคุณหนิง ก็หวังว่าสักวันเขาจะโตพอและมีวุฒิภาวะที่จะเข้าใจหลายๆ สิ่ง และยอมรับได้รวมถึงทำใจได้ เพราะสิ่งที่ผู้ใหญ่ทำกับเขานั้นไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง ไม่สามารถอธิบายได้เลยว่ามีเหตุจำเป็นอะไร มีแต่คำสั้นๆ ที่บอกได้คือ "เห็นแก่ตัว และขาดความรับผิดชอบ"

เราซึ่งเป็นผู้ให้การเลี้ยงดูก็ต้องทำต่อไปเต็มที่อย่างสุดความสามารถ ทั้งความรักและการเอาใจใส่ ยิ่งเราไม่ใช่แม่เขายิ่งต้องเพิ่มความเข้าใจมากเป็นทวีคูณค่ะ

ผมเองก็เป็นหนึ่งในคนที่คิดเหมือนกันว่า กิจกรรมวันแม่นั้น บางทีก็เผลอไปทำร้ายจิตใจใครตัวเล็กๆคนหนึ่งได้เหมือนกัน เคยเขียนบทความแล้วส่งไปโรงเรียนลูกเมื่อ 2 ปีก่อนมาแล้ว คุณครูก็กระจายให้พ่อแม่หลายคนได้อ่านทางวารสารของโรงเรียน

ที่นี่ครับ

โชคดีที่โรงเรียนที่ผมเลือกให้ลูกไปเรียนนั้น คุณครูเข้าใจเรื่องพวกนี้เป็นอย่างดี พ่อขวางโลกอย่างผมจึงสามารถแสดงความคิดเห็นได้เต็มที่

 

ขอบคุณค่ะคุณหมอ คือส่วนตัวคิดว่าเรื่องแบบนี้มันจะมีปัญหาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในสภาพของสังคมเมืองที่มีการหย่าร้างสูง หรือมีความบีบคั้นของสภาพเศรษฐกิจในครอบครัว พ่อแม่ที่เป็นคนหาเช้ากินค่ำจะลางานแต่ละทีก็ยากเย็น และอาจจะกระทบกับการงานที่ทำ แต่ถ้าไม่ลางานมาดูลูกหรือร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่โรงเรียนขยันจัดขึ้น ก็จะเป็นการสร้างความต่างให้กับเด็ก พ่อแม่มาได้บ้างไม่ได้บ้างเด็กยังอาจยังพอเข้าใจ อาจจะเสียใจเล็กน้อย แต่สำหรับเด็กที่ไม่มีวันมีเหมือนคนอื่นล่ะ ใครมาแทนก็ไม่เหมือน อาจจะปลอบใจตัวเองว่าดีกว่าไม่มีใครมา แต่ถามว่าในความรู้สึกลึกๆ มันแทนกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์มั้ย ก็คงไม่มีทาง

ที่อยากถามก็คือกิจกรรมต่างๆ ที่โรงเรียนพยายามสร้างขึ้นนั้นคิดรอบด้านแล้วหรือยังว่าจะมีผลกระทบต่อจิตใจเด็กบ้างไหม หรือเพียงแต่เด็กส่วนใหญ่ OK ก็ไม่ต้องไปคิดถึงเด็กที่มีปัญหากลุ่มน้อย เอาอะไรมาวัดมาตีค่าว่า หัวใจเล็กๆ ของเขาไม่สำคัญ ประชาธิปไตยมันใช้ไม่ได้กับเรื่องแบบนี้นะคะ
ขออนุญาต copy ส่วนท้ายของบันทึกคุณหมอมาลงให้ได้อ่านกันนะคะ เพราะตรงใจมาก เหมือนมานั่งอยู่ในวงสนทนาของบ้านเราเลย คุยเรื่องเดียวกัน มีความคิดเห็นเหมือนกัน
-----------------------------------------------------------------
บทความบางส่วนจากบันทึกของคุณหมอธนพันธ์
http://gotoknow.org/blog/writen-by-DrPae/96662

กิจกรรมในโรงเรียนที่ดี ควรจะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อบรรดาผู้ปกครองหลายๆ คนที่มีภาระหน้าที่ที่ต้องทำมากมายในแต่ละวัน ต้องไม่กระทบต่อจิตใจของเด็กบางส่วนที่ไม่มีความพร้อมเหมือนเพื่อนๆ อาจจะดูว่าเขาเป็นส่วนน้อย ไม่น่าจะต้องไปใส่ใจ แต่หัวใจดวงน้อยนั้น เวลามันถูกกระทำ ถูกเปรียบเทียบ มันส่งผลให้เกิดรอยด่างพร้อยไปได้นานและใหญ่หลวงนัก เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาวได้ฉันใด หัวใจดวงน้อยที่ถูกละเลยย่อมสะเทือนถึงสังคมได้เสียสักวัน

สวัสดีค่ะ คุณซูซาน

ฟังเรื่องราวแล้วก็รู้สึกเห็นใจทุกคนในครอบครัวที่ได้พยายามดูแลจิตใจของหลานไม่ให้กระทบกระเทือน แต่แล้วก็มีกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งมากระทบจิตใจโดยที่เราไม่สามารถไปปกป้องได้เลย...สู้ๆๆ นะค่ะ ความเข้มแข็งของคุณอา คุณย่า จะช่วยให้หลานๆ เกิดความเข้มแข็งได้ค่ะ

  • สวัสดีครับ
  • ไม่มีวันแม่, เด็กจะไม่รักแม่ หรือ ?..
  • เป็นคำถามที่ชวนคิดเป็นยิ่งนัก   โดยเฉพาะในครอบครัวที่เด็กไม่อาจมีแม่อยู่เคียงข้างและข้างกาย
  • ....
  • แต่สิ่งที่บรรดาคนในครอบครัวเพียรพยายามทำทุกอย่างด้วยหัวใจนั้น  แม้มิอาจทดแทนและเยียวยาบาดแผลจากการขาดแม่ได้  แต่ผมก็เชื่อเหลือเกินว่ามันเป็นเสมือน "ต้นทุน"  และ "ภูมิต้านทาน"  ที่ดีได้เช่นกัน
  • ...
  • เป็นกำลังใจให้ครับ

เรื่องวันพ่อแม่แล้วให้เด็กไปไหว้พ่อแม่เป็นแถวๆ ผมเองก็ไม่เห็นด้วย มีเด็กจำนวนหนึ่งได้รับผลกระทบอย่างที่ว่าจริงครับ

ถ้าโรงเรียนจะทำต้องเตรียมเด็กก่อน ก่อนอื่นคุณครูจะต้องรู้ก่อนว่าเด็กคนไหนในห้องไม่มีพ่อแม่บ้าง "ต้อง" ไม่ทำให้เด็กรู้สึกแย่ที่พ่อแม่ไม่มา หรือไม่มีพ่อแม่ ครูควรชี้แจงว่าเป็นกิจกรรมหนึ่งสำหรับนักเรียนที่จะระลึกถึงผู้มีพระคุณ เด็กที่ไม่มีพ่อแม่ครูจะต้องเข้าไปพูดคุยกับเขา ให้กำลังใจ มีกิจกรรมเสริม ฯลฯ  ไม่ใช่ทำกันเรื่อยเปื่อยแบบทุกวันนี้ครับ

สำหรับหลานทีมของคุณซูซานนั้น อาจบอกว่าแม่เขามีเหตุจำเป็น ต้องไป .... ควรทำให้เด็กรู้สึกดีกับแม่ครับ เพื่อที่เขาจะได้รู้สึกดีกับตัวเอง (แต่ก็ไม่ใช่พูดในสิ่งที่ไม่จริงนะครับ)  ท่าทีเด็กจะเป็นอย่างไร ขึ้นกับท่าทีในการบอกของเราในเรื่องนี้ด้วยครับ ควรบอกเขาด้วยท่าทีว่าไม่ได้เป็นเรื่องน่าลำบากใจที่จะพูด เขามีคุณน้าคุณอาที่รักเขาอยู่กับเขา  ถ้าเรามีท่าทีลำบากใจอึดอัด รู้สึกแย่กับการพูดเรื่องนี้เลี่ยงที่จะพูุด จะทำให้เด็ก sense ได้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องดีแนๆ ่เลย  โดยทั่วไปพอเด็กโตขึ้นๆ เขาก็จะค่อยๆ รู้เองครับ แต่ถามเรายังไงๆ เราก็พูดถึงแต่ด้านดีของแม่เขา พูดถึงเหตุจำเป็นของแม่ ไม่ทำให้เขารู้สึกแย่กับตัวเองครับ 

  • โอ๋ๆๆไม่ต้องร้องไป
  • ผมก็ไม่มีพ่อ
  • วันพ่อก็ยืมคุณครูมาเป็นพ่อเหมือนกัน
  • ค่อยๆๆสอนเขา
  • ให้เขาทำความดี
  • ต่อไปเขาจะเป็นคนดีครับ
  • ด้วยจิตขอคารวะ
เข้ามาดูอีกที พบว่าเพลงเพราะมากครับ. :-)
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับว่าเพลงเพราะจริงๆ ผมจึงเปิดหน้านี้ทิ้งไว้ แล้วนั่งทำงานไปฟังเพลงไป เพลินไปเลยครับ
P อ.paew
ขอบคุณค่ะสำหรับกำลังใจ ตอนนี้ก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ผ่านช่วงนี้ไปก่อน วันนี้หลานก็มาถามแล้วว่าอาจะไปงานวันแม่หรือเปล่า ตกลงที่บ้านจะยกขบวนกันไปหมดบ้าน ไม่ให้เขารู้สึกว่าต่างจากคนอื่น
ขอบคุณหลายๆ ค่ะ น้องชายฝากขอบคุณด้วยเรื่องแนวคิดของการสะสมต้นทุน และสร้างภูมิต้านทานให้เขา เพราะสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดก็คือให้ความรักเขาอย่างเต็มที่ ถึงจะทดแทนได้ไม่หมด แต่ก็จะเป็นทุนให้กับชีวิตว่าอย่างน้อยก็มีอีกหลายคนที่รักเขามาก
P คุณหมอมาโนช
เรื่องการจัดงานแบบนี้ไม่เคยเห็นด้วยมานานแล้วค่ะ แต่พึ่งจะมาโดนเข้ากับตัวเองและครอบครัวเมื่อสองสามปีนี้ เศร้ามาก

ส่วนวิธีการอธิบายที่คุณหมอแนะนำนั้นเป็นประโยชน์มาก ต่อไปนี้คงจะไม่พยายามเลี่ยงกันอีกแล้วถ้าหลานถาม แต่จะอธิบายให้เขาฟังทีละน้อย ให้เข้าใจง่ายที่สุด และไม่พูดถึงแม่เขาในทางไม่ดี (ซึ่งไม่ใช่นโยบายของที่บ้านอยู่แล้ว) จะพยายามใช้เหตุผลให้เขาค่อยๆ เข้าใจ คิดว่าพอโตขึ้นก็จะค่อยๆ เล่าเพิ่มขึ้นตามวัยที่รับและเข้าใจได้
P อ.ขจิต

ขอบคุณค่ะ สำหรับการแบ่งปันประสบการณ์ ส่วนตัวคิดว่าสามารถเลี้ยงเขาให้เป็นคนดีได้ แต่สงสารกลัวเขาจะมีปมในใจ อยากให้เขาโตขึ้นสมบูรณ์ทุกอย่างทั้งร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา
P คุณรตนญาณ
ขอบคุณค่ะที่มาร่วมแบ่งปันความคิดเห็น
P คุณบ่าววีร์
P คุณหมอธนพันธ์

เจ้าของบล็อกก็ชอบเพลงนี้เหมือนกันค่ะ "น้อยใจยา" นี่ฟังได้ไม่เบื่อ เวอร์ชั่นนี้คุณจรัล ร้องคู่กับคุณสุนทรี เสียงเข้ากันดีค่ะ ตอนนี้เป็นเพลงแนวเหนือๆ เพื่อต้อนรับการสัมมนาที่เชียงใหม่ค่ะ ถ้าว่างก็เชิญด้วยนะคะ
  • บางสิ่งทดแทนกันไม่ได้
  • แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเติมเต็มส่วนอื่น ๆ ในชีวิตไม่ได้
  • บนความโชคร้ายนั้น,  มีความโชคดีที่ยังอยู่ในบริบทความรักของคนรอบข้าง
  • ผมว่านั่นคือ ...ความโชคดีอันวิเศษสุดแล้วครับ
  • ....
  • เพราะนั่นคือสิ่งที่บอกและยืนยันกับเขาได้ว่า "ที่นี่มีรัก"  ที่นี่ "มีคนของเธอ" ... อยู่เสมอ... และไม่ "เปลี่ยนแปลง" ...
ขอบพระคุณอีกครั้งค่ะ ก็คิดอยู่เหมือนกันว่าเจ้าหนูนี่ยังโชคดีที่ยังมีคนรุมกันรักขนาดนี้ เรียกได้ว่ามีความโชคดีบนความโชคร้าย ที่สำคัญอาทั้งสองคนจะเลี้ยงดูเป็นลูกของตัวเอง โอกาสอะไรที่ไม่เคยมีในชีวิตก็จะได้หมด เตรียมความพร้อมทางการศึกษาให้ ให้เรียนจนสูงสุดเท่าที่เขาสามารถ อยากไปเมืองนอกก็จะให้ไป ให้โอกาสได้รับความรู้เสริมพิเศษทั้งดนตรี กีฬาและภาษา ทุกปีต้องพาไปท่องเที่ยวเปิดโลกทัศน์ ที่สำคัญมีสมบัติพัสสถานอะไรก็จะยกให้เขาคนเดียว เราสองคนพี่น้องสัญญากันว่าจะให้ทุกอย่างที่เขาจะสามารถใช้เป็นทุนรอนของชีวิต ซึ่งรวมถึงความรัก การดูแลเอาใจใส่ และการอบรมสั่งสอนด้วยแน่นอน

ไม่มีแม่...

เป็นเรื่องน่าเศร้าของชีวิต

แต่ที่จริงหลานหนู เหลนผมมีแม่ครับ

เพราะแม่คือผู้ให้กำเนิด

แต่แกคงขาดแม่ผู้เลี้ยงดู ถนอมรักและอาทร

ซึ่งทั้งอาและย่า รับหน้าที่นี้แทนไปแล้วอย่างเต็มที่ เต็มตัวและเต็มใจ

ผมว่าหลานทั้งสองไม่ขาดแม่ดอกครับ!

ที่จริงวันแม่...อาจเป็นสมมุติที่คนคิดขึ้น เพราะอาศัยฐานคิดที่ต้องการให้คนหันมารักแม่วันเดียว

จนเป็นเหตุให้ศูนย์การค้าขายของดีในเดือนหน้า

ที่จริง วันแม่ยังมีอีกมุมหนึ่งที่ครอบครัวหนูซูซานได้รับผลกระทบทางจิตใจ...

และอีกมุมหนึ่ง...แม่หลายคน ต้องพาดเกลียดวันแม่ไปด้วยเหมือนกัน

เพราะในวันนั้น ของทุกปี...ไม่เคยเห็นหน้าลูก

ไม่เคยได้ยินเสียงลูก แสดงความรักและความห่วงหา

อย่าว่าข้าวของที่จะนำมาให้เลย โทรสักกริ๊งหนึ่ง ก็ไม่เคยได้รับ...

แม่หลายคน ปิดทีวี...ไม่อยากไปเดินศูนย์การค้า ไม่อยากให้มีเดือนสิงหาคม

เพราะมันย้ำเตือนให้คิดถึงลูก! คนที่ไม่คิดถึงแม่!

แม่จึงไม่อยากมี วันแม่ วันเดียว !

P อ.พิชัย
ขอบพระคุณค่ะอาจารย์ที่ร่วมแสดงความคิดเห็น และชี้ให้เห็นอีกมุมหนึ่งที่ไม่ได้คิดถึง มุมของแม่ที่ถูกลูกๆ ทอดทิ้งนั้นก็น่าสงสารไม่แพ้กัน อุตส่าห์ฟูมฟักเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็ก รักใคร่ ดูแลสารพัด พอโตกลับไม่มาเหลียวแล นี่ก็เป็นอีกมุมของฝ่ายแม่ที่ถูกเทศกาลวันแม่ทำร้ายความรู้สึก

ยังคงมีคำถามเหมือนเดิมสำหรับเทศกาลแบบนี้ว่า จัดขึ้นแล้วมีประโยชน์จริงหรือ ที่ให้เด็กกับแม่มากอดกันร้องให้บนเวทีเพื่อแสดงความรัก ไปทำกันส่วนตัวที่บ้านไม่ได้หรือ? 364 วันที่อยู่บ้านไม่เคยบอกลูกว่ารักเลยหรือถึงต้องมาบอกกันต่อหน้าสาธารณะชน? เวลาปกติแม่บอกว่ารักลูกทำไมลูกไม่เห็นต้องร้องห่มร้องให้ ต้องมาร้องกันเฉพาะในงานแบบนี้ เป็นจิตวิทยาหมู่หรือเปล่า เด็กคนอื่นร้องเลยร้องตาม หรือเพลงมันเศร้าเลยต้องร้องให้ โรงเรียนพยายามบิวท์อารมณ์กันสุดฤทธิ์ แม่ก็เลยร้องให้ไปด้วยเพราะเห็นลูกร้องอันนี้พอเข้าใจได้ว่าอยู่ในอารมณ์ซาบซึ้ง แต่ทั้งหมดมันจำเป็นหรือ?

อาจจะขวางโลกแต่ส่วนตัวรู้สึกว่างานแบบนี้มันเฟค ไปมาสองปีเห็นแล้วขำแม่ๆ ที่พยายามโชว์ออฟ มาพูดพร่ำวนอยู่บนเวที พยายามงัดคำพูดเรียกน้ำตาวนไปวนมาเป็นชั่วโมง สุดท้ายก็เรียกลูกขึ้นมากอดร้องห่มร้องให้โชว์ งานแบบนี้ส่วนใหญ่เดือดร้อนผู้ปกครองประเภทที่หาเช้ากินค่ำ ไม่ร่ำรวย ไม่มีเวลาเหลือเฟือ เป็นลูกจ้างเขา ลางานมาแต่ละทีก็ยากเย็น โรงเรียนคิดในมุมนี้กันบ้างหรือเปล่า หรือสักแต่จะทำเท่านั้น ปีนึงจัดกันเข้าไปไม่รู้กี่รอบ ทั้งวันแม่ วันพ่อ วันสารพัดที่โรงเรียนอยากให้ผู้ปกครองมีส่วนร่วม เข้าใจว่ามันดีเป็นการศึกษาระบบใหม่ แต่มันไม่อยู่ในโลกความเป็นจริงสำหรับคนหลายๆ คนที่ไม่ได้ว่างงาน เราพอไปได้ก็ไปเพราะสงสารหลาน ปีที่แล้วต้องช่วยไปกอดเด็กอีกคนที่ยืนร้องให้เพราะแม่มาไม่ได้ เวรกรรมจริงๆ

และอีกด้านเกี่ยวกับวันแม่ที่อาจารย์พูดถึงคือ ทำไมลูกๆ จะต้องกลับมาดูแลแม่เฉพาะวันแม่เท่านั้น ทำไมไม่ใส่ใจกันทุกวัน หรือเพราะเทศกาลมันบิวท์ความรู้สึกเลยทำสักหน่อย ทีเหลือก็อยู่ของแม่ไปเองนะ รอวันนั้นวันเดียวพอ สังคมต้องการเห็นภาพอย่างนี้หรือถึงรณรงค์กันแต่วันนี้ ทำไมไม่ตอกย้ำกันทุกวันไปเลย จะได้ผลมากกว่าอีก ...คือสรุปว่าไม่ชอบการจัดงานที่ไม่เห็นผลจริงๆ นี่เป็นสไตล์ของสังคมไทยคือเห่อกันเป็นพักๆ เดี๋ยวก็ลืม ปีหน้าเอาใหม่วันเดียวเอง ไม่ต้องรับผิดชอบกันระยะยาว

(คนที่รักแม่ดูแลแม่ดีอยู่แล้วห้ามมาแสดงความเดือดร้อน เราคุยกันบนความเป็นจริงของสังคมที่เป็นอยู่ ใช้สติปัญญา ไม่ได้ใช้อารมณ์และความรู้สึกอย่างเดียว)

สวัสดีครับคุณซูซาน

ผมอ่านบทความนี้ตั้งแต่วันแรกที่คุณโพสต์เลยครับ ด้วยความรู้สึกคิดถึงเพลงนี้นะครับ แต่ไม่กล้าจะโพสต์ไว้ให้ครับ ลองฟังดูนะครับ

http://www.budpage.com/bmu06.shtml 

เรียงความเรื่องแม่

ขับร้อง : น้องๆจากบ้านราชวิถี บ้านมหาเมฆ

เราทุกคนก็ล้วนมีรูปแบบแตกต่างกันเป็นธรรมดา เพียงแต่ว่าการจำพรากนั้นจะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง

ตัวเราเองเราก็ต้องจำพรากในวันหนึ่งครับ ผู้เป็นพ่อแม่ ก็เช่นกัน ซึ่งบางทีเราไม่รู้ว่าเรากับท่านใครจะไปก่อนกันครับ

สำหรับหลานของคุณซูซาน ผมว่าสิ่งที่คุณให้กับหลาน เป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้วครับ ความอบอุ่นจะเกิดและกลายเป็นภูมิคุ้มกันให้กับตัวเค้าในยามที่วันหนึ่งเราต้องจากเค้าไปครับ

ความอบอุ่นช่วยได้เสมอครับ ทำให้ผมนึกถึงเมาคลีครับ ที่อยู่กับสัตว์ในป่า แต่เค้าก็อยู่ได้แถมมีจิตใจดีครับ นั่นคือสัตว์เลี้ยงเค้ามานะครับ

ขอบคุณมากนะครับ และขอให้โชคดีนะครับ

ขอบคุณค่ะคุณเม้ง ฟังเพลงแล้วน้องๆ ร้องเพราะมาก แต่ฟังแล้วเจ็บปวดสุดๆ น้ำตาไหลอีกรอบ เด็กพวกนี้ถูกสั่งให้ร้องโดยผู้บริหารบ้านที่เขาอาศัยซึ่งเป็นแหล่งสุดท้ายที่เขาพึ่งพิง ถามว่ามีสิทธิ์ขอไม่ร้องได้หรือ? น้องๆ หลายคนร้องเพลงแล้วอาจจะต้องกลับไปนอนร้องให้ยามค่ำคืน ใครจะรู้? 

คนเขียนเนื้อเพลงใช้วัตถุดิบในการเขียนคือสิ่งที่เด็กเหล่านี้โหยหา ใช้ความเจ็บปวดของเด็กถ่ายทอดออกมาเป็นเนื้อเพลงที่ไพเราะแต่บาดลึกและโหดร้ายในความรู้สึก สำหรับเด็กที่อยู่ในสถานะแบบนั้นแล้วยังต้องมาร้องเพลงนี้อีก มันเป็นการขูดแผลที่อักเสบอยู่ให้เลือดไหลซ้ำออกมา เป็นยิ่งกว่าการแกะสะเก็ดแผลด้วยซ้ำ ต้องย้ำคำเดิมค่ะ ว่าใครไม่เจอกับตัวเองไม่รู้รสชาดของความเจ็บปวดนั้น เราเคยไปเยี่ยมเด็กบ้านราชวิถีปีละหลายหน เด็กตัวเล็กตัวน้อยรุมขอให้อุ้มให้กอด มันสะเทือนความรู้สึกจนเพื่อนๆ ที่ไปด้วยหลายคนต้องร้องให้ออกมา

ครอบครัวเราพยายามอย่างเต็มที่ที่จะให้ภูมิคุ้มกันทางจิตใจแก่หลานเมื่อโตขึ้น ให้เขาได้มีทุนรอนของความรักเป็นเกราะคุ้มกันตัว เมื่อวันหนึ่งที่เราต้องจากเขาไปจะได้หมดห่วง

สวัสดีครับคุณซูซาน

ครับผม นั่นหล่ะครับ ผมไม่ได้เจตนาจะให้บาดความรู้สึกคุณซูซานนะครับ เพียงแต่ให้คุณลองมองดูนะครับ อย่างที่คุณเจอนั่นหละครับ

ผมเคยทำโครงการไปบ้านเด็กกำพร้าที่นครศรีธรรมราช (บ้านศรีฯ) เราไปจัดกิจกรรมเพียงแค่ประมาณหนึ่งวันหนึ่งคืน (เที่ยงวันถึงเที่ยงวันถัดไป) เห็นความรู้สึก สัมผัสรับรู้ได้หมดเลยครับ แล้วผมก็เชื่อว่า ด้วยสภาพแบบนี้เด็กๆ ก็คงเหมือนกันทุกที่ครับ มีเด็กตั้งแต่ทารกไปจนถึง 18 ปีครับ แล้วนับวันจำนวนเด็กๆ จะมากขึ้นเสียด้วยซิครับ

หากใครที่คิดจะหย่าร้างหรือจะเปลี่ยนแปลงครอบครัว หากได้มีเวลาซักห้านาที หรือมีโอกาสฟังเพลงเหล่านี้ สักสองสามรอบ ก็คงได้มีเวลาให้คิดทบทวนกันบ้างครับ

อย่างน้อยก็นำไปสู่การประณีประนอม ปรับตัว และสร้างสิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้นได้ครับ

ขอบคุณมากครับ

Pใครยังไม่มีลูกก็คุมกำเนิดดีกว่ามะ? ชาวโลกเต็มไปหมด ไม่เห็นมีความจำเป็นอะไรที่จะต้องช่วยผลิตเพิ่ม. แต่คู่สมรสอาจจะไม่ยอม?
การที่ครอบครัวไม่ครบ กับอยู่บ้านเด็กกำพร้า มันก็น่าจะต่างกันอยู่เยอะทีเดียวนะครับ.

สวัสดีครับคุณเม้ง

ก็ด้วยจากเพลงนี้นี่แหละ ที่ทำให้ผมต้องตื่นขึ้นมาเขียนบทความเกี่ยวกับวันแม่เมื่อปีก่อนตอนดึก

สวัสดีครับคุณซูซาน
สงสัยต้องขอทำหน้าที่ปลอมตัวตอบญาติมิตรซักหน่อยนะครับ
P

สวัสดีครับน้องบ่าววีร์

จริงๆ คุมกำเนิดได้ก็ดีครับ จะให้สมดุลนะครับ ลองไปศึกษาเล่นนะครับ ว่าสัตว์หรือสิ่งมีชีวิตต่างๆ ว่ามีการอัตราการเติบโตมากน้อย เทียบกับอะไรหลายๆ อย่างดูนะครับ เช่น ระดับการศึกษา, สาขาอาชีพ, แหล่งกำเนิด, พื้นที่ต่างๆ, ประเทศ, และอื่นๆ ครับ

เราจะได้ข้อมูลอะไรดีๆ มาศึกษานะครับ ตลอดจนข้อมูลการตายด้วยนะครับ

หากเราดูในภาพรวมเราอาจจะเห็นอะไรเด็ดๆ ครับ

ท้ายที่สุดแล้วเราอาจจะเจอกฏของ เหยื่อ และผู้ล่า ครับ หรือกฏอะไรใหม่ๆ ครับผม

ลองเปิดประเด็นใหม่ไหมครับคุณวีร์ แล้วมาสะกิดผมด้วยครับจะเข้าไปร่วมครับ เกี่ยวกับประเด็นเรื่องคุมกำเนิด นะครับ

 

P

สวัสดีครับคุณธนพันธ์

ดีจังครับ ผมเพิ่งจะมีโอกาสฟังเพลงนี้นะครับ แต่ฟังแล้วถึงกับต้องโยงเข้าไปไว้ในบล็อกอยู่พักหนึ่งครับ แต่ท้ายที่สุดต้องเอาออกครับ เพราะยิ่งเปิดยิ่งกัดกินหัวใจไม่พอครับ แต่กัดกินสมอง ตับไตไส้พุงและอื่นๆ แต่ท้ายที่สุดแล้ว เราก็ต้องเข้าใจ หยิบยื่นสิ่งดีๆ ให้แก่กันครับ ในบทเพลงมีทั้งส่วนบวกและส่วนด้อยอยู่เป็นธรรมดาครับ มีสุขมีทุกข์ครับ

ขอบคุณทุกท่านนะครับ

P ผมเปิดใหม่ได้ดอกครับเพราะงง. คุมกำเนิดก็ใช้ถุงยาง ทำหมันไป? ต้องสมดุลอะไรหรือครับ? ต้องเป็นนักคณิตศาสตร์ด้วยเปล่า? คุณเม้งเปิดดีกว่า ประเด็นเหยื่อผู้ล่า อาชีพอะไร ผมนึกไม่ออกดอกครับ.
รู้สึกว่าคนที่สำคัญที่สุดไม่ว่าจะเจ็บเเค่ไหน  ในที่สุดคนที่หยิบยืนมือมากอดก็ไม่พ้นเเม่
รบกวนทุกท่านที่จะแตกประเด็น ช่วยไปเขียนเป็นบันทึกใหม่นะคะ ไม่อยากให้ประเด็นสับสน เพราะเรื่องที่เขียนนี้เป็นเกี่ยวกับ "ความไม่เห็นด้วยกับการจัดงานวันแม่ของโรงเรียน ที่ไม่มีมาตรการรองรับเด็กที่ครอบครัวมีปัญหา"

ส่วนท่านที่แสดงความคิดเห็นในเรื่องความซาบซึ้งพระคุณแม่ รบกวนอ่านให้ละเอียด เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องพระคุณแม่เลยสักนิด ต้องอ่านหนังสือให้ชัด และตีความหมายให้ออก ไม่ใช่อ่านผ่านๆ เลยแสดงความคิดเห็นผิดประเด็นไป บันทึกนี้กำลังถกเรื่องปัญหาของการจัดงานที่มีผลกระทบกับเด็ก และอยากให้เกิดมาตรการรองรับค่ะ ขออภัยที่พูดตรงๆ เพราะว่าไม่อยากให้ท่านอื่นที่มีโอกาสเข้ามาอ่านตีความเป็นประเด็นเรื่องความซาบซึ้งในพระคุณแม่ ซึ่งเรื่องแบบนั้นท่านสามารถแสดงความคิดเห็นได้ตามเว็บทั่วไปในช่วงนี้อยู่แล้ว
ขออภัยในความนอกเรื่องครับ.

โอ ขอ อึ้งแป๊บค่ะ

"ความไม่เห็นด้วยกับการจัดงานวันแม่ของโรงเรียน ที่ไม่มีมาตรการรองรับเด็กที่ครอบครัวมีปัญหา"

พี่ยอมรับว่า ไม่ได้คิด / ลืม เรื่องนี้ไปเลย

*ฝากอันหนึ่ง บางปีคุณครูจะมานั่งเป็นแม่แทนให้ลูกของพี่ค่ะ เวลาพี่ติดงาน

เพื่อนของลูกคนหนึ่ง เขามีคุณยายค่ะ มานั่งแทน*

อยากให้ทบทวนวันพ่อด้วยเน้อ

 

 

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท